“แจม รชตะ” เผยเส้นทางกว่าดัง จากตัวประกอบวันละ 400 บาท ก้าวข้ามมาเป็นขวัญใจสาววายจาก “คุณชาย” เผยมุมมืดของเอ็กซ์ตร้า ครั้งหนึ่งเคยถูกหลอกขึ้นคอนโด รวมไปถึงถูกยื่นข้อเสนอขอเลี้ยงดู แต่พีกสุด! สาวไดเร็กต์ซื้อ “สเปิร์ม” จ่าย 4 แสน ขอเอาไปทำลูก พร้อมตีแผ่วงการแคสติ้ง ทำอย่างไรถึงจะมีงาน
กว่าจะดังได้ มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับยุคนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะดังได้แบบในพริบตา เพราะบางทีดังเร็ว ก็ดับไว ไปตามวัฏจักรของวงการบันเทิงนี้ แต่สำหรับ “แจม รชตะ หัมพานันท์” ที่กว่าจะโด่งดังเป็นพลุแตกจากละครพีเรียด “คุณชาย” ที่มาพร้อมความจิ้นแบบพีเรียดวายกับ “ฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ” เขาก็ต้องเริ่มนับจากศูนย์ จากเด็กแคสงานโฆษณาได้วันละ 400 บาท ยอมทิ้งอาชีพครูที่บ้านคาดหวัง มุ่งมั่นเข้าสู่วงการนี้ แต่ในเมื่อโอกาสเข้ามาแต่จังหวะมันไม่ได้ ก็ต้องเผชิญกับมุมดาร์กของวงการมายา
“กว่าจะมาเล่นเรื่องนี้ต้องเท้าความไป 2 ปีกว่าๆ ไปเป็นข้าราชการครู ช่วงนั้นก็รอบรรจุ เพราะเราติดสำรอง บวกกับช่วงนั้นอกหักด้วย เฮิร์ตๆ ด้วย ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี และเงินมันก็เริ่มหมดไปเรื่อยๆ ก็เลยไปทำเบื้องหลัง ไปแคสโฆษณาบ้าง ไปแคสละครบ้าง แต่ส่วนมากจะเป็นโฆษณาซะเป็นส่วนใหญ่ และก็ส่งตัวเองไปรายการรู้ไหมใครโสด อย่างนึงเราต้องการหาอะไรใหม่ๆ ทำ ไปเจอใครในรายการ ก็อาจจะได้เป็นคู่รักกัน อีกอย่างก็อยากให้ผู้บริหารช่องเห็นเรา ด้วยการทำงานอยู่ในวงการอยู่แล้ว อยากจะขยับจากโฆษณามาทำในด้านอื่น เพราะเราก็ถ่ายไปทุกๆ ตัว ลูกค้าก็จะไม่จ้างเราแล้ว เพราะหน้าก็จะช้ำไปแล้ว นักร้องก็ไม่ได้ เสียงก็ไม่ดี”
นั่งรถเมล์ไปแคสงาน พร้อมควักเงินก้อนสุดท้าย! วัดใจใน “อาชีพนักแสดง”
“พอไปเป็นเอ็กซ์ตร้าในละคร จำได้ว่าตอนนั้นค่าตัวประมาณ 400 บาท จำได้เลยว่าพี่พุฒ (พุฒิชัย เกษตรสิน) เป็นตัวเมน แต่เราอยู่หลังๆ แบบจางๆ เราคิดว่าเราอยากเป็นแบบนั้นบ้าง อยากให้เห็นหน้าเราชัดๆ พอไปออกรายการรู้ไหมใครโสด รายการออกไปกระแสมันดีมากๆ และได้ไปออกในเทปพิเศษด้วย ช่องเห็นเรา จึงเรียกเรามาเซ็นสัญญา
แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ง่าย ซึ่งผมคิดว่ามันคือวาระ คือจังหวะของมัน แต่ก่อนเราพยายามมาก แต่มันไม่ได้สักที พยายามไปแคสเพื่อจะไปเล่นหนัง มันก็ไม่ได้ และเราตัดสินใจเดินในทางนี้ ใช้เงินในบัญชีตอนนั้น เหลือไม่มาก แค่พันกว่าบาท และการใช้ชีวิตก็ลำบาก ผมแค่คิดว่า ทำยังไงก็ได้ ให้ได้งานและเดินทางให้ประหยัดสุด ผมนั่งรถเมล์ได้ทุกสาย ไม่สนใจว่ามันจะร้อนหรือว่ามันจะเหนื่อย ขอแค่มันเซฟเงินในบัญชี จนดวงเรามาให้เจอผู้บริหาร พอเราออดิชั่นเสร็จ ทุกอย่างมันง่ายหมด และตอนที่เราเผชิญอยู่ เราไม่ได้คิดว่ามันลำบาก แต่พอมองย้อนกลับไป ทำไมทุกอย่างมันดูยากไปหมดเลย
ตอนนั้นที่ตัดสินใจมาแคสงาน ก็เพราะว่าเราอยากได้ตังค์ เราอยากจะได้มากกว่า 400 บาท คนอื่นได้ 3,000 บาท ผมพยายามส่งโปรไฟล์ตัวเอง เพื่อจะเปลี่ยนเป็นเรตหมื่น และก็ฟิตหุ่น พอมันได้งานนั้น เขาก็มีคอนเนกชั่นกันระหว่างโมเดลลิ่ง จากนั้นมันก็ได้เรื่อยๆ
อย่างเรตของแต่ละหน้าที่อย่างเอ็กซ์ตร้าที่เป็นบรรยากาศ ก็เดินเฉยๆ ไม่มีบทพูด การทำงานลำบาก เขาต้องสแตนบายอยู่กองทั้งวัน คือเดินข้างหลังเบลอๆ ไม่เห็นหน้า เราต้องเตรียมชุดไปเองด้วยเพราะต้องเปลี่ยนหลายชุด ทางทีมงานจะบรีฟมาก่อน ถ้าเป็นละครจะได้ 800-1,000 บาท ถ้าเป็นโฆษณาที่ผมได้มาคือ 3,000 บาท แต่หมดไปกับค่าเดินทาง และเงินที่ได้มา โมเดลลิ่งก็หักไปอีก 30%
พอขยับไปเป็นซัมเมน ก็ได้ประมาณ 10,000 บาท ก็จะเด่นเท่าๆ ตัวเมน แต่ไม่เท่าตัวเมน มีบทพูด เรตก็ต่างกัน จะได้พูดบทยาวขึ้น ถือว่าคุ้มมาก เป็นบทที่หลังๆ ผมรับบ่อย เพราะไม่ต้องแข่งกับใคร ไม่ต้องแคส แค่ส่งโปรไฟล์ แต่ถ้าเป็นบทเมนต้องไปแคส และเคยมีครั้งนึงได้เป็นแสนเลย เพียงแค่พูดว่าดีครับ แต่แคสยากมาก เขาต้องดูคาแรกเตอร์ก่อน และคนแคสเป็นร้อย พอเราผ่านเข้ารอบ เราก็ต้องล็อกคิวให้เขา 3 คิว ซึ่งถ้าเราไม่ล็อก เราก็ไม่มีสิทธิ์ได้ แต่เราก็ต้องยอมเสียสิทธิ์จากกองอื่น”
เผยมุมมืด! โดนหลอกขึ้นคอนโด
“ถามว่ามีโดนหลอก ก็มีครับ เปลี่ยนจากโฆษณามาเป็นละคร ไปเป็นเอ็กซ์ตร้าบรรยากาศ แล้วมีช่างแต่งหน้าคนนึง เขามาชวนว่า เดี๋ยวพี่มีงานให้นะ เป็นบทพูด เราก็ดีใจ ได้ขยับขึ้นมาเป็นเอ็กซ์ตร้าเมน ซึ่งเขานัด 10 โมง ผมไปถึง 09.30 ตรงที่เขานัด ผมก็โทร.หาว่าผมถึงแล้ว เขาก็บอกว่ากินข้าวก่อนเลย สถานที่ตรงนั้นเป็นคอนโด และเขาก็บอกว่าแจมมันไปไม่ทันแล้ว ให้เราขึ้นไปหาที่ห้อง เดี๋ยวเขาจะเคลียร์ค่าเสียเวลาให้เรา เราขึ้นไป ก็เป็นคอนโดเก่าๆ เลย ก็เห็นพี่เขาแหละ เขาก็บอกว่ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ อยู่ดีๆ ก็เดินมาข้างหลัง เข้ามากอดเรา เราก็ตกใจ ผมก็บอกว่าไม่เอานะครับ ผมไม่ชอบ ผมก็ด่ายาว เจตนาเขาไม่น่าจะให้เรามาทำงาน น่าจะให้ทำอย่างอื่นมากกว่า
ผมว่าการแคสงานมันมีทั้งมุมมืดและมุมสว่าง ซึ่งในการรับงานของผม ผมจะดูจากโปรไฟล์ของบริษัที่เราจะไปรับแคสงาน หรือเครดิต ว่าเขาเคยทำงานอะไรมา เราก็ถามโมเดลลิ่งที่เราสนิทว่าเป็นยังไง เพราะบางบริษัทก็หักเยอะ ที่เคยเจอมาก็หักแบบ 50% หักจากโฆษณานี่แหละ แต่ถ้าเป็นโมฯ ใหญ่ๆ เขาก็หักตามจำนวนของเขา แต่บางโมฯ ก็จ่ายเงินช้า ทวงแล้วทวงอีก 6-7 เดือน เราเอาเรื่องอะไรกับเขาไม่ได้ สัญญาก็ไม่ได้เซ็น
ผมเคยคิดว่าเราไม่น่าเหมาะกับทางนี้เลย จะไปเป็นดาวมันยังยาก มันไม่มีโอกาสอะไรเลย อีกอย่างเงินเรามีไม่เยอะ ที่จะเอาไปต่อยอดได้ถึงขนาดนั้น ผมก็เลยคิดว่าเป็นข้าราชการเหมือนที่บ้าน เลยมาเรียนเป็นครู ตามความคิดของปู่กับย่า และในวันที่เปลี่ยนเส้นทางของตัวเอง เริ่มจากฟิตหุ่น แต่ไม่ใช่ฟิตเพราะจะเข้าวงการนะ แต่จะฟิตเพื่อจะไปประกวด เพราะด้วยความที่เราจะไปประกวดเป็นเดือน เราไปเห็นคนอื่นที่ประกวดด้วย หุ่นก็ดี ก็เลยเล่น เล่นไป ก็เลยติด พอหุ่นเราเข้าที่ การที่มีคนมาโฟกัสหุ่น เราก็มีเขินๆ (ยิ้ม) แต่ในยิมไม่เขินนะ เวลามีคนชมเราก็แฮปปี้ดี มันก็เท่ดี”
พีกสุด! ถูกไดเร็กต์ จ่าย 4 แสน ขอซื้อสเปิร์มไปทำลูก
“ก็มีคนเข้ามาแปลกๆ ไม่ว่าจะขอนอนด้วย ขอเลี้ยงด้วย และพีกสุดตอนที่เป็นนายแบบ ขอซื้อน้ำเชื้อเรา เพื่อไปทำลูก เขาอยากมีลูก จะให้ 4 แสน แต่ผมก็ไม่เอา ซึ่งเขาอินบ็อกซ์มา หรือตอนประกวด บางคนก็จะเขียนใส่กระดาษมา พันๆ และส่งมาให้เรา เป็นกระดาษทิชชู่ บอกขอเลี้ยงดูได้ไหม
ถามว่าเงินมันเยอะไหม มันก็เยอะ แต่เราก็ได้แค่ผิวเผิน ต่อไปเราก็ไม่ได้แล้วไง เราหาเองมีความสุขมากกว่า หาได้เรื่อยๆ มันก็จะดีต่อใจตัวเอง บวกกับตอนนั้นเราก็เด็กด้วย และตอนนั้นก็มีผู้จัดการส่วนตัว เขาก็ดึงเราไปเป็นเด็กเขา แต่ไม่ได้เซ็นสัญญา สรุปเราทั้งสองคนก็โดนโกงไปพร้อมกัน และจากนั้นก็ไม่มีผู้จัดการ ขอเป็นฟรีแลนซ์ ทำเป็นจ๊อบไป แรกๆ มันก็ยากที่ต้องหางานเอง เราไม่รู้จักอะไรเลย ไม่รู้ว่าความเป็นตัวเรา ต้องไปในทิศทางไหนดี แต่พอหลังๆ มา เราเริ่มรู้ว่าบทแบบไหนเหมาะกับเรา อย่างงานหน้าใสไม่เหมาะกับเรา เราคมเข้ม หรืองานรถยนต์ งานจีนเราไปได้ แต่งานฝรั่ง งานสายการบินจะไม่ได้
ภูมิใจมากๆ ที่ได้มาทำงานตรงนี้ ทุกวันนี้ยังไม่กล้าเรียกว่าตัวเองเป็นดารานะ เรียกว่าทำอาชีพนักแสดง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะ ทีมงานทุกคนที่ช่วยผมให้มีวันนี้ คิดซะว่าส่วนนึงก็น่าจะเป็นบุญเก่าของเราด้วยแหละครับ”
