อารมณ์แบบสิ้นสุดการรอคอยจริงๆ
หลังจากที่ตั้งตารอมาตั้งแต่ Ep. แรก จนล่วงมาถึง Ep. ที่ 11 ในที่สุด “คุณชายเทียน” กับนักฆ่าหน้าหยก อย่าง “อาจิว” ก็ได้เสพสมอารมณ์หมายกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยอานิสงส์ของ “ว่านจักจั่น” ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของ “นายแม่” ทว่าเป็นมวลความสุขสมใจของบรรดาสาววาย
ถึงขนาดที่คอละครเรียกร้องให้ “ตัดจบ” เพียงแค่นี้ เหตุเพราะเข็ดขยาดกับสโลแกนที่ ว่า.....
อย่าไว้ใจช่อง One
ก็ไม่แปลกที่กระแสในโลกออนไลน์ของละคร “คุณชาย” อีกหนึ่งละครแห่งความหวังของ ช่อง One จะพาตัวเองขึ้นไปติด เทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ของประเทศไทย และของโลก !!!!
ขณะที่ตัวเลขของเรตติ้ง อาจจะไม่ได้หรูหราฟูฟ่ามากนัก แต่ก็ถือว่ามีทิศทางที่ดีขึ้น เพราะสามารถขยับจากเรตติ้ง 1 กว่าๆ ในตอนแรก และเคยต่ำสุดได้ถึง 0.9 มาจนถึง 2.24 ในตอนนี้ และยังคงเหลือเวลาทำคะแนนเพิ่มได้ในอีก 5 ตอนสุดท้าย
เรียกว่ากลยุทธการขยายฐานการตลาดมาจับละครแนววายสัมฤทธิ์ผลสมประสงค์
แม้เส้นเรื่องหลักจะเป็นความรักระหว่างชายกับชายตามเทรนด์นิยม แต่ ช่อง One ก็นำมาปรุงรสให้เผ็ดร้อน จัดจ้าน ตามสไตล์ ที่คอละครคุ้นเคย โดยนำมาสวมทับด้วยแนวละครพีเรียด กับเรื่องราวสไตล์ช่วงชิงความเป็นใหญ่ในตระกูล อันเป็นแนวทางที่ ช่อง One ถนัด และสร้างกันต่อเนื่องใน ซีรีส์ตระกูล “เรือน” ถ้านับถึง “คุณชาย” ก็เป็นเรื่องที่ 5 เข้าไปแล้ว เรียกว่าเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดลึกล้ำมาก เพราะสามารถเก็บกลุ่มเป้าหมายเดิม แล้วยังเพิ่มเติมด้วยกลุ่มเป้าหมายใหม่ได้แบบเนียนๆ
งานนี้ถือเป็นการฉีกบทโดยสิ้นเชิงของ “ฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ” ที่เพิ่งผ่านบทพระเอกผู้เกรี้ยวกราดจาก “ฟ้าเพียงดิน”มาหมาดๆ
กับบท “คุณชายเทียน” ที่บรรดาสาววายเรียกกันว่า “ควีนเทียน” นั้น ต้องบอกว่าการเล่นน้อยแต่มากของ ฟิล์ม ได้ใจคอละครไปแบบเต็มๆ โดยเฉพาะจริตจกร้านแบบชมดชดช้อย ประหม่าเขินอาย เหมือนสาวน้อยผู้อ่อนใส บอบบาง ที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์รักและอยากได้รัยการปกป้องดูแล จากชายหนุ่มที่ตัวเองหมายปอง ในเวลาที่อยู่ต่อหน้า อาจิว
หรือท่วงท่าอาการเดินทิ้งสะโพก ต้วมเตี๊ยม ตุ๋มติ๋ม แม้กระทั่งการนั่งหนีบขาเป็นรูปตัววีคว่ำนั้น ใครจะคิดว่าจะแมนๆ แบบ ฟิล์ม จะสามารถตีความคาแรกเตอร์ได้แบบละเอียดลออ พาให้คนอื่นอินตามกันทั่วบ้านทั่วเมือง
แต่คนที่ “แจ้งเกิด” ได้อย่างสง่างามที่สุดในเรื่อง เห็นจะหนีไม่พ้น “อาจิว” นักฆ่าผู้สร้างตำนาน “รักต้องห้าม” กับ ”คุณชายเทียน”
โดยเฉพาะในซีนหลังจากที่ทั้งคู่ได้ร่วมหอลงโรงกันแล้ว ต้องบอกว่าสายตา น้ำเสียง อากัปกิริยาของ อาจิว ที่มีต่อ ควีนเทียน นั้น ดูแล้วมันละมุนใจดีเหลือเกิน
ต้องบอกว่า นี่คือบททอง ที่ผลักดันให้ “แจม-รชตะ หัมพานนท์" กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ณ ขณะนี้เลยทีเดียว อารมณ์ไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่ “ไบรท์-นรภัทร วิไลพันธ์” โด่งดังทันตาเห็นจากบทร้ายสุดขั้วในละคร “ใต้หล้า” จนขึ้นทำเนียบ “สามีแห่งชาติ” คนใหม่ของวงการละครในตอนนั้น
ความสามารถก็ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ก็คือ จังหวะ โอกาส และเวลา
บางคนอาจจะผ่านละครมาตั้งหลายเรื่อง เพียงแต่รอเวลาที่เหมาะสม ก็สามารถพลิกชีวิตตัวเองขึ้นมาเพียงแค่ข้ามคืน
ถ้าเทียบเวลาเฉพาะที่อยู่ใน ช่อง One ถือว่า แจม ประสบความสำเร็จเร็วกว่า ไบรท์ ด้วยซ้ำ เพราะใช้เวลากับงานละครที่ผ่านไปเพียงแค่ 2 เรื่อง คือซิทคอม “รักนะขอรับ” กับละครหลังข่าว “เวลากามเทพ” แล้วก็มาดังเปรี้ยงจาก “คุณชาย” ที่เป็นผลงานการแสดงลำดับที่ 3 ใน ช่อง One
แต่ถ้าจะลำดับจากเส้นทางในวงการบันเทิงจริงๆ ก็ถือว่าใช้เวลาสั่งสมชั่วโมงบิน และประสบการณ์ไม่น้อยทีเดียว กว่าที่เขาจะพาตัวเองมายินอยู่ในจุดที่ชื่อของตัวเอง และละครที่ตัวเองแสดง ไปปรากฏอยู่บนเทรนด์ทวิตเตอร์โลก
เพราะเส้นทางการแสดงของ แจม มาจากตัวประกอบอดทน แลกกับค่าตัวเพียง วันละ 400 บาท !!!
ก่อนจะพัฒนามาสู่การเป็นหนุ่มหล่อเดินสายประกวดทั้งระดับประเทศ และระดับโลก กวาดรางวัลมาไม่น้อย จนมาถึงการคว้าตำแหน่ง Mister Grand international Thailand 2017 ก่อนจะไปฟาดสายสะพาน ในฐานะ รองชนะเลิศอันดับ 1 Mister Grand international 2017 จากเวทีนานาชาติ ประเทศฟิลิปปินส์
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ก็คือได้ร่วมรายการ “รู้ไหมใครโสด” ของ ช่อง One และบังเอิญไปเข้าตา “บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ” จนมีโอกาสได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดในที่สุด
และชีวิตก็นำพาให้ได้รับมอบหมายให้แสดงเป็น อาจิว ซึ่งถือเป็นผลงานการแสดงชิ้นมาสเตอร์พีซ ที่ทำให้ แจม รชตะ เจิดจรัส และฉายแสงสุดๆ ในเวลานี้
ผู้จัดการ 360 องศาสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12-18 พฤศจิกายน2565