“ชูษี เชิญยิ้ม” ปรับตัวจากตลก เล่นละคร รู้ทุกอย่างมีอายุขัย ไม่มีงานก็จะไปอยู่วัด รับซึ้งรสพระธรรม ที่ผ่านมาเสียเวลาชีวิต แต่ไม่สายเกินไป ขึ้นสูงได้ก็หล่นได้ ปล่อยวางแล้ว ลั่นคิดได้หลังดูแลเด็กดาวน์ซินโดรม ก่อนโต้หากินกับเด็กพิเศษ อโหสิกรรมให้กับทุกคนที่คิดแบบนี้
เรียกว่าการได้พูดคุยกันครั้งนี้ ทำให้เห็นมุมมองชีวิตของตลกชื่อดัง “ชูษี เชิญยิ้ม” ที่เปลี่ยนไป โดยเจ้าตัวเปิดใจว่าตอนนี้หันมารับงานละคร และอยากมีงานมากขึ้น เพราะรู้ว่าอาชีพตลกก็มีอายุขัย รวมทั้งเปิดใจว่าหากไม่มีงานก็พร้อมไปอยู่วัด เพราะตอนนี้ซึ้งรสพระธรรม และธรรมะก็ได้เปลี่ยนแปลงตนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่หยาบคาย ก้าวร้าว และใจเย็นลงแล้ว เสียดายน่าจะเข้าวัดให้เร็วกว่านี้
“เรื่องแม่ปูเปรี้ยว เรื่องนี้เป็นละครเรื่องที่ 2 ที่เริ่มเล่น ก็ต้องปรับตัวเป็นธรรมดา เมื่อก่อนเราเล่นตลกมา ตอนนี้งานตลกมันก็ลดน้อยถอยลงไป เราก็มาลองทางนี้ดู งานมันก็มีตามอายุขัย ตามเวลาของเรา เราจะไปว่าใครไม่ได้ ถ้าผู้จัดท่านไหนเมตตาอยากจะจ้างเราก็ทำงานเต็มที่ ไม่มีใครจ้างเรา เราก็เข้าวัดเข้าวาแล้ว ไปฟังธรรม ไปฟังหลวงตาเทศน์ดีกว่า ถ้าเรามีงานเราก็มาทำงาน ถ้าไม่มีงานเราก็ไปอยู่วัด
ธรรมะเปลี่ยนแปลงจากนิสัยก้าวร้าวทำให้ดีขึ้น
“ธรรมะทำให้จิตใจเรานิ่ง อีกอย่างธรรมะเปลี่ยนแปลงเรามากๆ จากเดิมที่เรามีนิสัยก้าวร้าว เป็นคนที่พูดจาโผงผาง กระโชกโฮกฮาก ธรรมะก็ทำให้เรารู้จักปิดกั้นวาจาไว้บ้าง มันก็ทำให้ตัวเองเองดีขึ้น การเป็นศิลปิน ทำงานในวงการบันเทิง ถ้าเป็นคนที่ตรงเกินไป มันไม่ดีกับตัวเองหรอก วันนี้เรารู้แล้ว และเราพยายามปรับตัวเองอยู่ ให้เราเป็นคนที่นิ่งขึ้น”
ลั่นมีหลายคนที่คิดแบบตน ยังเหิมเกริมคิดว่าจะมีงาน มีเงิน ยันไม่มีอีโก้ แต่ความตรงฆ่าตัวเอง
“มีหลายคนที่เป็นแบบผมเยอะ ยังคิดว่าตัวเองมีงานอยู่ ยังเหิมเกริม ยังไงเดี๋ยวก็มีงาน เงินทองไม่เป็นไร ใช้ๆ ไปเดี๋ยวก็หามาได้ แล้วสักวันคุณจะเป็นแบบชูษี จริงๆ เราคิดได้มานานแล้ว เรารู้ว่ามันเป็นวัฎจักร เรื่องงานเราคิดได้นานแล้ว แต่เรื่องนิสัยเราเพิ่งมาคิดได้ตอนที่มี อ๊อด ปากดี ทำให้เราใจเย็นลงอย่างน้อยๆ เลยคือ 50% เราไม่ได้เป็นคนมีอีโก้อะไร แต่เราพูดจาโผงผาง เป็นคนตรงๆ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าความตรงของเรามันทำร้ายตัวเอง คนที่ตรงเกินไปสุดท้ายความตรงมันมาฆ่าตัวเราเอง มันต้องมีความมีดโกนอาบน้ำผึ้งบ้าง”
คิดได้หลังดูแล “อ๊อด ปากดี” กลายเป็นคนที่อ่อนโยน
“พอได้มาดูแลอ๊อด ความคิดนี้มันก็ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เรากลายเป็นคนที่อ่อนโยนขึ้น อาจจะตามอายุด้วย เราแก่แล้ว จะให้ไปเหมือนเมื่อก่อนมันไม่ใช่ เราต้องเปิดใจฟังเด็กรุ่นใหม่ด้วย ต้องยอมรับเด็กรุ่นใหม่ๆ ด้วย มันก็ดีสำหรับวงการ เพราะพอเราเปิดใจฟังเขา เขาก็รับฟังเรา มีอะไรเราก็จะเตือน จะสอน จะสั่งน้องๆ รุ่นหลังกันว่าทำยังไงให้คนรัก เราอย่าคิดแค่ว่าทำให้คนรอบข้างรักเราพอ เราต้องทำให้คนทั้งประเทศรักเรา มันต้องทำยังไง ความเสมอต้นเสมอปลายต้องมีนะ”
เผยเหตุอยากไปอยู่วัด เพราะได้สัมผัสกับพระ ทำจิตนิ่งขึ้น เปิดรับอะไรใหม่ๆ ได้มากขึ้น
“เราเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่ออะไรมากมาย พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วัตถุมงคลอะไรต่างๆ เราไม่เชื่อ แต่พอได้ไปสัมผัสกับพระท่านนึงแล้วทำให้ใจเรานิ่ง มีความคิดที่ก้าวไกล ไม่ประมาทกับชีวิต เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกแบบนี้ พอใจเรานิ่งขึ้น เราก็เปิดรับอะไรใหม่ๆ ได้มาก”
รับที่ผ่านมาเสียเวลาชีวิต แต่ไม่สายเกินไป
“เสียเวลาครับ แต่ก็มองว่ามันยังไม่สายเกินไป รู้สึกว่าจริงๆ แล้วเราน่าจะเข้าวัดตั้งแต่อายุ 30 ปี นี่ 60 แล้วเพิ่งจะมารู้จักเข้าวัด ถ้าเราเข้าเร็วกว่านี้มันน่าจะดี เพราะเรื่องพวกนี้มันต้องค่อยๆ ซึมซับ มันจะทำให้ตัวเรามีจิตใจที่เมตตามากกว่านี้ มองโลกในแง่ดี ไม่ตัดพ้อต่อว่าคนที่เคยมาด่าว่าเรา เราจะนิ่งขึ้น ช่างเขา ปล่อยเขาไป เดี๋ยวนี้ในโซเชียล ใครมาด่าว่าเราเราก็ปล่อยเขาไป เขาไม่รู้ว่าตัวตนของเราเป็นยังไง เขาไม่ได้มากินนอน มาสัมผัสเรา คนเราสมัยนี้ ตัดสินใจเอาเอง ฉันถูก เธอผิด โดยไม่สืบเสาะดูก่อน”
ขึ้นสูงได้ก็หล่นได้ ปล่อยวางแล้ว
“อะไรก็แล้วแต่เสมอต้นเสมอปลายดีที่สุด รู้จักสัมมาคารวะ รุ่นพี่ รุ่นครูบาอาจารย์ อย่าคิดว่าเราสูงแล้ว คุณสูงยังไงคุณก็หล่นได้ ยิ่งสูงยิ่งหนาว…นั้นแหละ ตัวผมเองปล่อยวางแล้ว”
ภูมิใจชีวิต “อ๊อด ปากดี” ดีกว่าตน
“ตอนนี้ชีวิตเขาดีกว่าเราอีก งานการเขาดีมาก ช่องยูทิวบ์ใครๆ ก็อยากให้เขาไปรายการ เราก็พยายามจะดูให้เขา บอกว่าของอย่าเอามาให้เยอะ เอาเงินดีกว่า เพราะครอบครัวเขาใช้เงิน บางคนจะเอาโทรศัพท์มาให้ เราจะบอกเด็กคนนี้มันใช้เงิน แล้วอีกอย่างอย่าให้ถูกๆ เพราะว่าเขามาไกล เราต้องไปรับเขาที่สระบุรี อยุธยานะ จะบอกเลยว่าใครอยากได้อ๊อดให้ใจบ้าง ไม่ใช่ว่าเด็กดาวน์ซินโดรมไม่ต้องกินอะไรเลย มันต้องกิน ถ้าเราไม่ให้ไปจะมาโกรธเราไม่ได้นะ เพราะเราดูแลเขามา
เราก็อยากให้เขามีอนาคตที่ดี มีเงินเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เขา อย่ามาชุบมือเปิบกัน ขนาดนุ้ย เชิญยิ้มยังต้องมาขออนุญาตเลย ว่าจะไปทำนั่นทำนี่ เราบอกเอาไปได้เลย นุ้ย บอล แจ๊ส พ่อเด๋อไงเป็นคนที่คอยสอนมุกตลกอ๊อดไง เราเองก็ไม่ค่อยอยากให้ออกเยอะด้วย มันจะช้ำ ของอร่อยมันต้องค่อยๆ กิน กินเร็วๆ อิ่มมันก็เบื่อ ดูพวกโซเชียลสิ พวกมาแป๊บเดียวมีเยอะแยะ แต่เราอยากให้อ๊อดอยู่นานๆ อยากให้เขาไปได้ไกล เราไม่ได้หวงนะ แต่เรารู้ไง”
ปั้นอ๊อดเป็นตลกเพราะเป็นคนความจำดี ไม่มีคำหยาบคาย
“ใช่ ปั้นให้เป็นนักแสดง อ่านบท เล่นตามบทได้ อ๊อดเป็นคนมีความจำดี แต่เขาจะสมาธิสั้น เราจะพูดจาน่ารัก ไม่มีคำหยาบคายเลย พ่อนะ หนูนะ มันมีโซเชียลที่จะเล่นแบบดิบๆ จะเอาอ๊อดไป ผมบอกไม่เป็นไร ผมไม่ต้องการปั้นเด็กแบบหยาบคาย ดิบๆ ผมต้องการให้เขาน่ารัก ไม่ต้องเอาฮาขี้แตกขี้แตน ให้คนดูยิ้มๆ พอ ฮาแล้วหายไปเลย ผมว่าเอาแบบพอยิ้มๆ ดีกว่า”
ให้อภัย หากคนกล่าวหาว่าตนหากินกับเด็กพิเศษ
“คนที่ไม่รู้ ผมให้อภัยเขา ก็ลองดูฐานะผมกับอ๊อดตอนนี้สิ ว่าผมไปเขี้ยวกับอ๊อดไหม งานทุกอย่างพ่อแม่เขารับเงินเองหมด ไปดูได้ พวกรายการ งานละคร มีใบเสร็จหักภาษี ผมแค่คอยดูงานให้เขา ว่าอะไรควรรับมากกว่า ผมดูแลเขาเหมือนลูก”
เห็นชีวิตครอบครัวลำบาก
“เราเห็นครอบครัวเขาลำบาก เขาเก็บขยะ จริงอยู่ที่ครอบครัวเขามีงาน มีรายได้ แต่ผมอยากให้อ๊อดได้มีงานทำ หารายได้อีกทางนึง ช่วยเหลือครอบครัวได้ ผมไม่เคยคิดหรอกที่จะมาเอาเงินกับเด็กแบบนี้ บ้ารึเปล่า แค่เขามาเปลี่ยนจิตใจเรา ให้เราเป็นคนใหม่ได้ก็เพียงพอแล้ว ถือเป็นบุญกุศลกันแล้ว อ๊อดช่วยพี่ พี่ช่วยอ๊อด
พี่เด๋อ ดอกสะเดาเองก็เคยเลี้ยงเด็กแบบนี้ แกก็บอกเราเอาไว้แล้วว่า ษีมึงเตรียมรับมือนะ รับการติ การว่าของประชาชนไว้เลย เราก็บอกไม่เป็นไรพี่ ใครจะด่าจะว่าก็ช่างเขา กาลเวลาจะเป็นข้อพิสูจน์”
เมินคนคิดไปไกล ทุกวันนี้สร้อยทองก็ไม่มี ค่าไฟจะมีจ่ายไหมยังไม่รู้
“ถามว่าเราเตรียมใจกับการที่คนคิดแบบนี้ไว้แล้ว เพราะเขาไม่รู้ไง อาจจะเคยเห็นเราเป็นคนโผงผาง รุนแรงมาก่อน ก็คิดไปว่าเราเป็นแบบนั้นแบบนี้ เอาเถอะครับ ทุกวันนี้สร้อยทองยังไม่มีใส่ ค่าไฟเดือนนี้จะมีจ่ายรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ปัดโถ! ไม่มีอ๊อด ผมก็อยู่ได้ อ๊อดไม่มีผมสิ อ๊อดต้องไปเก็บขยะกับพ่อกับแม่นะ ผมพาเด็กมาหากิน ไม่ใช่ผมมาหากินกับเด็ก
เมื่อก่อนร้อยคน คนด่าผม 50 คน เดี๋ยวนี้พันคนมีคนเดียว คนเดียวอาจจะเป็นเอฟซีคนเก่าๆ ผมก็ไม่ว่าอะไร อโหสิกรรมกันไป ให้อภัยเพราะว่าเขาไม่รู้ คนที่เขาเปลี่ยนความคิด มุมมองกับเราเพราะเขาเห็นเวลาที่เราอยู่กับอ๊อด และมุมมองจากอ๊อดด้วย ที่พอมาอยู่กับเรา เขามีทุกอย่าง”
ชีวิตมีความสุข พยายามดูแลตัวเองไม่อยากตายง่ายๆ
“ใช่ครับ ตอนนี้ผมมีความสุข ได้คุยกับอ๊อด มีแต่ความสนุกสนาน ไม่เครียด ไม่อยากได้อยากอะไรแล้ว พออยู่พอกิน ทุกวันนี้มีเงินติดบัญชีไม่เกิน 3,000 บาท ที่เหลือให้เมียหมด ก็พยายามจะไม่ตายง่ายๆ จะได้อยู่ดูแลเขา เราจนมาก่อน เราเป็นเด็กวัด เราไม่ลืม”