xs
xsm
sm
md
lg

“ป๋อ-เอ๋” เปิดมุมลับชีวิตคู่ 18 ปี เกลียดจนไม่อยากมองหน้า หย่าเพราะบ้าอำนาจ แต่ตอนนี้ปรับความเข้าใจกันแล้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เป็นอีกหนึ่งคู่สามีภรรยาที่หลายคนต่างอิจฉาในการครองรักกันยาวนานถึง 18 ปี ของ “ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ” และ “เอ๋ พรทิพย์ สกิดใจ”ซึ่ง ป๋อ-เอ๋ ได้เปิดหมดเปลือกถึงความสัมพันธ์ที่ยาวนาวถึง 18 ปีในรายการ WOODY FM ว่าเบื้องหน้าที่เห็นกันว่าเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่จริงๆ แล้วทั้งคู่เคยผ่านช่วงเวลาที่ทั้งรักทั้งเกลียด โดย ป๋อ-เอ๋ เคยถึงขั้นหย่าขาดกันมาแล้ว เพราะความบ้าอำนาจ เผด็จการของคุณสามี จนในที่สุดก็กลับมาจดทะเบียนและปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง

ความสัมพันธ์ตอนนี้ของ ป๋อ-เอ๋ เป็นอย่างไร?
ป๋อ : “โคตรดี มันไม่ได้ว้าวนะ มันเหมือนประคองเดินไปด้วยกันสบายๆ บนถนนเส้นนึง ซึ่งก็ชมนกชมไม้ไปเรื่อย แต่ก่อนจะมาถึงเส้นนี้ก็เจอเรื่องที่มันยาก”

ช่วงที่ขรุขระคือช่วงไหน?
เอ๋ : “ช่วงมีลูกคนแรก เพราะว่าเราไม่เคยมีลูกกันมาก่อน ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเมื่อเกิดสถานการณ์แบบนี้ ขั้นต่อไปต้องทำอะไร เราไม่รู้ ก็เลยเกิดการทะเลาะกัน เพราะเธอคิดแบบนั้น ฉันคิดแบบนี้ ทำไมเธอไม่คิดแบบฉัน ทำไมฉันไม่คิดแบบเธอ”

ป๋อ : “ทะเลาะกันตลอดเวลา ตั้งแต่คบกันแล้วนะ เป็นทะเลาะแบบสามัญ แต่ตอนมีลูกมันทะเลาะที่รู้สึกว่ามันไม่เหมือนทุกครั้ง เป็นทะเลาะที่เห็นแววตาที่ไม่ใช่ของแฟนที่ทะเลาะกัน มันเริ่มเห็นแววตาว่าเอ๋ไม่ยอมแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นก็ได้เอาดิ เอาไง เริ่มท้าทาย แล้วเรารู้สึกว่ามันไปต่อไม่ได้”

เคยถึงจุดที่รู้สึกว่าต้องยุติ?
เอ๋ : “มีค่ะ อย่างที่พี่ป๋อเคยบอกว่า สายตามันเปลี่ยนไป สายตาที่เอ๋มองพี่ป๋อคือฉันไม่อยากเจอหน้าผู้ชายคนนี้ ฉันเกลียด มันมีอารมณ์นั้นแว๊บเข้ามา”

ป๋อ : “ตอนนั้นก็เกลียดเอ๋ ไม่ชอบ”

เอ๋ : “เขาบอกเอ๋เลยว่าพี่เกลียด”

ป๋อ : “ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้ ลงมาจากบันไดก็เกลียด ทำไมต้องแต่งตัวแบบนี้ ทำไมต้องฟึดฟัด ทำไมอยู่กันดีๆ ไม่ได้ พูดอย่างนี้ก็จะไปอย่างนั้น เคยรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียดไหม เราไม่ได้เกลียดแบบจะไปห้ำหั่นเขานะ แต่เราไม่ชอบเขาแบบนี้ 8 ปีที่ผ่านมาที่เคยจีบไม่ใช่ผู้หญิงแบบนี้ ทำไมเปลี่ยนไป มีลูกต้องดีขึ้น แล้วทำไมไม่พยายามสร้างให้มันดีกว่านี้

มันวน มันตี ก็เกิดเป็นความชิงชัง สิ่งเหล่านี้เกิดอยู่ประมาณครึ่งปี เราถึงขั้นคิดของเราแล้วว่าเราจะไปไหนต่อ ถ้าเกิดหย่าต้องทำยังไง เคยถามเพื่อนที่เป็นทนายด้วยถ้ามันเกิดขึ้นอย่างนี้จะต้องทำยังไง คิดไปถึงนั้นแล้ว เอ๋ไม่เคยรู้ วันนึงเรียกกันมาคุยว่าถ้าเอ๋ทำแบบนี้ ลูกต้องอยู่กับเอ๋ เอ๋ก็ต้องมีผัวใหม่ พี่ก็ต้องมีเมียใหม่ แล้วอยากได้แบบนี้ไหม ก็ได้นะ มันก็แค่นี้ วันนึงคุณต้องมูฟออนอยู่แล้ว ก็ต้องเลือกว่าเอ๋อยากได้แบบนั้นหรือเปล่า ตอนนั้นเลว เป็นคนมีมุมที่จะต้องชนะเหมือนกัน และคนที่เราทำร้ายก็คือเขานี่แหละ แล้วพอจะไปหย่าจริงๆ โมเมนต์มันเริ่มเกิด เราไม่ได้อยากได้แบบนี้ แล้วมันแปลกมากที่เริ่มคุยดีมากขึ้น ทะเลาะน้อยลง ไม่เข้าใจเหมือนกัน”

ในช่วง 6 เดือนนั้นเป็นอย่างไร?
ป๋อ : “เราไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันเหมือนเดิมแล้ว เขาก็ไปในสิ่งที่เขาอยากไป ผมก็ไปทำในสิ่งที่ผมอยากทำมากขึ้น โดยไม่ต้องแคร์ซึ่งกันและกัน แต่ยังอยู่บ้านเดียวกันนะ เขาก็ไปกับลูกบ้าง จะไปกินข้าวเขาก็ชวนผมไป ก็ทำตัวปกติเหมือนเดิม ใช้ชีวิตเหมือนเดิม แต่ก็มีบางช่วงที่ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างใช้ชีวิต และเราก็ไม่ชอบ ไม่ชอบโมเมนต์ของการโดดเดี่ยวแบบนี้ รู้สึกเหมือนอยู่ไม่ได้ อย่างที่คนบอก เมื่อก่อนทุกอย่างมันเหมือนของตาย พอมาวันนี้เอ๋ไปกินข้าวกับเพื่อน 4-5 ทุ่มยังไม่กลับบ้าน เรารู้สึกว่าของตายอันนี้ มันเริ่มไม่ใช่ของตายของเราอีกต่อไปแล้ว และเขาสามารถไปคุยกับใครก็ได้ไง ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งบ้างในบางครั้ง แต่ก็รู้สึกว่าทะเลาะกับเอ๋น้อยลงแล้วก็เริ่มไม่เกลียดเขาแล้ว”

มันจบลงอย่างไร ความรู้สึกมันหายไปด้วยเหตุการณ์อะไร?
ป๋อ : “เพราะลูกกับแม่ คุยกับแม่ แม่บอกว่าผมไม่ได้อยากได้แบบนี้หรอก แม่บอกว่าผมพยายามได้มากกว่านี้ ก็เลยคิดว่า ใช่ ชนะไปแล้วได้อะไร”

แล้วพฤติกรรมอะไรของเอ๋ที่ป๋อโคตรรำคาญ?
ป๋อ : “เอ๋จะเป็นคนดื้อเงียบ เขาจะไม่ทำตาม แต่เขาจะไม่เถียง หรือจะมีภาษากายที่แสดงให้เราเห็นว่าเขาไม่ได้ชอบสิ่งที่เราพูดอยู่ ยิ่งไม่เถียงเรายิ่งรู้สึกโกรธ เถียงมันยังดีกว่า ก็อยากให้ลองพูดมา แต่เขาก็จะบอกว่าอย่าหาเรื่อง แต่เราแค่อยากจะพูดให้มันเคลียร์ และผมก็เป็นคนค่อนข้างเจ้ากี้เจ้าการด้วยแหละ เจ้าระเบียบ เจ้าวางแผน เป็นคนน่ารำคาญคนหนึ่งแหละ”

เอ๋ : “ความบ้าอำนาจ เผด็จการ เจ้าระเบียบ จุกจิกคิดเล็กคิดน้อย ก็หลายเรื่องอยู่นะ เขาจะเป็นผู้ชายหัวโบราณ จะคิดเสมอว่าสิ่งที่เขาคิด สิ่งที่เขาว่ามันเป็นสิ่งที่เขาวางแผนและถูกต้องแล้ว เอ๋ไม่มีสิทธิ์ที่จะเถียงหรืออะไร เอ๋ก็เลยเงียบ พอเงียบก็จะผิดว่าทำไมไม่พูด พอพูดก็ผิดว่าทำไมเถียง”

ที่เขาเป็นอย่างนี้มันมีข้อดี?
เอ๋ : “ข้อดีคือเขารักเรา ถ้าไม่รักก็คงไม่เป็นอย่างนี้ ไม่เจ้าระเบียบ เจ้ากี้เจ้าการทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากความรักแหละ”

ป๋อ : “เพื่อนสนิทที่สนิทรู้ใจเรามาก เขาจะบอกว่ารู้ไหมว่าเป็นเอ๋เหนื่อยนะ เขาเหนื่อยแทนเอ๋ที่อยู่กับผม (หัวเราะ) เพื่อนเข้าใจว่าเอ๋เหนื่อย ผมก็เลยพยายามไง ความสัมพันธ์มันเป็นเรื่องของความพยายาม มันไม่มีใครเพอร์เฟกต์หรอก มันไม่มีใครสมบูรณ์แบบเป็นจิ๊กซอว์ที่ต่อกันพอดีตามที่เราคุยตอนงานแต่งมันไม่ใช่ขนาดนั้น เพราะสุดท้ายเราก็ต้องมาปรับกันเรื่อยๆ ต้องหาเวลามาต่อจิ๊กซอว์กันเรื่อยๆ”

ตอนนี้ลูกอายุเท่าไหร่แล้วครับ ?
เอ๋ : “คนโต 9 ขวบ คนที่สอง 6 ขวบค่ะ”
กำลังอยู่ในวัยที่คำถามเยอะมาก ?
เอ๋ : “คำถามเยอะมากและซนมากค่ะ”

ป๋อ : “แต่ผมว่าดี ทุกวันนี้ผมเล่นหมากรุกกับเขานะ เริ่มเป็นเพื่อนกันจริงๆ แล้ว คือช่วงที่เขาเด็กเราเหมือนพ่อกับลูกยังต้องดูแลเขา แต่เดี๋ยวนี้เริ่มมีความเป็นเพื่อนกันเข้ามาหากันแล้วจริงๆ เริ่มสื่อสารกันในเชิงลึกมากขึ้น เป็นอีกมิติหนึ่งผมรู้สึกดีนะ คุยกันทุกเรื่อง ผมบอกว่าอย่างเดียวคืออย่าโกหก ผมมักจะพูดกับเขาเสมอว่า นี่เป็นแดดดี้ที่ไม่ได้เรื่องเลยนะทุกครั้ง ยูเห็นไหมที่ไอทำ บางทีไอก็โวยวาย

บางทีไอก็ใช้น้ำเสียงกับยูไม่ดี ให้อภัยแดดดี้ได้ไหม แล้วช่วยได้ไหมให้แดดดี้เป็นคนที่ดีขึ้น เขาก็บอกว่าได้ แล้วอะไรที่ดีๆ ของแดดดี้เอาไปใช้นะ แต่อะไรที่ไม่ดีจะบอกว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีของแดดดี้ พ่อทำไม่ดีให้ลูกจำเอาไว้แล้วอย่าไปทำ เขาก็รับได้เพราะผมอยากให้เขาเห็นทุกอย่าง ไม่ให้เห็นโลกสวยงามแค่เพียงด้านเดียว”

เอ๋ : “เอ๋กับลูกค่อนข้างสนิทกัน จะสนิทกับคนโตเพราะว่าเขาจะติดเอ๋ แต่คนที่ 2 จะติดพี่ป๋อ คือก่อนนอนมันต้องมีการคุยกันปิดไฟ ซึ่งพี่ป๋ออาจจะยังไม่เคยได้คุยกับน้อง เขาจะเล่าให้เอ๋ฟังทุกอย่างทุกเรื่อง อยากได้อะไร เพื่อนเป็นยังไง เสียใจอะไร จะค่อนข้างสนิทกับลูก”











กำลังโหลดความคิดเห็น