“ลูกหนัง ศีตลา” เปิดหมดเปลือก จากความฝันเดบิวต์เป็นศิลปินเกาหลี สู่มหากาพย์ #แบนลูกหนัง ความเชื่อ การเมือง ความผิดพลาด ถูกเพื่อนในวงการเลิกคบ ร่ำไห้สิ่งที่สัญญากับพ่อแล้วทำไม่ได้ พ้อกับตัวเอง ถ้าวันหนึ่งหายไป จะดีขึ้นหรือเปล่า?
เป็นการออกมาเปิดใจหมดเปลือก เรื่องศิลปิน ความเชื่อ การเมือง ความผิดพลาด และบทเรียนที่ได้เรียนรู้สำหรับ “ลูกหนัง ศีตลา วงษ์กระจ่าง” ลูกสาว “เปิ้ล หัทยา - ตั้ว ศรัณยู” จากเด็กที่มีความฝันเรื่องเดบิวต์เป็นศิลปินเกาหลี สู่มหากาพย์แฮชแท็ก #แบนลูกหนัง วันนี้เธอพร้อมตอบทุกเรื่องราว ผ่านรายการ ON THAT DAY ช่อง THE STANDARD POP
“จริงๆ เราเป็นเด็กฝึกธรรมดา ซึ่งเด็กฝึกธรรมดากับเด็กฝึกที่เตรียมเดบิวต์จะต่างกัน เด็กฝึกธรรมดาเขาจะฝึกไปเรื่อยๆ โดยเราไม่รู้ว่าวันไหนจะได้เดบิวต์ ความซีเรียสต่างกัน พอรู้ก็ซีเรียสมากขึ้น จากที่เคยซ้อมสนุกๆ กลายเป็นซ้อมซีเรียส ซ้อมทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์ พอใกล้จะเดบิวต์ก็จะไม่มีวันหยุด เหนื่อยมาก
แล้วสิ่งที่เราช็อกมากคือการควบคุมการกิน หรือน้ำหนัก เราเป็นคนชอบกิน เราเอ็นจอยอีสติ้งอยู่แล้ว เขาให้เวลา 2 อาทิตย์ กินแค่พริกหยวก และหมั่นโถ ทำได้ไหม น้องทุกคนตอบว่าทำได้ เราก็ทำได้ค่ะๆ แต่น้ำหนักก็ลดตามเกณฑ์ที่เขาทำไว้ แต่สองอาทิตย์นั้นก็เหนื่อยมาก เราทำด้วยความเข้าใจ ค่ายเขาต้องการแบบนี้ เราก็เข้าใจเขา เขาเชื่อในตัวเรา เราเชื่อในตัวค่าย เราก็ไม่มีปัญหา
ระหว่างทางร้องไห้บ่อย เราไม่ชอบร้องต่อหน้าคนอื่น ไม่ชอบให้คนเห็นความอ่อนแอ ยิ่งคนเห็นความอ่อนแอเท่าไหร่มันง่ายมากที่ใครจะมาแทงเราได้ง่าย เราติดนิสัยตรงนั้น เราอ่อนแอไม่ได้ แม้กับคุณพ่อคุณแม่ เราแทบไม่บอกท่านเลยว่าเราเหนื่อยนะ เราทำให้เขาเป็นห่วง เรารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ต่อให้วันไหนเราท้อมากๆ ก็ไม่มีทางโทรไปบอกคุณพ่อคุณแม่เด็ดขาด
ความรู้สึกใกล้ๆ เดบิวต์ มันมีความกดดัน คาดหวังให้ออกมาดี แต่ก็ยังไม่เชื่อ มันจะเกิดขึ้นจริงๆ เหรอ กลางคืนมีน้องถามว่าเราจะเดบิวต์จริงๆ เหรอ เป็นโมเมนต์เหมือนเราเหนื่อยมาด้วยกัน สิ่งที่เราเหนื่อยมากำลังจะมีผลลัพธ์ที่ดี อีกไม่กี่วันเราจะได้เดบิวต์เป็นทีมแล้ว เหมือนเด็กผู้หญิง 4 คนที่นั่งคุยกันว่าเราผ่านอะไรมาเยอะ เป้าหมายที่เรามองก็ใกล้เข้ามา มันเหนื่อยมาเยอะมาก จนถึงจุดที่จะเกิดขึ้น ตอนแรกเราตื่นเต้น แต่พอเกิดขึ้นจริงๆ ความตื่นเต้นก็หายไป เราต้องทำออกมาให้ดีนะ เราจะวางแพลนยังไงกับวงเราต่อ แต่น้องๆ บางคนก็มีความตื่นเต้น อยากออกไปแสดงข้างหน้า แต่เราอาจโตกว่าน้องๆ คนอื่น เราก็จะคิดว่าหลังจากนี้จะเป็นอะไร”
เมื่อค่ายประกาศเดบิวต์ กลายเป็นกระแส เกิดแฮชแท็ก แบนลูกหนัง
“จริงๆ เริ่มจากค่ายวางคอนเซ็ปต์ไว้ว่า เขาอยากเปิดตัวศิลปินคนนึง ให้เป็นรูปแบบที่แตกต่าง ก็มีกระดาษแผ่นนึงให้เขียนข้อมูลตัวเอง ว่าเราชื่ออะไร ส่วนสูงเท่าไหร่ ใครคือแรงบันดาลใจของเรา เราก็บอกว่าคือคุณพ่อ ซึ่งก็หนีไม่ได้ที่เขาจะไปคุ้ยว่าน้องคนนี้คือใคร ไปเสิร์จว่าน้องคนนี้คือใคร และคงไปโฟกัสที่คำตอบของเรา เลยเกิดประเด็นดรามาขึ้นมา ตอนนั้นเราไม่ทราบ เพราะมือถือไม่ได้อยู่กับตัวเรา วันที่ค่ายประกาศเราไป เราน่าจะซ้อมถึงตีสาม มือถือก็ฝากค่ายไปเลย เขาก็คิดว่าเราไม่ควรเล่นมือถือ ก็หลับไป จนตื่นขึ้นมา ค่ายเรียกเราคนเดียวในวงไป เขาบอกว่าแม่โทรมาร้อยมิสคอล ให้คุยกับคุณแม่ ครั้งแรกที่คุยคุณแม่ร้องไห้ แม่ก็อธิบายว่ามีเรื่องแบบนี้นะ
เอาง่ายๆ เราคิดลบในบางทีก็ได้ คิดว่าสิ่งที่แย่ที่สุดที่เกิดขึ้น เราจะรับมันได้ไหม เราจะได้เตรียมตัวไม่เจ็บ พอได้รับข่าวสาร เราก็เข้าไปดูในทวิตเตอร์ เพราะเราไม่ได้เล่นอะไรเลย เข้าไปอ่านทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถามว่าช็อกไหม ก็เถียงไม่ได้ว่าเราช็อก แต่เราเข้าใจ เพราะมีเหตุผลว่าทำไมถึงเกิดแฮชแท็กนี้ เราพยายามทำความเข้าใจว่ามันมีเหตุมีผลนะ
เตรียมใจไว้ว่าจะไม่เจ็บ ตอนแรกเราเล่นทวิตเตอร์ไม่เป็นเลย เราสมัครเข้าไปเลย มันเป็นแอ็กชั่นในอดีต ก่อนอื่นเราต้องรับผลให้ได้นะ สิ่งที่เราทำต้องมีผลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะลบหรือบวก ก่อนอื่นต้องรับให้ได้ เพราะแกแอ็กชั่นตรงนั้นเอง ต้องเข้าไปอ่านด้วยการมีสติมากๆ อย่าใช้อารมณ์ อย่าวู่วาม เราเข้าไปอ่าน ถามว่าเราเสียใจไหม ก็ปฏิเสธไม่ได้แหละว่าไม่เสียใจ เราคิดว่ามนุษย์ทุกคน ไม่อยากให้ใครมาพูดทำร้ายหรือบั่นทอนจิตใจ แต่ถามว่าเราเข้าใจไหม เราเข้าใจ เราเชื่อเสมอว่าทุกอย่างมันมีเหตุผล สิ่งที่เกิดขึ้นก็มีเหตุผล เราเข้าใจมากๆ ก็ไล่ไปดูทุกอย่าง เข้าใจว่าคนเรามีสิทธิ์คิดแบบนั้น ในเมื่อเขามีเหตุผล ทำไมเขาจะคิดแบบนั้นไม่ได้ ทำไมจะแสดงความคิดเห็นแบบนั้นไม่ได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราไม่ได้รู้สึกกับสิ่งที่เขาแสดงความคิดเห็น”
อดีตที่แก้ไม่ได้
“เราเข้าใจจริงๆ ว่าแอ็กชั่นที่เราทำในอดีต ทำให้คนกลุ่มไม่น้อยได้รับผลกระทบ เราไม่เคยอยากให้แอ็กชั่นของเราไปทำให้ใครต้องรู้สึกไม่ดี ต้องรู้สึกเสียใจ ต้องรู้สึกว่าเขาเจ็บปวด เราไม่เคยอยากให้เป็นแบบนั้น แต่เราก็ไปแก้อดีตไม่ได้ ณ ตอนนั้นเราทำไปด้วยความคิดว่าเราเข้าใจแบบนั้น แต่สิ่งที่เราเสียใจ เราเสียใจตรงที่ไม่คิดว่าสิ่งที่เราทำมา จะทำให้คนอื่นเสียใจ
การไปร่วมชุมนุม ณ วันนั้น ความรู้ ความเข้าใจของเรา เราไปเพราะเราเชื่อแบบนั้น เราแค่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เราคิดแค่นั้นเลย เราไม่พูดว่าเราไปด้วยเด็ก เราไปด้วยความที่เราเชื่อแบบนั้น และคนที่ไปตรงนั้นก็มีจุดประสงค์เดียวกันคืออยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น แต่ไม่ได้คิดว่าในอนาคตจะเป็นแบบนี้ หรือผลที่ตามมา ที่เราไปทำตรงนั้นจะทำให้เราเสียใจ”
ไม่มีเครื่องย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต
“ตอนเด็กเราเป็นคนฉันจะคิดแบบนี้ ฉันไม่แคร์คนอื่นหรอก แต่พอเราโตมา ยิ่งมาทำงานในวงการ เราต้องคิดให้ละเอียดขึ้น เราก็ต้องเข้าใจเขา เขาคิดแบบนี้เพราะเขามีเหตุผล เรามองลึกเข้าไปกว่าเดิม จากที่เมื่อก่อนเรามองแค่ตัวเอง เรามองรอบๆ สังคม คิดว่าการเมืองเป็นเรื่องที่อยู่กับทุกคน อยู่รอบๆ เราตลอด
คำว่ารัฐประหาร มันเป็นสองคำ รัฐ แปลว่าบ้านเมือง ประหารคือล้มล้าง ถ้าดูความหมายของคำ เราก็ไม่ได้รู้สึกดี เรารู้สึกว่ามันไม่แฟร์ เราก็ไม่ชอบ แต่อดีตที่เราออกไปแอ็กชั่นตรงนั้น มันไม่ได้มีคำนี้ขึ้นมาในสมองเราเลย เราไปด้วยความคิดที่ว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
วันนั้นเราไม่คิดว่าจะมีคำว่ารัฐประหารเกิดขึ้น เราคิดว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดี เราคิดว่าควรมีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้น เราก็ตอบได้เลยว่าไม่ได้รู้สึกดีกับคำนี้ ถ้ารู้ว่าจะมีรัฐประหารเกิดขึ้นเราก็คงไม่ทำแอ็กชั่นนั้น แต่เราไม่มีเครื่องย้อนเวลากลับไปแก้ เราเชื่อว่าไม่มีใครเพอร์เฟกต์บนโลกใบนี้ เราทำไปอาจไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เราเชื่อว่าเป็นอีกแบบนึง เราก็เลยทำลงไป เราทำไปเพราะเชื่อว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดขึ้น แต่พอผลออกมาในอีกแบบที่เราไม่ได้คิด เราก็มานั่งคิดว่าถ้าเรามีเครื่องย้อนเวลากลับไปได้ เราก็อาจไม่เทกแอ็กชั่นตรงนั้น
สิ่งเดียวที่เราอยากจะบอก เราขอโทษมากๆ กับสิ่งที่เราทำให้เขารู้สึกไม่ดี และเสียใจ เราขอโทษจริงๆ ถ้าแก้ได้ก็อยากย้อนกลับไปแก้ แต่ปัจจุบันเราก็เป็นมนุษย์คนนึงไม่ได้เพอร์เฟกต์หรอก สิ่งที่ผ่านมาก็เป็นบทเรียนกับชีวิตเรา เวลาเราจะทำอะไร เราก็ต้องคิดนิดนึงว่าสิ่งที่เราทำจะส่งผลให้ใครไหม เราเชื่อว่าไม่มีใครเพอร์เฟกต์ ฉลาดร้อยเปอร์เซ็นต์ โง่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกอย่างเป็นสีเทา เรื่องการเมืองหรือสังคมมันเปลี่ยนไปตามกาลเวลาด้วย ความคิดคนก็เปลี่ยนไป เวลาเราจะทำอะไรไป เราต้องคิดมากกว่าตอนที่เราเป็นเด็กตอนนั้น
สิ่งที่อยากลองบอกตัวเองในอดีต คงต้องบอกว่า หนังแกเป็นเด็กที่แสบมาก ไม่ฟังใครเลย คงบอกว่าเราดื้อนะ เราต้องนึกถึงคนอื่นบ้างเวลาทำอะไร
สิ่งที่อยากบอกกับตัวเองในปัจจุบัน ทำไมเราไม่มีความเฟียสเหมือนเมื่อก่อนเลย (หัวเราะ) ความเฟียสเมื่อก่อนคือไม่ฟังใคร ความคิดตัวเองสำคัญมาก แต่ปัจจุบันเราแทบไม่มีคนนั้นเลย คนนั้นหายไปเยอะเหมือนกันนะ คนนั้นหายไปตั้งแต่เราเริ่มไปทำงาน ไปอยู่ตัวคนเดียว
สิ่งที่อยากบอกกับตัวเองในอนาคต ก็จะบอกว่าเก่งมากนะ ไปอยู่ในอนาคตได้ (หัวเราะ) ถ้ามองกลับมา สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตจะเป็นบทเรียนให้เธอนะ ทำให้เธอโตเป็นเธอ และจะไม่เสียใจ ที่เธอไม่ยอมแพ้ในการใช้ชีวิตในการทำความฝัน ไม่ได้รู้สึกว่าเสียดายที่ไม่ได้ออกมาพูดอย่างในรายการนี้ ก็ขอบคุณตัวเองที่มียอมแพ้กับอะไรง่ายๆ ในวันที่เราล้ม
ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ จนวันนึงเกิดเอฟเฟกต์กับคนรอบข้าง เพื่อนในวงการและนอกวงการ บอกไม่อยากเป็นเพื่อน บางคนขออันฟอลโลว์ บางคนขอลบรูปคู่ออก จนคิดว่าเราเป็นตัวปัญหา
“เมื่อก่อนเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แต่หลังๆ จะมีความคิดหลายๆ ความคิดที่กลับมานั่งคิด อย่างเรื่องดรามาที่เกิดขึ้น มันค่อนข้างเป็นเรื่องเซนซิทีฟ และไม่คาดคิดว่าจะไปกระทบคนรอบข้างด้วย การมีกระแสลบกับเรา เราเตรียมตัวมาในระดับนึง แต่มีจุดนึงที่ทำให้เราเสียใจมากกว่าคนอื่น คือไปเอฟเฟกต์กับคนรอบข้าง มีเพื่อนที่เป็นทั้งคนในวงการและไม่ใช่คนในวงการ มาบอกเราว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับเรา
หลังเกิดกระแสแบนไปแล้ว เขาบอกว่าเขามีภาระที่เขาต้องรับผิดชอบ เรารู้สึกว่าเราเป็นคนไม่ดี เราทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน ไปเป็นภาระคนอื่น บางคนขออันฟอลโลว์ไม่อยากมีปัญหากับคนในสังคม ไม่อยากมีปัญหากับสิ่งที่เธอมี หรือบางคนขอลบรูปที่ถ่ายด้วยกันนะ เพราะโดนคนมาพูดไม่ดีว่าเป็นเพื่อนเรา บางคนโดนแคนเซิลงานเพราะเรา หรือถึงขั้นบางคนไปทะเลาะกับคนที่บ้านเขา จนเรารู้สึกว่าโห ทำไมเราเป็นคนแบบนั้นวะ ทำไมเราไปเป็นภาระเขาขนาดนั้น จนเราคิดว่าเราเป็นปัญหา พอเราคิดแบบนั้น เริ่มไม่รักตัวเอง ความมั่นใจเริ่มลดลง ความรู้สึกดีกับตัวเองเริ่มลดลง จนเราคิดว่าเราเป็นคนไม่ดี ณ วันนี้ คนกลุ่มไม่น้อยเขารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เราทำ ดังนั้นเราต้องขอโทษจริงๆ เรื่องด่าเรื่องแบนมันเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว มันต้องมีคนที่ชอบและไม่ชอบเราแหละ แต่เมื่อการแอ็กชั่นของเราทำให้ใครรู้สึกไม่ดี เรารู้สึกเสียใจ”
ความรู้สึกตอนตัดสินใจออกจากวง
“มีดรามาเกิดขึ้น ปฏิเสธยากมากที่จะไม่เกิดเอฟเฟกต์กับคนในวง บางคนฝึกนานกว่าเรา ไม่อยากให้เขาต้องมาได้รับผลกระทบ จากเรื่องนึงที่เราทำ ทั้งที่เขาไม่ทราบอะไรเลย เขาแค่มีความฝันเดียวคือเดบิวต์ ก็เลยเกิดคำถามว่าเฮ้ย เรามาสร้างปัญหาให้น้องหรือเปล่า เราก็เข้าใจนะคะ คุณแม่บอกว่าอย่าคิดแบบนั้น แต่มันปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เราคิดว่าเราเป็นปัญหาในวง ทำให้น้องที่เขาไม่รู้เรื่อง ต้องมารับแรงกดดันจากทางค่าย หรือคอมเมนต์ที่เขาเห็น เราก็คิดว่าเราอยากเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้น ตอนนั้นน้องบอกว่าพี่ไม่เป็นไร แต่ยูปฏิเสธไม่ได้ว่าเอฟเฟกต์ยู และห้ามเรารู้สึกแบบนี้ไม่ได้ เรารู้สึกว่าปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นแค่เราคนเดียวจริงๆ แล้วไปเอฟเฟกต์กับน้องแค่ 3 คนที่เขาไม่รู้เรื่อง แล้วค่ายด้วย ครอบครัวน้องด้วย ครอบครัวเราด้วย
ตอนแรกเราคิดอยู่สักพักนะ แต่เราก็มีคำตอบในใจ เรามีคุณพ่อเป็นแรงบันดาลใจจริงๆ ในการทำงาน เราอยู่กับพ่อมาตลอด เรารู้ว่าพ่อเป็นคนขยัน ให้ความสำคัญกับการทำงาน มีความรับผิดชอบ รักการแสดง รักการทำงาน เรามองคุณพ่อ ก็อยากรักงานที่เราเลือกทำได้สักครึ่งนึงของเขา เราชอบคนที่ทำงานด้วยแพชชั่น และคุณพ่อมีแพชชั่นกับการแสดงมากจริงๆ สายตาที่เขามองงานเวลาเขาทำงาน มันมีพลังมาก เราอยากเป็นได้สักครึ่งนึงของคุณพ่อ อยากมีแพชชั่นกับสิ่งที่เราทำเหมือนคุณพ่อ ก็เลยเป็นคำตอบในคำถามนั้น ว่าใครคือแรงบันดาลใจของเรา
ซึ่งพอเกิดปัญหา เกิดดรามา ถามว่าเราเสียใจไหม มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก็เสียใจ จริงๆ คุณพ่อก็ไม่อยู่แล้ว เราก็ไม่ได้รู้สึกดีหรอกค่ะที่เวลาใครมาพูดถึงครอบครัว สำหรับเราครอบครัวคือที่หนึ่ง (ร้องไห้) ทุกครั้งที่เราเห็นคนมาพูดไม่ดีกับครอบครัว เราไม่ได้รู้สึกดีอยู่แล้ว เรารู้สึกเจ็บ แต่ถามว่าเราเข้าใจคนที่เขามาพูดเรื่องนี้ไหม เราเข้าใจมาก คนเราคิดต่างได้ เขามีเหตุผลของเขา แต่แค่ ณ วันนั้นการสูญเสียคนที่เรารักไปมันยังไม่ได้นาน มันเลยมีหลายความรู้สึก เข้าใจก็เข้าใจ รักคุณพ่อก็รักคุณพ่อ เสียใจมากที่สุดที่คุณพ่อไม่อยู่ มันมีหลายอย่างตีกันในสมอง
เราเคยคุยเรื่องนี้ก่อนที่คุณพ่อจะเสีย คุณพ่อบอกว่าเขาก็ทราบที่มีเรื่องนี้ เขาก็บอกว่ามีหลายอย่างในอดีตที่เขาทำ แล้วเขาก็ไม่คิดว่าจะมีหลายคนเสียใจ แต่เราก็ต้องยอมรับมัน เราเข้าใจกันและกัน ว่าสิ่งที่คุณพ่อเขาทำวันนั้น เขามีความเชื่อแบบนั้น แต่ความรู้สึกก็เป็นอีกเรื่อง มันเลยตีกันไปหมด ความเสียใจก็เป็นอีกเรื่องที่เราพยายามฮีลตัวเอง”
ร่ำไห้ย้อนนาทีที่สูญเสียคุณพ่อ คำสัญญาที่ทำไม่ได้
“ที่เขียนแคปชั่นว่าถ้ามีเวลาไปเยี่ยมคุณพ่อได้บนสวรรค์ อาจไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน ตอนคุณพ่อป่วยเราอยู่เกาหลี เราไม่ทราบ เรานิสัยเหมือนกัน เราเลือกไม่บอกเรื่องที่จะทำให้คนอื่นกังวล จนเรามารู้ 2 อาทิตย์ก่อนพ่อจะเสีย คนเดียวที่รู้เรื่องนี้คือคุณแม่ เราทราบว่าเขาทะเลาะกัน เพราะคุณพ่อสั่งคุณแม่ไม่ให้บอกเรา เพราะไม่อยากให้เราบินจากเกาหลีเพื่อทิ้งความฝันมาหาเขา ตอนที่เรากลับมาเป็นช่วงโควิด ทางค่ายก็ให้กลับมาก่อน เราก็โกรธคุณพ่อ ทำไมไม่มาเจอเรา เขาบอกว่าเขางานยุ่ง ขอไปอยู่อีกบ้านนึงก่อน
เราโกรธมาก และบ่นให้แม่ฟังว่าเราไม่โอเค เรากลับจากเกาหลีแต่คุณพ่อไม่อยากเจอหน้าเรา มันคืออะไร จนวันนึงได้รับโทรศัพท์ว่าให้ไปหาพ่อหน่อย แต่เป็นเสียงพี่อีกคน ก็ตกใจ แล้วเห็นคุณพ่อในสภาพที่เราไม่เคยเห็น (ร้องไห้) ผอมมาก ไม่ได้เหมือนคุณพ่อที่เราวาดไว้ สิ่งแรกที่เราทำเลย คือทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมเราไม่รู้ เราทำอะไรได้บ้างไหม ก่อนหน้านี้เราคิดโกรธคุณพ่อทำไม แล้วก็โกรธคุณแม่ ว่าทำไมคุณแม่ไม่บอก แต่สุดท้ายก็เข้าใจคุณแม่ คุณแม่น่าจะเจ็บปวดที่สุดด้วยซ้ำ
ช่วงเวลานั้นมันสั้นมาก คุณพ่อพูดไม่ได้แล้ว พูดได้น้อยมาก เราไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันเหมือนค่อยๆ นับถอยหลังไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน จนมาถึงวันที่คุณพ่อจากไป เรารู้สึกว่าถ้าเรารู้ว่าเขาจะไม่อยู่แล้ว เราคงเป็นลูกที่จะพยายามทำตัวให้ดีกว่านี้ และอยู่กับคุณพ่อในทุกวินาทีที่มันเหลืออยู่ (ร้องไห้) เราทำผิดกับเขา เราไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาเจอมามันคืออะไร มันคือการรู้สึกผิดที่ไปคิดโกรธเขา
พอคุณพ่อเสียไป เราก็รู้สึกว่าถ้าเรามีเวลาเหลือในโลกใบนี้กับคุณพ่อ เราก็คงอยากจะอยู่กับเขาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนเขาเสีย คุณพ่อมีแรงพูดน้อยมาก แต่น่าจะพูดประมาณว่าอยากเห็นเราเดบิวต์ และให้เราสัญญาว่าจะพาเขาไปดูเราเดบิวต์ได้ไหม แต่สุดท้ายเราทำไม่ได้ เราพาเขาไปดูเราเดบิวต์ไม่ได้ เรารู้สึกผิด เราโทษตัวเองว่าถ้าตอนนั้นเรารู้ว่าพ่อป่วย เราจะบินกลับมา เราจะทำทุกวิถีทาง แต่มันสายไปหมดเลยทุกอย่าง เราก็ตั้งตัวไม่ทันจริงๆ
แต่สุดท้ายได้เดบิวต์หลังเขาจากไปแล้ว และไม่ราบรื่น เราก็ไม่โทษใครทั้งนั้น เราก็คงเป็นมนุษย์คนนึงที่อยากได้รับคำชื่นชมจากคนหลายๆ คน และคงเป็นมนุษย์คนนึงที่ไม่ได้อยากจะไปทำร้ายใคร เป็นลูกคนนึงที่รักคุณพ่อ เห็นคุณพ่อเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน เป็นเด็กคนนึงที่ผ่านอะไรมาเยอะในเวลาสั้นมากๆ พอคุณพ่อเสีย คุณยายก็เสีย เราก็บินกลับมาเตรียมตัวเดบิวต์ และเจอเรื่องดรามา มันเยอะเหมือนกันนะสำหรับมนุษย์คนนึง เลยทำให้เรากลับมาคิดในบางที ว่าเราเป็นตัวปัญหาหรือเปล่า
ถ้าวันนึงเราหายไป ทุกอย่างอาจจะดีขึ้นหรือเปล่า (ร้องไห้) ปัญหาจะจบหรือเปล่า ความกลัวที่ไม่รักตัวเองมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็มีคำนึงที่พี่คนนึงบอกเราว่าคนจะรักเรามากขึ้นในวันที่เราไม่อยู่ เราอยากอยู่ได้รับความรัก เราไม่ได้อยากไม่อยู่แล้วได้รับความรัก เราอยากเป็นคนที่มีลมหายใจแล้วมีคนชื่นชมเรา เราไม่อยากไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วค่อยมาได้ยินคำชื่นชม
สุดท้ายก็อยากขอบคุณครอบครัวที่อยู่ข้างกันมา ขอบคุณเพื่อนที่ถึงแม้มีบางคนเขาคิดอีกแบบ แต่เราก็มีเพื่อนที่เขาอยู่ข้างเรามาตลอด ขอบคุณทุกคนที่เชื่อในตัวเรา และรักเรา แม้ในวันที่เราอ่อนแอที่สุด แม้เราจะไม่รักตัวเองก็ตาม”