“ภิกษุณีปลาย” รับผิดคิดน้อยขายสบู่ ลืมตัวว่าเป็นพระตอนไลฟ์ เพราะอยากช่วยวัดที่ศรีลังกาเท่านั้น กราบขอโทษคณะสงฆ์ไทยทำให้เสื่อมเสีย บอกไม่ต้องเร่งสึก ถ้าสึกคงหาเงินได้มากกว่านี้ ย้ำผ้าเหลืองไม่ร้อน เชือดนิ่มๆ “ศรีสุวรรณ” หิวแสง อยากฝากสบู่ไปให้ใช้
หลังเมื่อวานนี้ (27 ก.ย.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ทำคำร้องส่งไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และมหาเถรสมาคมฯ ขอให้ดำเนินการตรวจสอบและเอาผิด “หมอปลาย พรายกระซิบ” ฐานละเมิดพระธรรมวินัย และสร้างความเสื่อมให้ศาสนา หลังเป็นภิกษุณีสุทัสสนา แต่กลับมาโพสต์เฟซบุ๊ก เพื่อโปรโมตขายสบู่น้ำมนต์ แถมยังบรรยายสรรพคุณสุดอลังการ
ล่าสุดวันนี้ (28 ก.ย.) ภิกษุณีสุทัสสนา เลยได้มีการจัดแถลงข่าว เพื่อเผยถึงข้อเท็จจริง จากประเด็นที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
“ครั้งนี้อย่างแรกเลย ก็คือมาทำบุญที่เชียงใหม่นะคะ อย่างที่สองคือได้ไปพบกับพระอาจารย์ เพื่อจะร่วมโครงการที่จะสร้างเมรุเผาศพ อย่างที่สามคือสัญญาไว้กับโยม ที่ร่วมกันทำบุญ เพื่อสร้างโรงทานหอฉัน แล้วก็ร่วมกันถวายข้าวสารอาหารแห้ง ที่ประเทศศรีลังกา แล้วก็จะขอตอบแทนด้วยการอาบน้ำมนต์ให้ฟรี รอบนี้ได้อาบน้ำมนต์ให้เรียบร้อยแล้ว ในวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา เลยทำให้สุขภาพก็ทรุดโทรมลงพอสมควร เพราะอาบให้แบบเต็มที่จริงจัง ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ”
แจงไลฟ์ขายสบู่ ณ กายา เพื่อหาปัจจัยมาช่วยวัด ปรึกษาทางเจ้าอาวาสแล้ว ที่ศรีลังกาสามารถทำได้ ยอมรับผิด คิดน้อย ขอโทษที่ทำให้คณะสงฆ์เสื่อมเสีย
“ต้องชี้แจงก่อนอย่างแรกนะคะ ว่าการไลฟ์เกิดขึ้นที่ประเทศศรีลังกา แล้วตัวเราเองก็เป็นภิกษุณีที่ศรีลังกา ยอมรับค่ะ ว่าไลฟ์สดจริง ยอมรับนะคะ ว่าขายของจริง แต่ขออธิบายเหตุผลจริงๆ เลยที่ทำ คือก่อนบวชเป็นภิกษุณีแบบนุ่งแบบนี้ เราไปแบบเป็นแม่ชีมาก่อน คิดว่าโยมพี่หลายๆ คนที่ไปสัมภาษณ์ที่วัดก็คงได้เห็น ตอนที่เป็นแม่ชีตอนนั้นเนี่ย ประเทศศรีลังกายังไม่ได้เกิดวิกฤตขนาดนั้น ทำให้ไม่ได้คิดว่ามันจะมีค่าใช้จ่ายเยอะซึ่งไม่ใช่ค่าใช้จ่ายส่วนตัว แต่พอไปบวชเป็นภิกษุณีปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้นคือประเทศล่มสลาย อย่างที่เราเห็นข่าว น้ำมันไม่มี อาหารไม่มี รถไม่มี สิ่งที่เกิดขึ้นคือความหวังเดียวของภิกษุณี ก็กลายเป็นหมอปลาย คนไทยที่เดินทางไปบวช ช่วยหน่อย
ซึ่งพระอุปัชฌาย์ทั้งสองฝั่ง ทั้งฝั่งภิกษุและภิกษุณี ครั้งที่แล้วที่เดินทางกลับมา พระอุปัชฌาย์ที่บวชภิกษุณี ที่เหลือเพียงไม่กี่รูป ท่านก็บอกว่าอนุญาตให้ทำ เพราะว่าภิกษุและภิกษุณีในศรีลังกา เป็นผู้ให้ ไม่ใช่ผู้ขอ อันนี้คือประเด็นสำคัญ แล้วพระอุปัชฌาย์ที่เป็นพระภิกษุที่ศรีลังกา ไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนกับภิกษุของไทย ที่นั่นคือท่านสามารถเป็นส.ส.ได้ สู้ได้เพื่อประชาชน เพื่อปากท้องของประชาชน เพราะฉะนั้นเมื่อประเทศลำบาก ประชาชนไม่มีที่พึ่ง ที่พึ่งทั้งหลายก็คือที่วัด ประชาชนไม่มีเงินไปบริจาคให้พระ ไม่มีโยมอุปัฏฐาก ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือตอนที่เราไปอยู่ เราไม่มีข้าวกิน เราไม่มีอาหารฉัน เราต้องขุดมันสำปะหลัง ไฟดับวันละหลายๆ ชั่วโมง อย่างที่ทุกคนเห็นในไลฟ์สด
ก็เลยได้ทำการปรึกษากับท่าน ว่าที่ประเทศไทยเนี่ย ที่วัดมีการหาเงินเพื่อทำนุบำรุงศาสนา พระและวัดถึงมีความเจริญรุ่งเรืองได้ขนาดนี้ มีการขายวัตถุมงคล มีการทำอะไรต่ออะไร เพื่อให้โยมได้เข้ามาเป็นที่พึ่ง และมีการช่วยเหลือมากขึ้น เราก็ปรึกษากับท่าน ท่านก็บอกว่าได้ลองทำดู ยังไงก็ได้ที่ขอให้วิกฤตตรงนี้มันผ่านช่วงที่มันหนักสุดๆ ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่บวชและไปอยู่ศรีลังกาเนี่ย ยอมรับว่าขายสบู่จริง ยอมรับว่าต้องขายของ แต่ขอบอกเลยว่าทุกครั้งในการไลฟ์สด เราจะพูดตลอดเลยว่า ไม่อยากขอ เพราะหมอปลายเป็นคนไม่ขี้ขอ มีประเด็นที่ผ่านมาในสมัยก่อน ว่าหมอปลายจะสร้างวัด ทำไมไม่สร้างสักที เอาเงินไปไหน เพราะหมอปลายไม่เคยขอเลยว่าอยากสร้างวัด ทุกคนเอาเงินมาให้หมอปลายสร้างวัดได้ไหม หมอปลายทำเงินเอง หาเงินเอง สร้างทุกอย่างเอง
พอถึงที่โน่น เราก็ลืมว่าเราเป็นพระ พูดจริงๆ ว่าลืม เพราะไปอยู่ที่โน่นท่านสอนว่าห้ามขอ เราก็ไม่ขอ เราทำ หนูขออนุญาตนะคะ บอกกับท่านเลย ว่าขออนุญาตทำแบบนี้ ท่านก็คุมความประพฤติตลอด เวลาไลฟ์เสร็จ ท่านก็ยังนั่งให้ศีลให้พรอยู่ก็ลงไปกราบท่านว่าหนูเสร็จแล้วนะคะ รอบนี้น่าจะได้ประมาณนี่ หนูกลับมาเมืองไทยนะ หนูจะเอาปัจจัยตรงนี้ที่รวบรวมได้เนี่ย ไปแลกเป็นเงินศรีลังกาแล้วก็ถวายท่าน คือเราทำอย่างนี้ทุกครั้งที่เรากลับมา ท่านก็เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร
แล้วเรื่องของการขายสบู่ ทุกอย่างเราบอกเลยว่าไม่ขอนะ แต่โยมทุกคนดูตามศรัทธา ว่าศรัทธาก็บูชาไป ไม่ศรัทธาก็จบแค่นั้น เราไม่ได้มีการบังคับ ว่ากรุณาซื้อนะ เราแค่ขอว่าถ้าอยากช่วย ไม่ได้ช่วยฟรี อยากให้มีของแลกเปลี่ยน คือคุยกับแบบนี้ แล้วท่านก็อนุญาตแล้ว อันนี้คิดว่าหลายๆ คนที่อยู่ไทย คงไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่ได้ดูไลฟ์ทุกครั้ง เลยทำให้เกิดประเด็น แล้วก็จะต้องกราบขอโทษคณะสงฆ์ไทย และภิกษุณีไทยทุกๆ ท่านนะคะ ทุกๆ พระองค์เลย ต้องใช้คำนี้ ไม่รู้จะแทนอะไรแล้ว เพราะจริงๆ รู้สึกผิดที่สุด เพราะปรึกษาแต่ศรีลังกา ยอมรับว่าประมาทมากๆ ที่ไม่ได้ปรึกษาทางประเทศไทย เพราะคิดว่าเราหาเงินให้ศรีลังกา เราไลฟ์ที่ศรีลังกา เราไม่ได้มาไลฟ์ที่ไทย คิดแค่นั้น ยอมรับว่าคิดสั้นจริงๆ อันนี้ต้องขอโทษที่ทำให้คณะสงฆ์เสื่อมเสียค่ะ ต้องขอโทษจริงๆ จากใจเลย (พนมมือไหว้)”
ไลฟ์จากศรีลังกา มาขายให้คนไทย ไม่ได้บังคับซื้อ แต่เป็นการร่วมบุญ
“ขายคนไทยค่ะ ก็คือลูกเพจธรรมดา แต่เราไม่ได้บอกว่าทุกคนกรุณามาซื้อนะคะ แต่บอกว่ารอบนี้นะคะ เราจะสร้างโรงทาน และเราจะแก้ห้องครัว เราจะต่อไฟใหม่ทั้งหมด ปัจจัยเท่าไหร่มันก็ไม่พอ เพราะมันไม่ใช่แค่วัดเดียว มันกลายเป็นหลายวัด แล้วอีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้พอเริ่มลงมาสอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ที่หมู่บ้านตรงนั้น หมู่บ้านอื่นเขาก็มาด้วย แล้วจะทำยังไงล่ะ เราก็ต้องให้ ทั้งไฟเอย ทั้งของใช้ อุปกรณ์การเรียน เงินเท่าไหร่มันก็ไม่พอ เพราะเขารู้ว่าที่นี่มีซัปพอร์ตให้ เขาก็มาขอๆ พระโทร.มาจากเมืองโน้น เมืองนี้มา โยมช่วยหน่อย เราก็เหมือนกลายเป็นศูนย์รวม ว่าภิกษุณีไทยรูปนี้หาเงินได้ ช่วยได้ แล้วท่านยังเอาไปช่วยโยมในภาคอื่นๆ ในวัดอื่นๆ ได้ เลยเป็นจุดๆ หนึ่ง ที่ก็รู้สึกผิด ทำจริงๆ ก็ปรึกษากัน แต่คือด้วยสัจจะที่ให้กับพระอุปัชฌาย์ ว่าเราจะขอเป็นคนที่อุปัฏฐาก แต่ตอนแรกก็สภาพเลย ว่าไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้”
ไม่ได้นับตอนเป็นภิกษุณี ไลฟ์ขายไปกี่ครั้ง แต่ไม่เคยพูดสรรพคุณเว่อร์วังตามข่าว และขายแค่ 129 บาท แปลงสารจากคลิปผิดไปมาก
“จริงๆ ไม่ได้นับ แต่ที่บริจาคตั้งแต่เริ่มบวช ทั้งแต่ชุดขาวเป็นชีไป บริจาคไปประมาณเกือบล้านบาทแล้ว ตอนแรกคือเงินส่วนตัวล้วนๆ พอมาเป็นพระแบบนี้เราทำงานไม่ได้เลย เพราะอาชีพหลักคือดูดวง มันเลยกลายเป็นปัญหา แต่เรื่องสบู่ทุกอย่าง มันคือของที่มีมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แล้วราคาที่ขาย แอบเห็นในข่าวก็งงเหมือนกัน ขอบคุณจริงๆ ค่ะ ที่ช่วยคิดคำขายให้ด้วย แล้วก็เพิ่มราคาให้อีกต่างหาก สบู่จริงๆ แค่ 129 บาท ไปเขียนเป็น 199 บาท แล้วก็เขียนสรรพคุณซะเว่อร์วังอลังการมาก ซึ่งมาอ่านแล้วก็งงว่ามันขนาดนั้นเลยเหรอ มันก็มีหลายอย่างที่มันแปลงสารไปจากคลิปที่เราพูดค่ะ
คือจริงๆ แล้วสบู่เนี่ย ไว้ล้างสิ่งอัปมงคล สิ่งสกปรก ขี้ไคลทุกสิ่งอย่างนะคะ แต่ที่เราพูดในไลฟ์สด ที่ว่าแก้เรื่องดวงตกอะไรทุกสิ่งอย่างเนี่ย เราอยากให้เปรียบเทียบกับเวลาที่คนดวงตก ไปวัดอาบน้ำมนต์ ซึ่งต้นกำเนิดของสบู่น้ำมนต์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว คือเรื่องของการที่เราเป็นฆราวาส แล้วมีคนมาแก้ของกับเราเยอะ เราอาบน้ำมนต์ให้ไม่ไหว จุดเทียนให้ไม่ไหว ก็เลยต้องหาวิธีที่มันเป็นนวัตกรรมใหม่ ก็คือสบู่นี่แหละ พกง่ายทำง่าย คนที่ต้องไปอาบน้ำมนต์ 7 วัด ไปหาวัด ไปหาหลวงพ่อ 7 วันอะ ไม่สะดวกหรอก ก็คือทำแบบนั้น นั้นตอนนั้นที่เป็นฆราวาสทำแบบนั้นจริงๆ พอมาถึงในช่วงที่เราใส่ชุดแบบนี้ เราก็คิดง่ายๆ ว่าเราเอาของที่เรามีอยู่นี่แหละ มาร่วมกันทำบุญและสร้างประโยชน์ดีกว่า คิดแค่นี้จริงๆ ยอมรับว่าคิดสั้น”
การบวชภิกษุณีที่ศรีลังกา ต้องถือศีล 311 ข้อ ซึ่งที่ไทยไม่มี แต่ข้อวินัยก็เปลี่ยนไปตามเวลาและวิถีชีวิต
“คือประเทศไทยไม่มีค่ะ แต่ศรีลังกาคือ 311 ข้อ แต่พระพุทธองค์ก็บอกแล้ว ว่าทุกอย่างมันย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาและวิถีชีวิต การใช้ชีวิต อย่างบางข้อที่บอกว่าห้ามภิกษุขึ้นยานพาหนะ ถ้าไม่ป่วย แล้วปัจจุบันนี้ทำยังไงล่ะคะ เราเดินทาง แล้วอย่างเราอยู่วันที่ชายขอบชายแดนเลย เดินกี่วันถึงจะถึง จะไปซื้อผักทีหนึ่งใช้เวลาเดิน 2 วันก็ไม่ได้ มันก็ต้องเป็นบางข้อ เป็นบางวินัย ที่ทุกคนยอมรับกันแล้ว ว่ามันจำเป็นต้องทำ
ขอแยกให้เห็นความแตกต่างนะคะ อย่างที่บ้านเราเคยชินกับการที่ภิกษุจะต้องโกนคิ้ว ตอนที่เราไปเราโกนคิ้วไป เขาถามว่าเป็นอะไร ทำไมต้องโกนคิ้ว เพราะที่นั่นไม่มีการโกนคิ้ว หลังจากนั้นท่านสั่งเลยว่า ถ้าจะเป็นพระที่ศรีลังกาต้องไว้คิ้ว ทำให้ถูกต้องตามปกติ สองคือไทยบิณฑบาต มีคนซัปพอร์ตตลอด มีอาหารดีๆ ฉัน มีทุกอย่างทำให้หมด มีแม่ครัวมีโรงครัว แต่ที่นั่นแม้แต่ที่ทานข้าวยังไม่มี ต้องนั่งพื้น อีกอย่างคือชาวบ้านแถวนั้นไม่มีเงิน ที่จะแบ่งข้าวให้ภิกษุณีและพระสงฆ์ เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำกันเอง ต้องซื้อผัก ต้องซื้ออาหาร ต้องซื้อตู้เย็น ที่วัดไม่มีตู้เย็น ทำให้ไม่สามารถถนอมอาหารได้ ผักเน่า
มันมีช่วงที่เราหารถออกไปนอกวัดไม่ได้ 5 วัน ต้องไปขุดมันมาฉันแทนข้าว อันนี้ไม่มีใครรู้นะคะ แล้วก็คิดว่าภิกษุไทย คนงงไม่น่าจะเจอสภาพที่ทรมานขนาดนี้ แล้วก็บอกตรงๆ ว่าไม่คิดว่าจะไปเจอสถานการณ์แบบนั้นเหมือนกัน โยมที่ไปวัดเขาเอาดอกไม้ไปถวาย ไม่ได้มีสังฆทานเหมือนบ้านเรา ไม่มีการถวายปัจจัย วันดีคืนดีอาหารที่ภิกษุณีไม่มีฉัน ชาวบ้านก็มาขอ เราก็ต้องอดไปเลย 1 วัน เพื่อที่จะเอาอาหารใช้ชาวบ้าน นี่คือปัญหาที่จะต้องออกมาทำแบบนี้”
รู้จักชื่อ “ศรีสุวรรณ จรรยา” ไม่คิดว่าจะเข้ามาในชีวิต
“รู้จักค่ะ พูดจริงๆ ว่ารอบนี้ที่กลับมาเนี่ย ก็รู้สึกว่าจะต้องมีปัญหาอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะเจอโยมคนนี้เข้ามาในชีวิต แต่ก็ต้องบอกว่าขอบคุณจริงๆ ที่ทำให้ได้มีโอกาสชี้แจงเพราะว่าก็ไม่สบายใจ ในเรื่องของการต้องออกมานั่งหยิบของมาขาย หรือมาทำอะไรเพื่อให้มันรู้สึกแย่ จริงๆ ด้วยใจตัวเองก็รู้สึกแย่มากๆ ที่ไลฟ์สด ยังคุยกับโยมพี่อยู่เลย ว่าหนูต้องไลฟ์นะ ถ้าหนูไม่ไลฟ์แล้วเราจะทำยังไง”
ยอดขายตอนเป็นภิกษุณี แย่ลงมากเทียบกับตอนเป็นโยม
“คือจะบอกว่ามันแย่ ตอนนี้มันแย่มาก แย่จริงๆ เพราะเราพูดอะไรได้ไม่เต็มที่ เมื่อก่อนรายได้ดีมาก ทั้งขายสบู่ ทั้งดูดวงทุกอย่าง ซึ่งถ้าเปรียบเทียบการใช้ชีวิตตอนไม่บวช คือใช้ชีวิตอย่างดีมีความสุข รายได้ดีกว่า ไม่มีความลำบาก ลูกน้องไม่ลำบาก แต่ตอนนี้คือลูกน้องนั่งกลุ้มใจกันอยู่ ว่าถ้าไม่สึกเนี่ยตกงานนะ แล้วจะอยู่กันยังไง โยมที่คอยดูดวง ที่มาหาที่พึ่ง เขาก็กลัวเหมือนกัน ว่าเขาจะไปพึ่งที่ไหน”
รายได้จากการไลฟ์ขายสบู่ 2 รอบอยู่ที่ 2-3 แสน โดยแบ่งปัจจัยเป็น 2 ส่วน ให้ฝั่งภิกษุณีและฝั่งภิกษุ
“ได้ไปครั้งละ 2-3 แสนบาท ประมาณ 2 รอบ รอบนี้ก็อีกประมาณ 350,000 บาท อย่างแรกเลยจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งถวายให้พระอุปัชฌาย์ที่บวชที่ฝั่งภิกษุณี เพื่อสร้างวัดของเรา และท่านจะเอาไปให้กับวัดอื่น ที่เป็นวัดภิกษุณีเหมือนกัน และอีกส่วนหนึ่งจะไปถวายกับอุปัชฌาย์ที่เป็นฝั่งภิกษุ ซึ่งตอนนี้ท่านเป็นส.ส. ท่านก็จะเอาไปแจกจ่ายภิกษุในอีกส่วนหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้นปัจจัยที่ได้ มันถูกกระจายออก เรามีหน้าที่แค่เอาปัจจัยไปถวายท่าน ให้เป็นเงินศรีลังกา แล้วท่านจะเอาไปทำอะไรแล้วแต่ท่าน”
ตอบกลับดรามาที่บอกให้สึก บวชแค่ปีเดียวอยู่แล้ว ไม่ต้องเร่ง
“จริงๆ ก็อยากจะบอกเหมือนกันนะคะ ว่าถ้าสึกคงหาเงินได้มากกว่านี้ คงมีชีวิตที่สบายและไม่ต้องมานั่งทุกข์กับดรามาอะไรที่ทำให้ความรู้สึกตัวเองลบขนาดนี้ จริงๆ ด้วยตัวเองรับแรงกระแทกได้ดีมาก แต่ไม่อยากให้คณะสงฆ์เสื่อมเสีย ไม่ใช่ลืมว่าตัวเองเป็นคนไทย แต่เราใช้ชีวิตอยู่ศรีลังกา เราเลยลืมว่าบางอย่างมันอาจจะขาดความเหมาะสม อันนี้ต้องขอโทษ
แต่ถามว่าตอนนี้ผ้าเหลืองร้อนไหม ก็ไม่ ยิ่งเหนียวแน่นกว่าเดิมอีก เราคิดว่าเราจะตั้งใจทำตามสัจจะ แล้วก็ให้วัดที่ศรีลังกามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แล้วก็อยากให้มีวงศ์ภิกษุณีที่ยิ่งใหญ่และกว้างขวาง แล้วก็มาความมั่นคง อยากให้ท่านอยู่อย่างปลอดภัยและมีความสุข
ต้องใช้คำว่าปลอดภัย เพราะด้วยความเป็นอยู่จริงๆ เลย คือห้ามอยู่ร่วมกับพระสงฆ์และผู้ชาย เพราะฉะนั้นในวัดจะมีแต่ผู้หญิงอยู่กัน 6 คน วัดอื่นที่อยู่ไกลออกไปมีภิกษุณีอยู่ 3 รูป ลำบากมาก ไม่มีใครคอยดูแลเหมือนวัดเรา มีแค่ต้นโพธิ์คอยบังหน้าวัด ถ้าสมมติมีโจรหรือไฟดับขึ้นมาก สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีใครรับผิดชอบ เราเลยคิดว่ามันต้องมีการปรับเปลี่ยน มันคือจุดประสงค์ เพราะฉะนั้นใครอยากจะให้สึก ก็ไม่ต้องห่วงค่ะ ยังไงอยู่แค่ปีเดียว ยังไงก็ต้องสึกอยู่แล้ว(หัวเราะ) ไม่ต้องเร่งค่ะ”
หลังเกิดเรื่องสำนักพุทธยังไม่ได้ติดต่อมา ไม่โทษ “ศรีสุวรรณ” เพราะอาจจะหิวแสง แต่ก่อนฟ้อง ควรมาคุยกันส่วนตัวก่อน
“ไม่มีค่ะ ไม่มีเลย แต่จริงๆ ก็อยากบอกโยมศรีสุวรรณนะคะ ก่อนจะฟ้องใคร ควรคุยกันส่วนตัวก่อน คนเราจะทะเลาะกัน จะมีเรื่องกับใครควรคุยกันส่วนตัว ไม่ใช่อยู่ดีๆ ไปทำให้เป็นเรื่อง อันนี้ถือว่ามันไม่แฟร์สำหรับใครทั้งสิ้น (มองว่าเขาเป็นกรรมอย่างหนึ่งไหม?) ก็ขอไม่โทษเขา แต่เขาอาจจะหิวแสงหรืออะไรก็แล้วแต่ค่ะ ก็ต้องปล่อยเขาไปเนอะ (หัวเราะ)”
รู้ข่าวพระพยอมออกมาติง ไม่เหมาะสม ยอมรับผิด และขอโทษที่คิดน้อย
“ได้เห็นข่าวเหมือนกัน ท่านพูดว่าภิกษุณีในไทยเสื่อมเสีย อยากจะบอกว่าภิกษุณีในไทย มีความเป็นอยู่ดีกว่าภิกษุณีที่ศรีลังกา ท่านอาจจะไม่เคยได้ไปใช้ชีวิตที่โน่น ยอมรับค่ะ ถึงได้บอกว่าขอโทษจริงๆ ที่คิดน้อยแล้วลืมว่าจะต้องบินกลับมาบ้านเกิด ต้องขอโทษจริงๆ ที่ทำให้เสื่อมเสีย น่าจะมีกรณีหนึ่ง ที่ท่านเคยบอกว่าทำไมไม่ขอล่ะ ก็เราไม่ใช่คนขี้ขอ ด้วยนิสัยปกติอยู่แล้ว แล้วคิดว่าบวชแค่ 1 ปี แล้วเพิ่งบวชมาแค่ 4 เดือน ก็เลยลืมว่าเราจะต้องขออย่างเดียวเท่านั้น มันเลยเป็นข้อหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเราทำให้วงศ์ภิกษุณีเสื่อมเสีย แต่อยากให้เข้าใจว่า ภิกษุณีก็บวชมาจากอุปัชฌาย์รูปเดียวกัน ซึ่งเราได้ปรึกษาอุปัชฌาย์รูปนั้นแล้ว ว่าขออนุญาตทำเรื่องนี้”
เจ้าอาวาสที่ศรีลังกาไม่รู้ดรามา แต่ถ้ารู้ก็คงตกใจ
“ท่านเจ้าอาวาสไม่ทราบค่ะ ถ้าทราบก็คงจะตกใจมากๆ เหมือนกัน ว่าเราลำบากเพราะท่าน เพราะท่านก็บอกแล้ว ว่าอย่าทำให้ลำบาก ซึ่งตัวเราก็บอกเองว่าไม่มีอะไรลำบาก ขอให้ภิกษุณีทุกรูปอยู่อย่างมีความสุข
จากนี้จะหาปัจจัยจากไหนยังไม่รู้ วอนใครเคยร่วมบุญฝากรีวิว จะได้ไม่ต้องออกมาพูดเยอะ
“ก็นี่แหละค่ะ พี่ๆ คิดว่ายังไงบ้างละคะ (หัวเราะ) เพราะว่าทำอะไรก็ มันขยับไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็อยากจะขอ ว่าใครที่เคยร่วมบุญกัน หรือเคยเอาของไปใช้ ก็รบกวนขอรีวิวแล้วกันค่ะ จะได้ใช่รีวิวตรงนั้น เราจะได้พูดให้น้อยหน่อย เราก็ต้องระวังตัวเองให้มากขึ้น ก็ต้องร่วมมือขอรีวิวแล้วกัน จะได้เอาปัจจัยตรงนี้มาช่วยต่อ เพราะแต่ละครั้งกลับมาแล้วซื้อของกลับไป น้ำหนักที่ขึ้นเครื่องบิน ถ้าเกิน 30 กิโล กิโลละ 500 บาท ก็เลยขออนุญาตกลับมาเพียงรูปเดียว เพื่อที่จะมาขนเครื่องใช้ไฟฟ้าไป แล้วก็ประหยัดค่าเครื่องบิน แต่ละครั้งเสียค่าน้ำกนักเพิ่ม 3-5 หมื่น มีใครทราบไหม ไม่มี มันเยอะมากๆ บางคนถามว่าทำไมไม่ซื้อที่ศรีลังกา ก็เพราะเมืองไทยมันถูกกว่า ขนไปดีกว่า ที่โน่นแพงกว่า 3-4 เท่า ไม่ไหวหรอก”
ไม่หยุดขาย แต่คงไม่พูดเองแล้ว เงินทุกบาทขนให้วัดหมด ไม่มีหักภาษี
“ก็คงจะไม่พูดเอง ไม่อะไรเอง แต่ว่าก็อยากจะขอว่าทุกคนที่เคยใช้ ร่วมกันส่งรีวิวเข้ามาแล้วกัน จะได้ไม่ต้องพูดเองค่ะ เงินที่ได้ไม่ได้หักต้นทุนเลยนะคะ เราเสียภาษีทุกอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ เรารับภาระทุกอย่างเองหมด เงินร้อยเปอร์เซ็นต์เราขนไปทั้งหมดค่ะ แต่ปัญหาคือไม่มีใบอนุโมทนาบุญเหมือนวัดไทย เพราะที่โน่นเขาให้คือให้ ไม่มีการมาหักภาษี ไม่มีหลักฐานในการไปทำบุญ อันนี้คือสิ่งที่กลุ้มใจมากๆ เพราะไม่สามารถเอามาให้ทุกคนได้เห็น ทำได้แค่ถ่ายรูปว่าตรงนี้เกิดแล้วนะ”
ปัจจัยที่ได้มา ทำให้มีการเปลี่ยนแปลง
“ตอนนี้ที่ช่วยอยู่แล้วสิ่งที่เห็น ก็คือโรงทานหรือหอฉันที่ทำ สามารถรวมภิกษุณีได้เยอะขึ้น แล้วก็จะสามารถจัดงานบวชภิกษุณีครั้งหนึ่งได้หลายรูป ไม่ใช่แค่ครั้งละรูป ก็พยายามจะทำทุกอย่างให้ใหญ่ขึ้น แล้วก็ทำให้ร่างกายของพระอุปัชฌาย์ฝั่งภิกษุณีแข็งแรงขึ้น ท่านจะได้บินไปได้รอบโลก เพื่อบวชภิกษุณีได้มากขึ้นด้วย ตอนนี้ท่านอ่อนแอ ท้องเสีย ท้องร่วง เพราะอาหารเป็นพิษจากการฉันข้าวที่มันสกปรก แต่วัดอื่นๆ เมื่อได้ไปแล้ว ท่านก็จะไปทำเรื่องไฟ เรื่องความสะอาด การทำนุบำรุง เพราะทุกอย่างอยู่ในเครือเดียวกันหมด”
ยืนยันสบู่ไม่สามารถแก้อวิชชาได้ แต่ส่วนผสมทุกอย่างมีอย. หมด
“สบู่ราคา 129 บาท ไม่ใช่ 199 บาทนะคะ แล้วก็ไม่ได้มาแก้อวิชชาด้วย ไอ้คำที่เขาโพสต์กัน คือมาจากไหนก็ไม่รู้งง ไม่ได้คิดนะคะ อย่าไปเข้าใจราคาผิดจากตามข่าวนะคะ ขอแค่นี้ เข้าใจกันให้ถูกต้อง ส่วนผสมเราไม่ได้เอาน้ำมนต์สกปรกเข้าไปใส่ ทุกอย่าง มีอย.เรียบร้อย ทุกอย่างทำตั้งแต่เป็นฆราวาส พอมาเป็นภิกษุณีก็ไม่ได้ทำการปลุกเสกอีกนะคะ”
อยากฝากสบู่ไปให้ “ศรีสุวรรณ” เชื่อคณะสงฆ์เข้าใจ ไม่ต้องส่งหนังสือชี้แจง แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเข้าพบ
“อยากฝากสบู่ไปให้เลย (หัวเราะ) ถามว่าจะทำหนังสือชี้แจงไหม จริงๆ ก็ไม่ต้องค่ะ เขาน่าจะเข้าใจผิดคิดว่าทางคณะสงฆ์ท่านเข้าใจ จริงๆ ถ้าข้าพบได้ก็อยากเข้าพบ แต่ก็ไม่รู้จะเข้าทางไหน เพราะไม่ได้รู้จักใครเป็นพิเศษ บริสุทธิ์ใจสุดๆ เลย ถึงรบกวนโยมพี่ๆ สื่อมา เพราะไม่อยากให้มีการเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ แล้วก็ไม่อยากพระสงฆ์และภิกษุณีที่อยู่ในไทยต้องเดือนร้อน เพราะคนคนเดียว”