“ท็อป นรากร” พระเอก “ระเบียบวาทะศิลป์” เผยมุมมองปรากฎการณ์หมอลำฟีเวอร์ ลบภาพจำอาชีพนี้ไม่ได้ต่ำต้อยอย่างที่หลายคนคิด เล่าถึงชีวิตที่ดังเพียงชั่วข้ามคืน ฝ่าคำสบประมาทจะทำได้เหรอ? พร้อมเส้นบางๆ ระหว่างตนเองกับแฟนคลับที่รักจนรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว
ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาสำหรับความฟีเวอร์ของแวดวง “หมอลำ”ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้กลายเป็นโชว์ที่เรียกได้ว่าไปลงพื้นที่ไหน ก็ม่วนอีหลีซะเหลือเกิน จนเกิดมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง “ฮักเจ้าอีหลี”ที่รวมเอานักแสดงชื่อดังทั้งวงการบันเทิงไทยและวงการหมอลำ หนึ่งในนั้นคือ “ท็อป นรากรกันจันทึก” พระเอกเบอร์ต้นๆ ของวงระเบียบวาทะศิลป์ ที่ในชีวิตจริงจะสวมชุดเพชรเป็นพระเอก แต่มาในเรื่องนี้ต้องรับบทเป็น “ตัวร้าย” ความท้าทายกับบทบาทการเล่นหนังเรื่องแรกของเขาก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้ชมกันในโรงภาพยนตร์ไปแล้ว
แต่กว่าจะมีวันนี้ เส้นทางความดังของ “ท็อป นรากร” ไม่ได้มาง่ายๆ แม้จะดังเพียงชั่วข้ามคืน แต่กว่าจะดังก็ต้องฝ่ากระแสคำดูถูกต่างๆ นานา พร้อมชีวิตที่ไม่คิดว่าจะมีคนรักมากขนาดนี้
จาก “นักร้องเดินสาย” สู่เส้นทาง “พระเอกหมอลำ” ที่มาพร้อมคำดูถูก
“การเป็นพระเอกหมอลำของผม เริ่มจากพอเราจบปริญญาตรี เราก็ไปเป็นพระเอกหมอลำเลย การไปเป็นหมอลำที่ขอนแก่นต้องพูดสำเนียงแบบขอนแก่น เพราะพื้นฐานเราเป็นโคราช และด้วยความที่ชอบฟัง ชอบร้อง เราฟังมาตั้งแต่เด็กๆ หมอลำรุ่นเก่าๆ สมจิต บ่อทองก็ฟังมาตลอด
ความคาดหวังของผมคืออยากจะขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีหมอลำ เราก็นั่งไลฟ์สดอยู่บ้าน ซึ่งเราก็มีแฟนคลับบางส่วนที่ติดตามมาจากการที่เราไปประกวดร้องเพลง แฟนๆ ที่ดูเรา เขาก็เป็นเอฟซีของระเบียบวาทะศิลป์ เขาก็ทักมาว่าอยากให้ไปอยู่วงระเบียบฯ เอาโปรไฟล์ของผมไปแนะนำให้พ่อเอ๊ะดู พ่อก็สนใจอยากได้มาร่วมงาน ซึ่งสำเนียงอีสานแบบขอนแก่นไม่ได้เลย
และมีโอกาสเจอกับพ่อ แต่พ่อไม่ได้คาดหวังนะ พูดว่าไม่รู้ว่าเราจะทำดีได้แค่ไหน พ่อก็ส่งวิดีโอหมอลำ เราก็ร้องและก็ส่งให้พ่อตรวจเลย พ่อก็บอกว่ามันก็ได้อยู่นิ ก็เริ่มมีความจริงจัง วันหยุดที่พ่อไม่มีงาน ก็ให้ผมเดินทางมาเจอกัน จากโคราชไปขอนแก่น ขนาดคนที่เขาติดตามเราจากการเป็นนักร้องลูกทุ่งที่เดินสายประกวด เขายังอึ้งอยู่เลยว่าไปเป็นพระเอกหมอลำได้ไง
ซึ่งผมก็ยังตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเราไปเป็นได้ไง วันนี้เราเป็นพระเอกหมอลำแล้วเหรอ แต่ย้อนกลับไปตอนเด็กผมชอบร้องเพลงหมอลำมากกว่าลูกทุ่ง แต่ครูสอนร้องเพลงตอนสมัยมัธยม เขาชอบพาผมไปแข่งร้องเพลงลูกทุ่ง
และวันแรกที่ได้ขึ้นเวทีระเบียบวาทะศิลป์ คือผมได้ซ้อมมาก่อนที่จะได้เปิดตัว ทางคณะเตรียมวางแผนจะเปิดตัวผมในฐานะพระเอกหมอลำเลย และก่อนจะได้เปิดตัว ได้มีการมาออกรายการต่างๆ ก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เยอะ ส่วนมากจะเป็นคำสบประมาทเรา เป็นคำดูถูก ว่าเราจะรำได้เหรอ ใส่ชุดเพชรจะใส่ขือเหรอ (ใส่ขึ้นเหรอ) มีแต่คำดูถูก ไม่มีใครจะรอเราเลย ไม่มีใครคาดหวังเลย
แต่พ่อก็ให้กำลังใจว่าสิ่งที่เขาพูดมา และเราทำได้ มันจะลบคำสบประมาทเหล่านั้นให้หมดไป ฟีดแบ็กที่เขาด่ามันจะกลับกลายเป็นดีเลย ส่วนตัวเราพอได้ยินแบบนี้ ยิ่งต้องทำให้ได้เลย เหมือนคำดูถูก เราเจอมาเยอะแล้ว มันสอนให้เราได้รู้ ว่าสิ่งที่คนพูดมา อย่าให้มันมาบั่นทอนเรา เราต้องทำให้ได้ ซึ่งคำที่จำขึ้นใจว่า ยังไงผมก็รำไม่ได้ ยังไงผมก็ทำไม่ได้ จังไซก็ใส่ชุดเพชรบ่หล่อ ฝังใจผมมาก ผมก็ทำทุกอย่าง แม้จะรำไม่เก่งเท่าหมอลำรุ่นพี่ แต่เราก็ต้องทำให้ได้
เราได้รับฉายาว่าเป็นพระเอกหมอลำเสียงอ้อน เสียงหวาน รำเป็นเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง หลับตาฟังหรือว่าไปเข้าห้องน้ำ พอเสียงขึ้นมาก็จะรู้ว่าเป็นเสียงของเรา ซึ่งกว่าจะได้มาแบบนี้มันยาก และวันที่จะขึ้นเวทีระเบียบฯ เป็นวันที่ผมกดดันและตื่นเต้นที่สุดในชีวิต เพราะมีทั้งร้อง รำกลอน รำเต้ย แต่พอผ่านมา ผมโล่งเลย จำได้เลยว่าวันที่ 8 ต.ค. เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ที่จังหวัดขอนแก่น มันเป็นความทรงจำที่ดีมาก ฟีดแบ็กที่เคยด่า กลับเป็นการชื่นชมเราว่าดี ว่าเก่ง ทุกคนมองด้วยความไม่คาดหวัง แต่เขามาเห็นเราในวันนั้นที่อาจจะทำได้ไม่ดีนัก แต่อยู่ในเกณฑ์ที่ทำได้ เขาเลยคิดว่าไม่คาดคิดว่าจะทำได้ขนาดนี้ ในความคาดหวังของคนดู ทุกคนกลับให้กลับใจเราว่าสู้ๆ จะทำได้ดีกว่านี้มากๆ ต้องฝึกไปเรื่อยๆ จะเก่งไปกว่านี้ กลับกลายเป็นพลังบวกในชีวิต”
“พระเอกหมอลำ” ต้องแลกกับอะไรบ้าง …
“การเป็นพระเอกหมอลำทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปมาก กลับการที่เราไม่เคยมี อย่างมีแฟนๆ ที่ตามซัปพอร์ตเราในทุกๆ เรื่อง ทุกวันนี้ก็มีและมากขึ้นกว่าเดิมมาก และความเป็นอยู่ในครอบครัวดีขึ้น เราสามารถพาแม่ผ่านจุดที่ลำบากมากที่สุดในชีวิตมาได้ เพราะด้วยแม่ผมเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงผมกับน้อง หาเงินคนเดียว กว่าจะเรียนจบปริญญาตรีมาได้ แม่ต้องสู้มากแค่ไหน ต้องเป็นหนี้ส่งผมเรียน
ซึ่งเราก็บอกแม่เสมอว่าท็อปไม่ต้องเรียนก็ได้นะ แต่ความฝันของแม่คืออยากให้ผมเรียน อยากให้ลูกได้จบปริญญา พอเรียนจบและท็อปไปทำอะไรก็ได้ และการที่เราไปเป็นพระเอกหมอลำแม่ก็มีความกังวลในใจ เขาก็อยากให้เราทำงานที่มั่นคง ทำราชการตามความคิดของเขา แต่ส่วนนึงเขาก็สนับสนุนเพราะเขาก็ชอบดูหมอลำอยู่แล้ว แม่ก็ติดตามเป็นแฟนคลับพ่อเอ๊ะ
ซึ่งถามว่าเราต้องแลกอะไรบ้างสำหรับการมาเป็นพระเอกหมอลำ ผมว่าไม่ต้องแลกอะไรนะ มันใช้ชีวิตตามสบาย แต่มันต้องทำงานทุกวัน ปรับเปลี่ยนระบบการใช้ชีวิตที่จะเปลี่ยนไป การพบปะผู้คน หลายคนอาจจะมองว่าการเป็นพระเอกหมอลำ จะได้เจอคนเยอะๆ แต่จริงๆ ได้เจอผู้ชมหน้าเวทีเยอะอยู่แล้วหน้าเวที แต่ไม่มีโอกาสได้คุย เพราะช่วงชีวิตที่จะได้เจอผู้คนในตอนกลางวัน แบบที่คนอื่นเขาใช้กัน แต่เราไม่มีเลย แม้กระทั่งเวลากลับบ้าน มีโอกาสน้อยมากต่อปีที่จะได้เจอหน้าแม่ ซึ่งถ้าจะได้เจอแม่ก็คือต้องเล่นใกล้ๆ บ้าน แม่ก็จะมาหา จะง่ายกว่าด้วยซ้ำ สิ่งที่มันเกิดขึ้นเราต้องยอมรับเพราะมันเป็นอาชีพที่เราเลือก มันเป็นศาสตร์เป็นศิลป์ที่เรารัก เรามีความรู้สึกว่าต่อให้ต้องปรับเปลี่ยนอะไร และเราทำแล้วมันมีความสุข ไม่อึดอัด มันจะสบายใจกว่าที่เราต้องทำงานในสิ่งที่เราไม่อยากเป็น
เราต้องทำงานและได้รับความรักในทุกๆ คืน เราจะสัมผัสได้มากกว่าศาสตร์อื่น หลายคนถามผมว่าต้องดูแลแฟนคลับยังไง หรือว่าต้องมีเวลาให้เขายังไง หรือต้องดูแลเอาอกเอาใจเขายังไง ผมต้องบอกว่าตรงนี้ไม่มีเลย ถ้าเกิดเราวางตัวเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่แรก จะไม่ค่อยเข้าหาแฟนเพลงเท่าไหร่ เราก็อยู่ของเราแบบนี้ โฟกัสที่หน้าเวที แสดงให้ดีที่สุดให้เขาชอบ ให้เขาเห็นและชื่นชม
และโอกาสที่แม่ๆ จะมาหาผม ผมต้อนรับทุกคนเสมอ ทุกคนสามารถมาหาผมหลังเวทีจะไม่ค่อยมีโมเมนต์ส่วนตัวที่จะไปทานข้าวกัน สำหรับผมแทบจะไม่มีเลย คือใกล้ที่ไหนมาหาได้เลย
แต่ก็จะมีบางบุคคลที่พยายามเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเรา อย่างครอบครัวของเรา ผมเลือกที่จะพูดและบอกเขาโดยตรงเลย ว่าผมไมโอเคกับตรงนี้นะครับ ถ้ารักผม ก็อยากให้ใช้ชีวิตปกติทั่วไป ถ้าเกิดมาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ผมรู้สึกไม่โอเค แต่ผมดีใจนะ ว่าที่พี่ชื่นชอบผม และรักในผลงานของผม แต่ขอพื้นที่ส่วนตัวของผมไว้
ซึ่งถามว่ามีไหม มาถามแม่ผมเรื่องพ่อของผม ซึ่งอย่างที่บอกไปแล้วว่าแม่ผมเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มันคือเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว รวมไปถึงเรื่องความรัก ถามว่าเรามีแฟนยัง ซึ่งจริงๆ เราไม่มีหรอก แต่มันก็เป็นการรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนของเรา แต่ท็อปก็ว่าการที่เราวางตัวแบบชัดเจนตั้งแต่แรก มันก็จะดีต่อภาพรวมทั้งหมด เวลาที่แฟนๆ มองว่าทุกคนก็เสมอภาคกัน ทุกคนมีสิทธิ์เท่ากันในการเข้าหาผม ซึ่งเราก็ไม่อึดอัดสำหรับการที่มีคนรักเรา มันทำให้เวลาเราเจอปัญหาอะไร มันจะกลายเป็นพลังบวกส่งมาให้เรา”
ปรากฏการณ์หมอลำฟีเวอร์! และความทรงจำที่ดังเพียงชั่วข้ามคืน ยกระดับ “หมอลำ” จนแตะถึงคำว่า “ฟีเวอร์” ลบทุกคำสบประมาท
“ทุกวันนี้คนรู้จักหมอลำมากขึ้น ผมกับพ่อเอ๊ะไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเกิดปรากฎการณ์ขนาดนี้ ว่าจะรวดเร็วขนาดนี้เป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ ได้ขนาดนี้ เราไม่ได้เป็นพระเอกหมอลำตั้งแต่แรก ไมได้มีพื้นฐานอะไรเลย คนในวงการหมอลำแทบจะไม่รู้จักเลยว่าท็อป นรากรคือใคร แค่รู้จักว่ามาจากวงการลูกทุ่ง บักผู้นี้คือใคร
แต่พอเราได้พัฒนาอย่างหนัก ผลงานหน้าเวทีให้แฟนๆ ได้เห็นเขาก็ยอมรับและชื่นชม อย่างที่บอกว่าหลังวันที่ 8 ต.ค. ชีวิตผมเปลี่ยนไปเลย เห็นได้ชัดในโซเซียล จากที่คนกดไลก์หลักร้อย เปลี่ยนเป็นหลักหมื่นในชั่วข้ามคืน และตอนนี้หมอลำก็ไปได้ทุกที่ ทำให้คนสมัยใหม่กล้าที่จะเป็นหมอลำมากขึ้น หลายคนอาจจะชอบหมอลำแต่เป็นคนภาคอื่น จึงไม่กล้ามาทำอาชีพนี้ แต่ในวันนี้ทุกคนก็สามารถมาแสดงหมอลำได้ เพียงแค่ใจรัก อย่างแฟนคลับของผมก็มีคนภาคกลางและคนกรุงเทพฯ แม้จะฟังไม่ออก แต่พอเขาได้เปิดโลกใหม่ กลับกลายชอบหมอลำไปเลย
อย่างทุกวันนี้หมอลำในปัจจุบันยกระดับขึ้นมาสูงมาก วัดจากความนิยมของคน สังเกตได้จากวัยรุ่นทุกเพศทุกวัยและทุกภาคชอบดูหมอลำมาก บางคนฟังไม่รู้เรื่องแต่เพียงแค่มาดูหมอลำหน้าเวทีแล้วสนุก ได้เต้น กระโดด เหมือนได้ปลดปล่อย และการที่ต้องใช้คนเยอะในการแสดงก็เพราะว่าได้ทำให้ทุกคนได้สนุก ทุกคนจะได้รู้สึกคุ้มค่ากับบัตรที่ซื้อเข้ามา ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าการจ้างหมอลำวันนึงมันแพง 2-3 แสนแพง แต่ถ้าบวกว่าทั้งค่าบุคลากร ค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง มันไม่ได้แพงเลย และตอบโจทย์ด้วยทุกอย่างมันต้องเต็มที่
ตอนแรกที่มาเป็นหมอลำตอนแรกยังคิดว่าจะมีคนมาคล้องพวงมาลัยเราจริงเหรอ แต่ในความฝันก็อยากมีภาพนี้เหมือนกันนะ ซึ่งครั้งแรกที่ได้พวงมาลัยก็หลักพัน หลักหมื่น แค่เขามาคล้องพวงมาลัยก็ดีใจแล้ว เราได้พวงมาลัยจริงๆ แล้ว ทุกอย่างมันเกิดคาดทุกอย่าง ไม่คาดคิดว่าทุกคนจะให้การต้อนรับ ไม่คิดว่าพ่อจะให้โอกาสเราขนาดนี้ เชื่อใจเราให้เรามาเป็นพระเอกหมอลำของวง เพราะระเบียบวาทะศิลป์คือวงหมอลำที่มีมานานกว่า 50-60 ปี และหมอลำรุ่นพี่เขามีชื่อเสียงทุกคน ซึ่งไม่คิดว่าวันนึงจะมาเป็นเรา
ผมว่าหมอลำจะไม่มีวันตาย เพราะตอบโจทย์เรื่องความสนุก และมีวัฒนธรรมในเรื่องการรำต่อกลอน วัยรุ่นทุกคนก็ฟัง ตอบโจทย์ได้มาก หมอลำของเราไปได้ทุกที่ ยกระดับมาถึงจุดนี้ หลายคนเมื่อก่อนอาจจะมองว่าชีวิตหมอลำต่ำต้อย แต่ทุกวันนี้ทุกคนได้เปลี่ยนความคิดนั้นไปแล้ว ชีวิตหมอลำต่อให้ลำบากแต่ก็ทำให้ครอบครัวสบายและเป็นอาชีพที่สุจริต สร้างความสุขให้คนได้ 100% มีความสุขไปด้วย”
ขอบคุณภาพ : ท็อป นรากร แฟนเพจ