ตบกับแตะของเราไม่เท่ากัน “ม้า อรนภา” ยันไม่ได้ตบ แค่แตะสั่งสอนดาราน้องใหม่ เหมือนแม่สั่งสอนลูก เคลียร์กันไปจบแล้ว แต่ทนายทำให้เรื่องใหญ่ บอกไม่ฟ้อง ถูกไล่ออกจากงานหนักกว่านี้ เตรียมนัดเคลียร์ใจในรายการคุยแซ่บโชว์พรุ่งนี้ (1 ธ.ค.) ด้าน “ทนายตั้ม” สวนแซ่บทันทีหลังแถลง แตะก็แตะ เชื่อคนงงทั้งประเทศ
หลังจากเป็นประเด็นใหญ่โต ฉาวข้ามประเทศ กรณีที่ “ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด” ปล่อยคลิป “ม้า อรนภา กฤษฎี”ตบหน้าดาราน้องใหม่ที่ประเทศเกาหลี เหตุไม่พอใจที่ดาราน้องใหม่ไม่ไปกินปูด้วยกัน ขณะที่ทนายเผยภาพคล้ายดาราน้องใหม่ไปแจ้งความที่ประเทศเกาหลี พร้อมเผยสภาพจิตใจดาราย่ำแย่ บล็อกเบอร์ บล็อกไลน์ ต้องย้ายโรงแรมหนี ด้านพ่อแม่ดาราก็ไม่ยอมเรื่องนี้ จะเอาเรื่องถึงที่สุด
ล่าสุดวันนี้ (30 พ.ย.) ม้า อรนภา ที่เดินทางกลับถึงเมืองไทยเมื่อคืนที่ผ่านมา ก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงความจริงอีกด้าน โดยยืนยันว่ามีการเคลียร์กันไปหมดแล้ว และตนก็ไม่ได้โดนดำเนินคดีอะไรที่ประเทศเกาหลี แต่อีกฝ่ายอาจจะยังคาใจอยู่ ส่วนเรื่องตบ ไม่ขอใช้คำว่าตบ เพราะตนแค่แตะ สั่งสอนเหมือนแม่สอนลูก
“ไม่ได้อยู่ในวงการ แล้วต้องมาเจออะไรแบบนี้ (หัวเราะ) ตอนอยู่ในวงการไม่เห็นเจอแบบนี้เลย ขอบคุณน้องที่เชื่อฟังกันดีมาก ไม่ไปรอดิฉันที่แอร์พอร์ต เพราะเมื่อคืนเครื่องก็ดีเลย์ไป 35 นาที บอกแล้วว่าวันนี้จะเจอก็เจอกัน จะพูดในพาร์ตของเราทั้งหมด
กำลังใจเยอะมาก ขอบพระคุณมากๆ เลย ตั้งแต่ตอนที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่ได้ทำ คือได้พยายามเขียนและคิดว่าจะโพสต์ แต่พอมาคิดดูอีกที มีคนที่ให้ความคิดเห็นอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ก็บอกว่าอย่าเพิ่ง แต่วันนี้อยากอ่านสิ่งที่อยากจะโพสต์ให้ฟังก่อน จากนี้จะเล่าเรื่องทั้งหมด
(อ่านสิ่งที่เขียนแต่ไม่ได้โพสต์) คือก่อนอื่นต้องขอโทษจริงๆ เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มากๆ เสียใจมากๆ ยอมที่จะรับผิดตรงนี้แน่นอนค่ะ แต่ก็ได้ขอโทษน้องเขาไปแล้ว เราได้ปรับความเข้าใจกันหมดทุกสิ่งทุกอย่าง จนกระทั่งน้องเข้าใจ เราก็เข้าใจด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่ทราบหลังจากนั้นว่าน้องเขายังมีบางอย่างติดคาใจเขาอยู่ มันเลยทำให้มีการไปปรึกษาทนายหลายๆ คน ซึ่งหลังจากที่เกิดเรื่อง ยังใช้ชีวิตด้วยกันอีกหลายๆ วันมากๆ เลยทีเดียว
จนกระทั่งวันนึงมีการนำเสนอเรื่องราวนี้ขึ้นมา หลังจากที่เราได้พยายามติดต่อน้องทันที แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งในที่สุด เราติดต่อกับผู้จัดการคนเก่าของเขา พอเราได้พูดคุยกันแล้วก็ตกใจกับการนำเสนอข่าวมาก ที่จริงน้องเองก็ไม่กล้ามาเจอหน้าเราจากการที่มีข่าวเกิดขึ้น แต่เราก็ได้พูดคุยกับผู้จัดการของน้อง ในที่สุดเราก็ได้เจอกันวันที่ 29 วันสุดท้ายของภารกิจที่ได้ทำ และเมื่อกลับถึงเมืองไทยจะพูดผ่านสื่อพร้อมกันด้วย ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมด อยากให้รอฟังจากเราทั้งสองคนจะดีที่สุด
สิ่งหนึ่งเลยเราต้องขอโทษคุณพ่อคุณแม่ของเขา และขอโทษกับสิ่งที่เราทำผิด และทำให้ทุกคนผิดหวังในตัวเรา แต่อยากให้รับฟังเราทั้งสองคนจากปากเรา และอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจว่าอะไรที่เกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็ต้องขอยอมรับในผลที่เกิดขึ้นตามมา
นี่คือสิ่งที่เราเขียนเอาไว้ เพื่อจะนำไปโพสต์แต่ก็ไม่โพสต์ เพราะคิดว่าน่าจะเงียบไว้ก่อน ทุกอย่างควรเงียบๆ ไว้ก่อน ในขณะที่มันมีกระแสเยอะแยะมากมายรุนแรง ไม่รู้จะตอบโต้กันไปทำไม
เราทำมาร์เก็ตติ้งให้ศัลยกรรมรพ.เกาหลีมานานหลายปีมากๆ ที่ทำให้เขา สาเหตุเพราะเขาดูแลเรามาตลอด ตั้งแต่แรกๆ ใครเห็นก็อยากให้เราช่วยแนะนำ ไม่เคยคิดว่าทำมาร์เก็ตติ้งเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็มีหลายคนที่ให้เราแนะนำและไปด้วยกัน เวลาทำอะไรสิ่งหนึ่งที่เป็นกมลสันดานตัวเองคือต้องทำทุกอย่างให้เกิดความสมบูรณ์แบบ พอใจในสิ่งที่เราจะเป็นคนทำให้เขา ให้คนที่ได้รับมีความพึงพอใจอย่างมากถึงมากที่สุด
ทุกครั้งที่ไปเราจะไม่อยู่นิ่ง จะไปดูว่าเราควรไปกินอะไรที่ไหน อะไรควรอร่อย เราควรไปดูอะไร เกาหลีใต้มันมีอะไร ไปเอาต์เล็ตตรงไหน เราก็จะไปสืบเสาะอย่างนี้ จนกระทั่งเพื่อนๆ ขอตามไปด้วย เวลามีเคสที่ไป เพื่อนทุกคนบอกว่าขอบคุณ สนุก และดีใจมาก ดังนั้นทุกๆ ครั้งที่มีคนที่เราต้องดูแล เราก็จะทำแบบนี้ตลอดเวลา และไม่ได้ทำแบบนี้มา 3 ปีเต็มๆ เพราะโควิด มันก็ต้องหยุดไป ก็จะเป็นเคสนี้คือเคสแรก
เคสนี้รู้จักกับน้อง จากผู้จัดการส่วนตัวของเขาที่เป็นคนก่อนเป็นคนแนะนำ สิ่งหนึ่งที่พูดเลยคือ เธอเป็นคนหล่อ แต่เสียอย่างเดียว คนหล่อห้ามมีจมูกงุ้ม เหมือนผู้หญิงห้ามฟันเก ต้องเรียบ ควรทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบเพื่อนำตัวเองเข้าไปสู่แวดวงบันเทิงได้อย่างดี เพราะเราต้องครบถ้วนกระบวนความ เขาก็ได้ไปปรึกษาแพทย์เรียบร้อย แต่ก็ยังไม่ได้มีการนัดหมาย มีการวางมัดจำใดๆ ทั้งสิ้น ก็ไม่ได้ติดใจ ปล่อยวางไป เพราะมีคนอื่นที่อยากไป มีการนัดหมายด้วยเช่นกัน
วันนึงอยู่ๆ ผู้จัดการเขาบอกว่าน้องอยากจะไปแล้ว ก็เลยบอกให้น้องติดต่อมาเลยแล้วกัน น้องก็ติดต่อมา พี่ก็จัดการติดต่อเกาหลีให้เรียบร้อยทุกสิ่งทุกอย่าง เราใช้เวลาในการติดต่อ เดี๋ยวนี้เดินทางไปเกาหลีมีเรื่องการทำวีซ่า ก็บอกไฟลต์ว่าควรไปตอนนี้ สิ่งหนึ่งที่น้องบอกคือว่าเขาอยากไปเที่ยวก่อน 2 วันได้ไหมจะได้ไปถ่ายรูป ให้พี่ช่วยพาไปเที่ยวด้วยนะ เพราะเขาเคยไปครั้งนึง เขาไม่เห็นประเทศเกาหลี นอกจากผับบาร์ เราบอกว่าไม่มีปัญหา มันเข้าทางเราอยู่แล้ว เราต้องดูแลแบบนี้อยู่แล้ว เป็นการดูแลครบถ้วน ดูแลก่อนทำ ทำ หลังทำ ดิฉันเป็นคนหาข้าวหาน้ำ จัดสรรทุกสิ่งทุกอย่าง มีหลายคนที่เคยไปกับดิฉันเขาจะรู้ ดิฉันดูแลแบบสุดๆ เพื่อให้เกิดความประทับใจ ไม่เสียชื่อเสียงของเรา เราเป็นคนทำงานแบบนี้ ไม่งั้นคงอยู่ในแวดวงบันเทิงไม่ได้ตั้ง 30-40 ปี เพราะเราต้องสมบูรณ์แบบทุกเรื่อง
แต่ทุกครั้งที่เราจะทำอะไร เราต้องถามผู้ร่วมทางด้วยตลอดเวลา ว่าถ้าอยากไป ไปตรงนี้ไหม ชอบแบบนี้ไหม มันต้องถาม ถูกไหมคะ เขารู้หมดแล้วว่าต้องไปไหน เขาเป็นลูกค้า เราต้องทรีตเขาเป็นลูกค้า ไปถามได้ทุกคน มีเซเลบในประเทศไทยไปกับดิฉันไม่รู้กี่คนแล้ว ทุกครั้งที่ไป ดิฉันมีจรรยาบรรณของดิฉันในการทำงาน คือจะไม่บอกว่าเป็นใคร คุณเห็นใช่ไหม ในไอจีหรือเฟซบุ๊ก ดิฉันก็บอกว่าดิฉันไปพักกบาล ไปทำสวย ทุกคนก็รุมว่าอีนี่ไปอีกแล้วทำสวย ดิฉันไม่มีรูปคู่ถ่ายกับลูกค้าเด็ดขาด เพราะต้องปิดบังไว้ ยิ่งเป็นเคสในอนาคตข้างหน้าเขาต้องเป็นคนในวงการ ก็ไม่อยากให้ด่างพร้อย เอาไปเม้าธ์กันได้ทีหลัง เราพยายามปิดบังหมดทุกเรื่องราว
ดิฉันไม่รู้ว่าจะมีการถ่ายสตอรี่หรืออะไร ดิฉันไม่ทราบ หรือทราบแต่ก็ไม่ได้สนใจว่าเขาจะเอาไปลง แต่ของดิฉันรับรองไม่มีเล็ดลอดออกไปเด็ดขาด เรานัดหมายกันไว้แล้วเรียบร้อย แต่น้องเขาพลาดไปไฟลต์เดียวกับดิฉัน เพราะจองช้าไป เราเตือนทุกวันว่าจองหรือยัง เขาก็ครับๆ ก็เข้าใจวัยรุ่น ในที่สุดเขาบอกว่าเขาจองไม่ได้ เพราะไฟลต์นั้นมันเต็ม เขาต้องไปไฟลต์อื่น ซึ่งไปถึงก่อนหน้าดิฉัน 2 ชม.ดิฉันก็บอกว่าต้องรอนะ เพราะต้องเอารถรพ.มารับแล้วไปด้วยกันทีเดียวเลย เขาบอกไม่มีปัญหา อยู่ได้ จนเราไปเจอกัน
พอไปเจอกัน เช็กอินที่โรงแรม เมืองนอกต้องเช็กอินบ่ายสอง แต่เราไปถึง 10-11 โมง เราก็เลยไปนั่งกินกาแฟ ไปพูดคุย และได้เรียนรู้ สิ่งหนึ่งดิฉันดูแลใครก็แล้วแต่ จำเป็นมาก เพราะแต่ละคนต่างพื้นฐานกันมาก ผู้ใหญ่ก็แบบนึง กลางคนก็แบบนึง ดิฉันก็ต้องศึกษาอยู่ตลอดเวลา เพื่อทำยังไงให้เขาถูกใจ ยิ่งเป็นวัยรุ่น เคยมีวัยรุ่นอายุน้อยกว่าเขาอีกที่ไปทำ อันนั้นง่ายมาก เขาไปกับเพื่อน แต่อันนี้น้องเขามาคนเดียว เราก็ยิ่งต้องคอยดูแล ผู้จัดการส่วนตัวของเขาก็ฝากฝังมา ก็ยิ่งต้องดูแลเพราะเราสนิทและรู้จักกัน พอเราไปนั่งคุยกัน ก็พอจะเข้าใจว่าน้องเป็นยังไง มีหลายๆ ท็อปปิกที่พูดคุยกันเยอะแยะ เราก็ต้องสอน คนจะเข้าวงการมีหลายอย่างที่อาจจะพลาดไป เผลอไป พลั้งไป ก็จะทำยังไงให้เข้ามาได้แล้วอยู่ได้นานๆ เขาก็เรียกดิฉันแม่ ก็ขอบพระคุณ เขาบอกว่าให้เรากลับเข้าไปใหม่สิ แต่เราบอกว่ากลับไม่ได้ จะกลับเข้าไปได้ยังไง ถ้าเขาไม่เรียก
ประโยคนี้พูดอยู่ตลอดเวลา ถ้าเขาไม่เรียกก็ไม่รู้จะกลับยังไง เขาก็บอกว่านี่ไง แม่มีช่องของตัวเอง ต้องได้ ก็บอกว่าหยุด ฟังก่อน ไปจับที่แขน ฟังก่อน อย่ากดดัน เขาก็บอกไม่ได้ๆ ดิฉันก็ตีต้นแขน บอกว่าอย่าๆ ใจเย็นๆ ฟังก่อน อย่ากดดันแม่ขนาดนี้ ไปทานข้าวกัน เขาก็ชอบถ่ายรูปโน่นนี่นั่น ก็ไม่ว่ากัน เสร็จแล้วพักเข้าโรงแรม นัดกันตอนเย็นๆ เพื่อรับประทานอาหารค่ำ ก็บอกว่าไปใกล้ๆ แถวนี้แล้วกันเนอะ จะได้ไม่ต้องไปไกลๆ โรงแรม จะได้พักผ่อน วันรุ่งขึ้นอาจได้ไปเที่ยวต่อ เราก็พูดคุยว่าอยากไปเที่ยวไหน อยากทำอะไร ก็บอกว่าเอาแบบนี้ไหม โรงแรมอยู่ใกล้วัด ดิฉันพาลูกค้าไปไหว้พระเสมอ จะได้ไปขอพร ถามว่าอยากไปไหน อยากทำอะไร อยากดูอะไร คิดว่าชอบเมียงดงแน่ๆ เลย ขึ้นไปดูโซลทาวเวอร์ก่อนไหม เขาก็ครับๆ ดีใจมาก ไปหาอะไรกินกันก่อนแล้วกัน แล้วไปโซลทาวเวอร์ ตกเย็นจะไปไหน จะไปทานอะไร มีหลายอย่างนะ มีไก่ตุ๋น ไปกินปูไหม
ทั้งหมดดิฉันรู้จักร้านมา เพราะไปบ่อย และเลือกสรรมาแล้วว่ามันดีมาก ทุกร้านที่พาไปทุกคนแฮปปี้มาก แม้แต่คนที่ไม่ได้ไปทำ ก็ขอที่อยู่ และไปกันเองเมื่อเขาไปเที่ยว และกลับมาบอกว่าดีมาก อร่อยมาก สนุกมาก ก็จะเป็นบ้านๆ แบบนี้ แต่มันดี หลายคนที่เคยไปก็คงจะรู้ เราก็ถามเขาว่าเอาไหม เขาบอกเอาครับ เขาชอบกินปู ก่อนออกจากโรงแรม ดิฉันก็ต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์แบบ เพราะเกาหลีทุกอย่างเงียบเหงามาก กรุงเทพฯ เราครึกครื้นที่สุด ดิฉันก็ตายแล้ว จะเอายังไงดี ร้านปิดเยอะ โรงแรมปิดเยอะมาก โรงแรมที่อยู่ประจำก็ปิดหมด ด้วยพิษเศรษฐกิจโควิด เราก็ให้ทางโรงแรมที่เราพักโทรไปเช็กว่าวันจันทร์เปิดไหม พอเขาบอกว่าเปิด เราก็โอเค เราจะไปจบท้ายกันที่กินปู เพราะวันรุ่งขึ้นน้องเขาต้องทำการผ่าตัดแล้ว สิ่งหนึ่งคือเราจะไปกินเร็วหน่อย เพราะจะมีการงดอาหารและน้ำให้ได้ 6 ชม.ในการผ่าตัด เพราะจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีเอฟเฟกต์ เราไปรีบกินเร็วหน่อยก็ได้
วันนั้นหลังไหว้พระเสร็จ ตกลงไปโซลทาวเวอร์ เรียกแท็กซี่ ขึ้นไปโซลทาวเวอร์ น้องเขาก็ถ่ายรูป ทำโน่นทำนี่ ดูเพลินๆ เขาบอกว่าเขาชอบถ่าย เดี๋ยวเขาถ่ายรูปให้นะ เราก็เออ ดีเหมือนกันเนอะ มีคนถ่ายรูปให้ เพราะเราเซลฟี่ไม่เป็น ก็บอกว่างั้นช่วยถ่ายคลิปอันนี้ให้หน่อยได้ไหม เพราะโซลทาวเวอร์ไม่เคยเป็นแบบนี้ เมื่อก่อนคิวยาว แน่นมาก แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีคน เขาก็ลั้ลลาทำให้เสร็จ เราก็สบายใจ เพราะอากาศดี จนกระทั่งมาถึงโซนที่ดูวิวกังนัม มีแม่น้ำกั้น สวยมาก พอนั่งดูกัน น้องเขาก็พูดว่าเดี๋ยวเราแยกกันไหม ผมเกรงใจแม่ อยากทำโน่นนี่ต่างๆ นานา เราก็เริ่มเรียนรู้ว่าดิฉันเป็นหญิงแก่ เขาเป็นวัยรุ่น คนละภาษา ความชอบก็ไม่เหมือนกันแน่ๆ เราก็พยายามเก็บข้อมูลเพื่อค่อยๆ ปรับให้ได้ดีที่สุด แต่เขาไม่รู้ เพราะเราไม่ได้อธิบาย
เสร็จปั๊บเราก็บอกว่าไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวแม่มีที่ที่แม่อยู่ เป็นที่ร้านของไกด์ทั้งหลาย นั่งรอลูกทัวร์ ช้อปปิ้งได้เลย เราจะอยู่ที่นี่ มีของเยอะขนาดไหน เอาของมาฝากเราได้ แต่ไม่ได้อธิบายให้น้องฟัง คิดว่าเดี๋ยวไปเต็มที่ ก็บอกว่าจะไปไหนก็ไปเลยได้เต็มที่ ดิฉันก็นั่งอยู่รอประมาณ 2-3 ชม. แต่ก็แฮปปี้ นั่งคุยโทรศัพท์ไปก็เพลินๆ พอนานก็คิดว่าน่าจะหิว ก็สั่งวาฟเฟิลมา พอลูกทัวร์มาอาจหิวโซ เพราะไม่ได้กิน ดิฉันก็ไลน์ไปถามเขาว่าช็อปหมดตลาดไหม
เขาก็ถ่ายรูปมา โอ้โห 5 ถุง บอกว่ากำลังจะกลับแล้วนะครับ กำลังจะไปหา ก็แน่นเลย วางอยู่ที่คาเฟ่ที่เราไปกัน พอเขากินวาฟเฟิลเรียบร้อย ก็ถามว่าซื้ออะไรมาบ้าง เครื่องสำอางหนักนะ ไหวไหมเนี่ย มีรองเท้าด้วยเหรอ กำลังจะไปภูฏาน ไปขึ้นเขาก็อยากได้รองเท้าเหมือนกัน เขาก็บอกว่าเดี๋ยวเขาพาไป ก็ถามว่าไหวไหม ที่ถามเพราะเราเป็นคนช้อปปิ้ง ถ้าเยอะขนาดนี้เราไม่ไปไหนแล้ว ดิฉันเป็นนักช็อปตัวยง ประมาณตนได้ เขาก็บอกว่าไหวครับ เขาก็หิ้วไป แล้วมันเงียบเหงามาก ก็บอกให้ถ่ายรูปให้หน่อย เขาก็ถ่ายรูปให้ดิฉัน ดิฉันก็ถามอีกว่าไหวไหม ถ้าไม่ไหวก็ว่ามา เราจะได้เปลี่ยนแผน เพราะของเยอะเหลือเกิน เขาก็บอกว่าไหวครับ ก็เดินไปที่ร้านรองเท้า”
เล่าจังหวะมือไว ยันแค่แตะไม่ได้ตบ แต่ยันไม่ได้ตั้งใจ
“ระหว่างที่เดินไปที่ร้านรองเท้า ดิฉันก็ซื้อของ เขาก็วางของ ก็บอกให้วางดีๆ เพราะของเยอะมาก ก็ไปเลือกรองเท้านั่นนี่ พอดูเสร็จเรียบร้อย จ่ายตังค์ ก็ต้องไปกินอาหารกัน พอลุกขึ้นมาแล้วยืนอย่างที่เห็นในคลิป ประโยคที่เขาพูดคือจะไม่ไปกินปูแล้วนะ ดิฉันก็มือไว บอกจะบ้าเหรอ ก่อนหน้านี้ดิฉันก็เคยตีมือ บอกว่าหยุดพูดเดี๋ยวนี้ ห้ามกดดันเด็ดขาด หลายๆ เรื่องที่เราคุยกัน อยู่กับเขามาวันครึ่ง สอนเขาหลายเรื่องมาก ก็บอกว่าหัดฟังๆ ไม่ได้ฟาดอะไรเลย แล้วจับมือ ห้ามพูดแบบนี้ ดิฉันก็ตกใจเหมือนกัน ที่บอกว่าไม่ไปกินปูแล้ว ตอนนั้นเราจองร้านแล้ว
ไม่ได้โมโห หนึ่งคือมือไว เธอต้องฟังฉันก่อน อย่าพูดอย่างเดียว การฟังจะทำให้เธอฉลาดขึ้น อันนี้ตั้งใจหมดทุกอย่าง กำลังจะไป แล้วอยู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาบอกว่าไม่ไปกินปูแล้วนะ เราก็อ้าว อีนี่จะบ้าเหรอ ถามว่าแรงไหม จะบ้าเหรอ (หัวเราะ) แค่เห็นในคลิปก็น่าจะพอรู้แล้วว่าคืออะไร เขาก็บอกว่าตบหน้าผมเลยเหรอ เราก็เออ ใช่ ตายแล้ว ขอโทษ ถ้าเป็นคนอื่นผมด่าไปแล้วนะ ตอนนั้นเราเดินไปจับเขาไว้ ขอโทษนะ เขาบอกว่าตบหน้าอย่างนี้ไม่ได้ ขอโทษจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจ ที่ทำเพราะตกใจ อยู่ๆ ทำไมเปลี่ยน แล้วพอเปลี่ยนจะทำอะไรต่อ ก็เฮ้ย อย่าสิ จะไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน ถ้าไม่ไปก็ต้องบอกล่วงหน้า ดิฉันถามย้ำมาตลอด 3 หน
ดิฉันก็แตะไปทีเดียว บอกว่าจะบ้าเหรอ ดิฉันชอบเป็นแบบนี้ เวลาใครทำอะไรผิด ตบปากตัวเองเท่าอายุดิฉันเลย ดิฉันมักพูดแบบนี้ (ใช้คำว่าแตะ?) แตะสิ ไม่ได้..(ทำท่าง้างมือฟาด) เราไม่ได้โมโหหิว จะโมโหหิวทำไม ในเมื่อฉันก็อยู่ในคอฟฟี่ช็อปรอ ขำๆ กันไป
พอเขาบอกว่าทำแบบนี้ไม่ได้ผมโกรธมาก ตายห่-แล้วกู เสียใจมาก ทำยังไงดี เขาบอกให้ปล่อยเขา ให้เขาอยู่คนเดียว ระหว่างนั้นก็เดินตามเขาห่างๆ เขาไปยืนอยู่ริมถนนหน้าเมียงดง เราก็ยืนแทะข้าวโพดไปก่อน ชอบกินข้าวโพดตรงเมียงดง อร่อยดี ให้เขาสงบสติอารมณ์ พักใหญ่ๆ พอสมควร เห็นเขายังไม่ไปไหน เราก็ค่อยๆ เดินเข้าไปจับมือเขา บอกว่าขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจเลย สิ่งที่เกิดขึ้นคือตกใจ ถามมาตลอดแล้ว และไม่มีการปฏิเสธใดๆ ทั้งสิ้น คิดว่าทุกอย่างเหมือนเดิม แล้วอยู่ๆ มาบอกแบบนี้
น้องต้องเข้าใจนะ จะชอบไม่ชอบพูดกันดีๆ ไปไม่ไปก็บอกมา ดิฉันก็เป็นคนมือไว เราพูดคุยสนิทกันพอสมควร ก็บอกว่ามันอันตรายเหมือนกันนะ การที่เราต้องมีการรับผิดชอบในการนัดหมาย อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ สอนอะไรหลายๆ อย่าง แต่เราก็พูดขอโทษตลอด รู้สึกไม่ดีมาก ขอโทษมากๆ เขาก็บอกว่าได้ครับ ผมเข้าใจ เรื่องนี้ผมจะไม่บอกใครแม้กระทั่งพี่ธง ซึ่งเป็นผู้จัดการเขาก็จะไม่บอก ดิฉันไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แค่จับมือตลอดเวลาและรับฟังเขาเท่านั้นเอง เราก็สอนเขาโน่นนี่นั่นต่างๆ
คุยกันอยู่สักพัก จนทุกอย่างมีการเข้าใจ ประนีประนอมไปแล้วทุกเรื่อง เขาก็เข้ามาขอบคุณ และกอดดิฉัน บอกว่าสอนเขาหลายๆ อย่าง ขอบคุณมากนะครับ ดิฉันก็บอกว่าขอบคุณมาก นึกว่าทุกอย่างสงบลง เขาก็บอกว่าไปกินปูกันครับ ดิฉันก็ได้ ไปก็ไป ขณะที่ไปที่ร้านปู เราก็พูดคุยหลายร้อยเรื่อง เรื่องการเป็นอยู่ เรื่องการฟัง จนถึงร้านปู ดิฉันก็รู้จักเจ้าของร้านเป็นอย่างดีแต่ใช้ภาษาใบ้กันตลอด พอของมาก็ถ่ายรูป แต่ระหว่างทางบางทีก็บอกว่าน้องช่วยถ่ายคลิปคุณแม่ขายห่อหมกหน่อยได้เปล่า เขาก็ได้ครับ ถ่ายให้ 2 ครั้ง จากนั้นเขากินปู ก็ถ่ายรูป และเงยหน้าพูดว่าส่งรูปไปให้แม่ดู แม่บอกว่าน่ากินจัง ก็กินจนอิ่มแปล้เลย
เขาบอกว่าจริงๆ อยากกลับไปดูละคร กินจนเสร็จเรียบร้อยกลับไป พอถึงโรงแรมก็บอกว่าเจอกัน 11 โมงครึ่งเนอะ เพื่อพบแพทย์และเข้าห้องผ่าตัด ดิฉันก็ปล่อยเข้าไป ในใจคิดว่าเขาคงไปเที่ยวกลางคืน ก็พยายามบอกว่าห้ามดื่มน้ำ ห้ามกินอะไรหลังจากนั้น 6 ชม. แต่เรารู้ว่าเขาเป็นวัยรุ่น เราก็กลัวจะไปผับบาร์ไหม แต่ก็ไม่ได้กวนเขา พอเช้ามาก็โทรปลุกว่าเราเจอกัน 11.30 น. ที่หน้าห้อง แล้วก็ถามเขาว่าเมื่อคืนไปไหนมาหรือเปล่า เขาก็บอกว่าไป ไม่ได้กินอะไรใช่เปล่า เขาก็บอกว่าไม่ๆ ก็รีบกลับมานอน ถึงรพ. ทุกอย่างก็พูดคุย
ตอนเดินถ่ายคลิปให้หน่อย ขายห่อหมก พอถึงรพ.ก็ส่งเขาเข้าห้องผ่าตัด ตอนเย็นๆ ก็กลับมารับ เขาก็ไม่ได้มีอาการแย่มาก เพราะแค่ทำจมูก ไม่ได้เคสใหญ่โตมากมาย พอดีรถรพ.ก็น่ารัก เขาขับรถไปส่งให้ เขาก็บอกว่าอยากนอน เคสแบบนี้ไม่ได้หลับ ต้องให้รู้ตัวตลอดเวลา เราก็บอกว่าได้ จะนอนสักชม.ครึ่งก็ได้ เย็นๆ ไปหาอะไรกิน แต่พอถึงเวลาดิฉันก็ต้องโทรถาม น้องผู้ชายดิฉันไม่ได้อยากเข้าไปในห้องเขา ก็ใช้วิธีการโทร ถามว่าตื่นหรือยัง ลองจิบน้ำสิ การจิบน้ำจะบอกได้ว่ามีอาการคลื่นไส้ไหม จะไปกินอะไรหรือเปล่า เขาบอกว่าไม่ครับ ซื้อขนมปังมา ถ้าอย่างนั้นก็ต้องกินยานะ ดิฉันก็ไปของดิฉัน ก็เริ่มรู้แล้วว่าคนแก่กับเด็ก บางทีไปด้วยกันคงไม่สนุก
พอเช้ามาดิฉันก็โทรไปถามว่ากินอะไรหรือยัง วันนั้นเป็นวันแรกที่ทำเสร็จแล้ว เพราะต้องกินยา เขาก็บอกว่ากินแล้ว ด้วยความเป็นห่วง เอาวะ ไปเคาะห้องดีกว่า ขอไปดูผลของการทำแล้วกัน เขาก็บอกว่าโป๊อยู่ ก็ถามต่อว่าเขาจะไปไหน เขาบอกว่าเขาจะนอน ก็บอกว่ายังไงต้องออกไปเดินนะ การเดินทำให้ลดบวมได้ดีที่สุด และไปตอนหนาวๆ แผลจะหายไวมาก เราก็เข้าใจแล้ว คงต้องปล่อย ดิฉันก็ไปลั้ลลากับคนอื่นๆ พอตกกลางคืนก็ถามว่ากินข้าวหรือยัง ต้องกินยานะ อีกวันก็ทำแบบนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะจากนั้น 3 วันต้องไปถอดเฝือก ต้องไปล้างแผล
ดิฉันก็ถามแบบนี้ทั้งเช้าเย็น เพราะเป็นห่วง ต้องกินยา เป็นกฎบังคับเข้มงวดมาก เขาก็รับสายตลอดเวลา จนวันล้างแผล เราก็นัดวันกัน เพราะรพ.เขามีข้อมูลส่งมาให้ดิฉัน ดิฉันก็ส่งต่อให้น้องทุกครั้ง ตอนนั้นประมาณสายๆ ก็เดินไปด้วยกัน ยังถ่ายรูปกันโน่นนี่ ก็บอกว่าถ่ายคลิปแม่ขายห่อหมกหน่อย ก็ถ่ายๆ กัน ทุกอย่างก็ปกติหมด ตั้งแต่วันผ่าตัด เข้าไปห้องเขาไปดูแผล วันที่สองที่สามก็โทรเช้าโทรเย็น
พอวันที่ 4 ที่เราต้องไปล้างแผล ยังออกมาเจอกันหน้าห้อง เดินไปถ่ายคลิป พอไปถึงก็ทำการล้างแผล เราต้องอยู่กับลูกค้าตลอดเวลา จะมีล่ามคอยบอกทุกอย่าง เราจะต้องบอกเขาว่าต้องทำแบบนี้นะ เราผ่านมาหมดแล้ว เราจะเข้าใจมากกว่า ห้ามพลาดทุกอย่าง จะได้หายเร็วที่สุด เดินมาหน้ารพ. เขาก็บอกว่าวันที่ 29 เดี๋ยวเจอกัน เป็นวันสุดท้ายตัดไหม แล้วไปแอร์พอร์ต เพื่อกลับ เราก็ถามอีก แล้วจะไปไหน เราก็ไม่เข็ด เราก็เป็นห่วงว่าจะกินอะไร จะไปที่ไหน เขาบอกว่าเดี๋ยวเขาเดินแถวนี้
วันนั้นเป็นวันความงามของฉัน ตอนบ่ายแก่ๆ หน่อย หมอนัดไว้ให้เรียบร้อย ขณะที่ดิฉันนั่ง เล่าย้อนกลับไปอีกนิดว่า หลังมีการแตะหน้าไปเรียบร้อย มีอยู่วันนึงฉันนั่งไปทานกาแฟ ทักไลน์ไปหาผู้จัดการเขาว่าน้องคนนี้เป็นยังไง ต้องเริ่มศึกษามากขึ้นกว่าเดิมไหม ก็อยากรู้ว่าน้องเป็นยังไง ผู้จัดการก็โทรมาบอกว่าไม่ได้ดูแล้ว เขาเพิ่งทะเลาะกันไป เราก็อ้าว ทำไมไม่เห็นบอกฉันเลย เขาบอกว่าเขาปล่อยแล้ว และเพิ่งรู้ว่าเขาเป็นเด็กปิ๊กมาก่อน แต่ปิ๊กก็ไม่ได้ดูแล้ว เราพยายามดีลให้ได้แล้วกัน วันนั้นดิฉันเข้าไปทำหน้า”
รู้ข่าวเพราะผู้จัดการอีกฝ่ายโทรมาบอกให้รีบหนีออกนอกประเทศเกาหลี ยันไม่ถูกดำเนินคดีอะไรที่เกาหลี ไม่งั้นคงออกนอกประเทศไม่ได้
“อยู่ๆ ก็มีข่าวส่งมาให้ดิฉันว่ามีทนายโพสต์ ผู้จัดการเขาก็โทรมาหาดิฉันว่ารีบออกจากประเทศเกาหลีเดี๋ยวนี้ เขาคงไปแจ้งความ ตั้งแต่ไม่ได้เจอน้อง โทรศัพท์คุยกัน ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น รับรู้แค่ว่าเราต้องบอกเขาเช้าเย็นๆ แค่นั้นเอง ดิฉันก็อ้าว เกิดอะไรขึ้น ไหนบอกว่าจะไม่บอกใคร แม้แต่ธงเองก็จะไม่บอก แต่ธงโทรมาบอกให้รีบออกจากเกาหลีไป (หัวเราะ)มีข่าวด่าในไอจีดิฉันกับเฟซบุ๊ก รุมทัวร์กันพินาศ ต้องใช้คำว่าด่าแหละค่ะ ดิฉันชินแล้วค่ะ ดิฉันโดนแบบนี้มาทั้งชีวิต
ทางเกาหลีไม่ได้มีอะไรค่ะ จนมีคลิปออกมา ยังลงว่าไปกินนี่ ไปเที่ยวตรงนั้น ต้องปล่อยน้องเขาแล้วเนอะ น้องเขามีวิถีชีวิตของเขา (ที่บอกว่าน้องไปแจ้งความที่เกาหลี?) ไม่มีค่ะ ถ้ามีดิฉันจะออกมาจากประเทศเขาได้ยังไงคะ ส่วนภาพไปหาตร. ดิฉันสันนิษฐานว่าเขาคงได้รับการบอกเล่าจากทนายว่าต้องทำแบบนี้ เพื่อเก็บเป็นหลักฐาน เขาคงไปสถานี ยังพูดกับผู้จัดการว่าเขามีล่ามไหม เขาก็คงไปแจ้งเพื่อขอวงจรปิดที่ร้านนี้เพื่อเอาไว้เป็นหลักฐาน ตร.คงถามว่าคู่กรณีเธอชื่ออะไร อยู่ไหน นัมเบอร์พาสปอร์ตคืออะไร ดิฉันก็คิดว่าเขาคงไม่รู้ ดิฉันอยู่มา 4-5 วันก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น
พอดิฉันรู้เรื่องแล้ว หลังจากไปล้างแผลแล้ว พอมีเรื่องราวแล้ว หลังจากนั้นดิฉันโทรหาเขาทันที ติดแต่ไม่รับ ดิฉันก็พิมพ์ไปว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ แล้วก็ดีลีทคำถามออก เพราะถามไปไม่ตอบ ก็คุยกับธงตลอดเวลา ดิฉันก็สงสัย เพราะตอนนั้นมีข่าวว่าน้องย้ายโรงแรมหนีไปแล้วเพราะกลัวดิฉันมาก ดิฉันหญิงแก่นี่นะ กับน้องที่เขาอายุ 26 ถ้านางฟาดมาคงล้มไปแล้ว
ดิฉันก็จัดการไปที่ฟร้อนทันที ดิฉันไปเคลียร์ข้างล่าง เขาก็บอกว่าไม่มีอะไร ดิฉันถามว่าแขกอยู่ไหม เขาก็บอกว่าไม่มีอะไร เช็กเอาต์ไหมก็ไม่มีอะไร การเข้าพักในโรงแรม ส่วนนึงรพ.จัดให้ ที่เหลือต้องจ่ายเอง และเราต้องจ่ายหมดเลยก่อนเข้าไปพัก เวลาเช็ก คุณจะเดินออกเมื่อไหร่โดยไม่บอกก็ได้ เพราะยังไงชื่อก็อยู่ในคอมบ์ว่ายังอยู่ ดิฉันเริ่มสงสัยไปเรื่อยๆ ไม่ได้ก้าวก่าย ก้าวล่วงไปถึงไหน ห้องเราอยู่ติดกัน พอดีได้ยินเสียงก๊อกแก๊กๆ พอไปเปิดกลายเป็นแม่บ้านทำความสะอาดห้องน้องเขา อ้าว ของทุกอย่างไม่เหลือแล้ว ถึงเข้าใจว่าน้องเขาไปแล้ว คิดว่าน่าจะไปตั้งแต่วันล้างแผล เพราะวันล้างแผลเสร็จเขาบอกว่าเจอกันวันที่ 29 นะครับ เราไม่สามารถติดต่อน้องได้เลย โทรติดแต่ไม่มีใครรับ ส่งข้อความว่าวันนี้ต้องไปหาหมอก็ไม่อ่าน แต่เราคุยกับผู้จัดการตลอดเวลา เราก็บอกว่าช่วยส่งข้อความให้น้องด้วย เพราะเป็นห่วง ทุกอย่างของรพ.เขาต้องแม่นยำ แผลเขาจะได้ดีด้วย”
หลังเป็นข่าวอีกฝ่ายบอกตนคงไม่เครียด เพราะผ่านอะไรมาเยอะ
“ถามว่าน้องไม่พอใจเราเพราะอะไร แต่เขาก็ไปกินปูเนอะ ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ถามว่าเขารำคาญไหม เราถึงถอยห่างไง เราเดินทางกับคนแปลกหน้าตลอดเวลา ตอนทำหนังสือเราเป็นช่างแต่งหน้า คนอย่างเราคือจิ้งจกเลยนะ ไม่งั้นจะได้ไปมาตลอดทั่วโลกเหรอ เราต้องศึกษาและปรับให้ได้ เราได้คุยกันวันที่ 29 วันตัดไหม ก็เช็กหมดแล้วทุกอย่าง ตอนแรกข่าวบอกกลับประเทศไทย ก็เช็กกับผู้จัดการ เขาก็ยังอยู่ ถ้าตัดไหมก็ต้องเจอกันนะ ผู้จัดการบอกว่าไม่ต้องไปเจอก็ได้ เราก็บอกว่าไม่ได้ เราต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ทำให้จบสิ้นไปเลย ไม่ต้องห่วง และไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น
คนอย่างดิฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว แยกแยะทุกอย่างเป็น งานก็งาน ส่วนตัวก็ส่วนตัว ดิฉันก็ไปรอก่อนเวลาเลยนะ ทางรพ.ก็รู้เรื่อง เพราะต้องเล่าทุกอย่างให้รพ. ฟัง รู้แม้กระทั่งเขาย้ายวันกลับ ความเป็นห่วงอีกอย่างคือรถต้องมารับดิฉันคนเดียว พอไปเจอก็พูดคุยกันธรรมดา เขาก็พูดในห้องว่าพี่คงไม่เครียดหรอกเนอะ เพราะพี่ผ่านอะไรมาเยอะ แต่ผมเครียดมาก ตอนนี้ ขณะที่ผู้จัดการก็พูดว่าน้องเครียดมาก เพราะไม่คิดว่าเรื่องจะใหญ่โตขนาดนี้ เขาแค่จะสั่งสอนดิฉันเท่านั้นว่าไม่ควรไปตบหน้าใคร ดิฉันก็ได้รับสิทธิ์นั้นหมดแล้วทุกอย่าง ไม่ได้ว่าอะไร น้องพูดประมาณว่าผมก็ต้องทำ”
รู้อีกฝ่ายทักหาหลายคน แต่มีทนายทักกลับมาคนเดียว
“เรื่องทนายดิฉันไม่ทราบ มาทราบตอนหลังว่าเขาทักไปหาหลายคน และมีคนเดียวที่ทักกลับมา เขาก็คงใช้คนนี้ ดิฉันถามผู้จัดการเก่าว่าพ่อแม่เขาว่าไง เขาบอกว่าพ่อแม่เขาเข้าใจ เพราะธงไปคุยกับพ่อแม่เขาแล้ว พ่อแม่เขาเข้าใจ ขอไปคุยไปเจอในรายการนึงเลยแล้วกันจะได้ไปเคลียร์ตรงนั้น
ที่พูดมาทั้งหมด ถ้าจะให้เล่าใหม่ ก็จะเหมือนเดิมทุกอย่าง ดิฉันกับน้องคิดว่าน่าจะจบตรงริมถนน ตรงเมียงดงแล้วมั้ง ตอนจับมือเขาขอโทษ เขาก็บอกว่าจะไม่ไปบอกใครแม้แต่ผู้จัดการเขา เขาวิ่งมากอดดิฉันแล้วบอกว่าไปกินปูกันนะ ก็ให้สถานทูตไทยไปเช็กที่เมียงดง เขาบอกว่าเหตุการณ์แบบนี้วันนึงเยอะมาก แล้วก็ไม่มีเสียค่าปรับ น้องเขาแค่ไปขอคลิปทางนั้นเท่านั้นเอง
เราดีกับเขาเสมอ ตั้งแต่วันที่ยืนจับมือกันที่เมียงดงแล้ว แต่น้องเขาไม่รู้ เขาอาจไม่แฮปปี้ก็ได้ ไม่งั้นคงไม่ดำเนินการมาถึงแบบนี้ ถามว่ากระทบอาชีพไหม เรามีอาชีพอะไรคะตอนนี้ ก็ยังขายดีเหมือนเดิม มีเรื่องทีไรก็ขายดีตลอด จริงๆ ดิฉันหนีออกมาตั้งนานแล้ว 3 ปีแล้วเนอะ”
เสียหายมาก แต่อภัย และไม่ฟ้อง เทียบไม่ได้กับตอนถูกไล่ออกจากงาน
“ถามว่าเสียหายไหม ทุกคนบอกว่าเสียหายมากเลย ดิฉันเองก็รู้สึกว่าเสียหาย แต่พอไปโดนเทียบกับตอนไล่ออกจากงาน อันนั้นใหญ่โตมากกว่า ยังอภัยได้หมดทุกเรื่องราวดิฉันอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ พอเรื่องนี้ เป็นเรื่องคนสองคนเนอะ อยู่ๆ ก็มีวาทะกัน มีพฤติกรรมให้เห็นกัน ไม่ได้ตบนะ อย่าใช้คำว่าตบ แตะกัน มันเป็นคนสองคน แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะเอาทุกอย่างมาโพทะนายิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถามว่ามีความรู้สึกไหม ดิฉันมีความรู้สึกอยู่แล้ว แต่ดิฉันควบคุมความรู้สึกได้อย่างมีสติ เราพูดไม่ได้ว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง เพราะไม่รู้เรื่องกฎหมายเท่าไหร่ ตอนเรียนกฎหมายยังรำคาญเลยว่าเรียนไปทำไม”
รับตบกับแตะของเราไม่เท่ากัน ผู้ชายคงมีศักดิ์ศรี เกียรติยศ
“ระหว่างตบกับแตะเรากับเขาไม่เหมือนกันหรือเปล่า ก็คงอย่างนั้น ผู้ชายเขาคงมีศักดิ์ศรี เกียรติยศของเขาเนอะ แต่เหมือนสั่งสอนเด็ก จริงๆ เราก็มีเรื่องกันแค่สองคน ถ้าไม่ไปบอกใครก็คงไม่มีใครรู้ เราประนีประนอมกันแล้วเรียบร้อย เหมือนแม่ลูกสั่งสอนกันแล้วจบ น้องก็ไม่ติดใจแล้ว ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นยังคาใจอะไร เขาถึงไปติดต่อกับทนาย ทนายก็ไปทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แล้วจะให้ทำยังไงล่ะคะ ดิฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับทนาย เท่าที่ผ่านมาไม่ว่าเรื่องไหนก็แล้วแต่ เรื่องตั้งแต่ดิฉันออกจากงาน จนเรื่องเมื่อเร็วๆ นี้ ที่แต่งงานเพศสภาพเดียวกัน เป็นเรื่องที่ทุกคนก็โจมตี ดิฉันก็เงียบเฉยมาตลอด อยากโจมตีเดี๋ยวเบื่อก็เงียบไปเอง”
เคลียร์พรุ่งนี้ในรายการคุยแซ่บโชว์
“ที่บอกว่าเขาเอาชื่อเสียงดิฉันมาสร้างกระแสให้ตัวเอง ดิฉันยังมีชื่อเสียงขนาดนั้นใช่ไหม ส่วนที่บอกว่าเอาเรื่องนี้มาเรียกพื้นที่ให้กลับมาหน้าจอ ให้ใคร ไม่ใช่ตัวเราเนอะ เราไม่ได้สร้างข่าวใดๆ ทั้งสิ้น กับน้องจะเจอพรุ่งนี้ ในรายการคุยแซ่บโชว์ น้องเขารู้จักเจ้าของรายการ ผู้จัดการเก่าก็รู้จักเจ้าของรายการ ก็จะไปเคลียร์ทุกอย่าง น้องเขาก็บอกว่ากลับไปก็ไปเจอกันที่นี่ แค่นั้นเอง”
ส่ายหน้าบอก จะบ้าเหรอ ไม่มีทางเกินเลย
“ความสัมพันธ์ที่บอกว่าเกินเลยไหม (หัวเราะ) เกินเลยคืออะไร ไม่เข้าใจ ดิฉันเล่าให้ฟังหมดแล้วไงคะ จะไปเคาะห้องยังไม่ได้ ด้วยหน้าที่ดิฉันต้องไปดูแลลูกค้า ว่าบวมขนาดไหน ที่เดินไปในห้องก็เพื่อดูว่าหน้าเขาเป็นยังไงแค่นั้นเอง คนอย่างเราแก่ขนาดนี้ จะบ้าเหรอ(ส่ายหน้า) อย่าเลย ดิฉันจะพูดเรื่องนี้ยังไงให้เป็นกระแสและเป็นบทเรียน ดิฉันเขียนไว้แล้วเหมือนกัน อยากทำศัลยกรรมไปกับพี่ รับรองจะดูแลอย่างดี มีเลี้ยงปู และไม่ตี”
ขณะที่ทนายตั้ม ก็ได้โพสต์ทันทีว่า “ผมเชื่อว่าคนงงแบบผมทั้งประเทศ เอ้า แตะก็แตะวะ 555”
