“โน้ส อุดม” ยังไม่แผ่ว! “เดี่ยว 13” ยังงานเข้าต่อเนื่อง “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” แจงไม่เป็นจริงอย่างที่ถูกพูดถึงบนเวที ยืนยันว่าให้คำแนะนำทุกอย่าง พร้อมยังระบุวันด้วยว่า “โดนของ” มาวันไหน แต่อีกฝ่ายกลับจำไม่ได้ พร้อมยังไม่รับเอาของแก้เข้าบ้าน เพราะมันไม่เข้ากับไลฟ์สไตล์การเป็นอาร์ติสต์
“เดี่ยว13” ยังร้อนแรงไม่เลิก! เพราะมันเกิดเป็นประเด็นขึ้นมาเมื่อเหล่าแฟนคลับของ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” ต่างสงสัยในสิ่งที่ “โน้ส อุดม แต้พานิช” เล่าบนเวทีในบางช่วงบางตอนว่าบ้านที่ตนเองอยู่นั้นมีผี และก็เคยชวน “หมอบี” ไปสำรวจว่ามีจริงไหม แต่บนเวทีก็ได้บอกว่าหมอบีไมได้แนะนำอะไร แถมยังรีบกลับไปเฝ้าร้านอีกด้วย ซึ่งในความเป็นจริง ถ้าใครติดตาม “หมอบี” ก็จะยกให้ว่าคนๆ นี้นี่แหละตัวจริงเรื่องโลกวิญญาณ
โดยใน “เดี่ยว 13” สิ่งที่ “โน้ส อุดม” เล่านั้นถึงเรื่องราวว่าบ้านที่ตนเองอยู่นั้นมีผี และนอกจาก “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” แล้ว ก็ยังเคยให้ “อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี” มาสำรวจแล้วครั้งนึง แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะให้เหตุผลว่า “แค่เห็นผี” ไม่ใช่มา “ปราบผี”
“จำได้ไหม ว่าที่เคยเล่าไปว่าบ้านผมมีผี คือผี ซึ่งมันยังอยู่ ผมก็เลยไปเอาหมออุ๋มอิ๋ม คนเห็นผีมาที่บ้าน บ้านผมเป็นตึก 3 ชั้น ผมนอนข้างบน ข้างล่างเป็นออฟฟิศ อุ๋มอิ๋มเดินเข้าลิฟต์ แล้วมาชั้น 3 ห้องนั้นจะเป็นลีฟวิ่งรูม อุ๋มอิ๋มก็เดินดู ผมอยู่ข้างหลังเขาก็ถามว่ามันยังมีอยู่ไหม
คือคนแรกที่ชื่อส้มทักว่ามันนั่งอยู่บริเวณนี้ตลอดเวลา อุ๋มอิ๋มก็บอกว่าไม่มีนะ ขออนุญาตเข้าห้องนอนได้ไหม พอเปิดห้องนอนเข้าไป ก็ทักว่ายืนอยู่หัวนอนค่ะ ไอ้เราก็นึกว่ามันอยู่ข้างนอกตลอดเวลา แล้วมันเข้ามาได้ไง อุ๋มอิ๋มก็บอกว่าเขาอยู่ตรงนี้ประจำ ยืนดูพี่โน้สหลับทุกคืน ยืนจ้องหน้าเราทุกคืน และการโคจรของเขาคืออยู่หัวเตียง ปลายเตียง รอบๆ เตียง อันนี้คือที่อยู่ของเขาเป็นประจำ
และถามว่าเราอยากจะสื่อสารอะไรไหม ก็ให้ถามไปว่ามึงมาจากไหน มาทำไม ซึ่งอุ๋มอิ๋มก็สื่อสารว่าวิญญาณดวงนี้คือชายไทยโบราณ ตายอยู่ตรงนี้มานานแล้ว ก่อนที่พี่โน้สจะมาอยู่อีก ลักษณะคือดำๆ ยืนใส่ผ้าเตี่ยว และเขาชอบอยู่ที่นี่เพราะว่าบุญเยอะ ไปอยู่บ้านอื่นจะไม่ได้บุญเท่านี้
ผมก็เลยบอกว่าให้ย้ายไปอยู่ต้นมะขามตรงหน้าบ้านได้ไหม เขาบอกว่าต้นมะขามมีกันอยู่เยอะแล้ว และที่เขาทำเสียงดังตอนกลางคืน เพราะว่าผมไปพูดจากับเขาไม่ดี ซึ่งมันคือความจริงเพราะมีผมเท่านั้นที่รู้ เพราะเราอยู่คนเดียวไง ก็เลยให้อุ๋มอิ๋มถามไปว่าอยากได้อะไร วิญญาณตนนั้นก็บอกว่าอยากได้ศาล แต่เราบอกว่าเราไม่ตั้ง ก็เลยอยากให้อุ๋มอิ๋มไล่ไปให้หน่อย แต่อุ๋มอิ๋มบอกว่าหนูเป็นคนเห็นผี ไม่สามารถปราบผีได้
สุดท้ายอุ๋มอิ๋มปราบไม่อยู่ ผมก็ติดต่อหมอบี ทูตสื่อวิญญาณ หมอบีมาที่บ้าน เปิดลิฟต์ปุ๊บ พอเข้าไปที่ห้องนอน ชี้บอกว่ายืนอยู่ตรงนั้น ที่เดียวกับที่อุ๋มอิ๋มบอก อันนี้ไม่ใช่ผีนะครับพี่โน้ส แต่เป็นอสูรกาย เหมือนกอลั่มที่เคยเล่าไป แต่ตนนี้จะเละเทะกว่า ให้บุญมัน มันก็ไม่เอาด้วย
และเราก็ถามว่ามันมาได้ไง หมอบีก็บอกว่ามีคนทำของใส่พี่โน้สครับ แล้วผมจะทำไงต่อ หมอบีก็ขอนั่งสมาธิสักครู่ สักพักเรียกผมเข้าห้องพี่โน้สมีของอยู่ หมอบีบอกว่าเห็นเป็นยันต์สีแดงๆ ซึ่งตอนนั้นห้องผมไม่มีอะไร เขาก็เลยให้พลิกเตียงขึ้นมา เป็นยันต์สีแดง ของเขมร และหมอบีก็บอกว่าเห็นอีกอันนึง พลิกใต้เตียงก็เจอยันต์สีแดงอีก ผมช็อกเลย
แต่หมอบีบอกว่ายังมีอีกอันนึง พลิกดูที่หัวเตียงเจออีกอันนึง ลายมือเดียวกันเลย สีแดงๆ เหมือนกัน ผมไม่เชื่อนะ มันอาจจะเป็นช่างไม้ชาวเขมร รักในการออกแบบกราฟฟิก แต่เตียงกับโต๊ะหัวเตียงมันซื้อมาคนละเวลา หมอบีก็อธิบายว่าโดนทำของมา และทำผีตัวนี้ ถูกสั่งมาให้เฝ้าพี่โน้ส ผมตกใจมาก
หมอบีบอกว่าเห็นเฉยๆ แต่แก้อะไรไม่ได้ และหมอบีก็ไปเฝ้าร้านกาแฟเหมือนเดิม เหมือนตอนอุ๋มอิ่มเลย แล้วผมจะทำไงต่อ ทุกวันนี้ก็อยู่กับอสูรกาย ต้องทน ซึ่งก่อนกลับหมอบีก็ยังบอกว่าถูกทำของวันที่ 7 เดือนกันยายนเมื่อ 7 ปีที่แล้ว คนๆ นั้นทำของใส่พี่โน้ส แต่สุดท้ายต้องอยู่กับมันได้ อาจจะเพราะอานิสงค์จากการบวช”
จากนั้น “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” ก็ได้พูดถึงประเด็นดังกล่าวในรายการ “ทูตสื่อข่าว” เนื่องจากมีแฟนๆ ที่ติดตามเมนต์เข้ามาถามกันเยอะถึงกรณีนี้ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ชี้แจงว่าทุกสิ่งที่ทุกอย่างที่ “โน้ส อุดม” พูดนั้นคือพูดไม่หมด เพราะได้แนะนำถึงวิธีขั้นตอนการกำจัดวิญญาณตนนั้นไปด้วย แต่ยืนยันว่าที่ออกมาอธิบายก็ไม่ได้โกรธหรือซีเรียอะไร เพียงแต่มีหลายคนสงสัย ก็เลยอธิบายว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น
“เราไม่มีความจำเป็น ที่ต้องให้ทุกคนเห็นเหมือนกันหมดก็ได้ และสิ่งที่เขาพูดบนเวที ก็คือพูดไม่หมด และที่ผมพูดได้ เพราะผมเป็นคนที่ถูกอ้างอิง สิ่งที่พี่โน้สพูดก็ไม่หมด เพราะเขาบอกว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลย และรีบกลับร้าน ซึ่ง ณ เวลานั้นร้านมันปิดแล้ว ผมไม่ได้กลับร้าน ผมไปกินข้าว
และผมบอกวิธีการแก้ไปหมดแล้ว บอกข้อ 1-2-3 ว่าควรทำอะไร แต่พี่จะทำหรือไม่ทำก็เรื่องของพี่ ขนาดผมจะยกของให้พี่เขาฟรีๆ เขายังไม่เอาเลย พูดตรงๆ ผมกล้าพูด เพราะผมถูกอ้างอิง ผมบอกให้แก้อะไรบ้าง เขาบอกว่าไม่เอาของ เพราะสิ่งที่ผมให้ไปมันไม่ตรงกับความเป็นอาร์ติสต์ของพี่เขา ผมก็แล้วแต่ สิ่งที่ผมพูดตอนนี้ ผมก็ยังแฮปปี้กับพี่เขานะ ถัดมาผมยังระบุวันว่าวันๆ นี้พี่ไปไหนมา ผมระบุวันที่ บอกเที่ยวบินด้วย ซึ่งมันย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อนด้วย บอกด้วยว่าพี่ไปกับใคร แต่เขาจำไม่ได้
เราก็ไมได้ว่าอะไร เราก็ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ ผมบอกแล้ว แต่สิ่งที่พี่เขาพูด เขาไม่ได้บอกว่าผมแนะนำอะไรไปบ้าง และวันที่เขาแสดง ผมก็ไปนั่งดูอยู่เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่เห็นผมล่ะมั้ง หลังจากนั้นทีมงานก็มาสัมภาษณ์หลังดูโชว์เสร็จ ผมก็ตอบเหมือนที่เล่าไปเมื่อกี้ แต่ไม่ได้ซีเรียสอะไร ผมยังจะชวนเขามางานอยู่เลย แต่ไม่รู้ว่าเขาจะว่างไหม
ของพวกนี้ก็ว่ากันไป ใครดูแล้วชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ มันก็แล้วแต่สิทธิ์ของแต่ละบุคคล เราต้องยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง ไอ้ที่บวชผมก็แนะนำให้เขาไปบวช แต่การที่เขาไปบวชเขาก็อาจจะไม่ได้นึกถึงเรื่องที่ผมเคยบอกไปแล้วก็ได้ ผมบอกให้บวช แล้วให้เป็น .... ก็ว่าไป สิ่งนั้นจะได้ไม่ตามต่อ หรือว่าให้เอาสิ่งหนึ่งไปไว้ที่บ้านก็ได้ หรือไม่ก็ไม่สนใจก็ได้ เขาก็ไม่ได้เลือกอะไร ก็เลยให้ไปหาว่าย้อนกลับไป 7 ปีที่แล้วไปไหนมา จะได้เอาสิ่งนั้นกลับไปไว้ที่เดิม ก็บอกไป 4 อย่าง แต่อย่าไปซีเรียสอะไร ผมไม่ได้ซีเรียสอะไร”