เรียกว่าเป็นมหากาพย์ดรามาที่เป็นประเด็น Talk of The Town สนั่นในโลกโซเชียลในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเลยทีเดียว
สำหรับกรณีความขัดแย้งระหว่าง “ณวัฒน์ อิศรไกรศีล” หัวเรือใหญ่ของเวที Miss Grand Thailand กับ “อิงฟ้า วราหะ” เจ้าของมงกุฎ Miss Grand Thailand 2022
เรื่องของเรื่องที่ไม่ควรเป็นเรื่องขึ้นมาเลย ถ้าเพียงแค่ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากัน ปิดห้องหารือ พูดคุยกันด้วยเหตุและผล แทนที่จะออกมาโพนทะนาให้กลายเป็นประเด็นผ่านสื่อต่างๆ
ไม่ต่างอะไรกับการ “สาวไส้ให้กากิน”
เพราะเมื่อมาถึงจุดที่กลายเป็นข่าวขึ้นมา บอกเลยว่า “ได้” ไม่คุ้ม “เสีย”
เอาจริงๆ เรื่องของการ ซ้อมหนัก , งานเยอะ หรือเหนื่อย มันไม่เคยมีบรรทัดฐานที่แน่นอนอยู่แล้วว่า แค่ไหนถึงเรียกว่าเยอะ แค่ไหนถึงเรียกว่าหนัก แค่ไหนถึงจะเหนื่อย เพราะทุกอย่างอยู่ที่ความพึงพอใจ และยอมรับได้มากน้อยอย่างไรมากกว่า
อย่าลืมว่าตัว อิงฟ้า เอง ในวัย 27 ปี ต้องเรียกว่าผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านความเหนื่อยยากลำบากอย่างแสนหาหัสมาแล้วตั้งครึ่งค่อนชีวิต ด้วยไม่ได้เกิดมาบนกองเงินออกกอง ที่ผ่านมา ก็ทำงานมาสารพัดเพื่อให้มีรายได้มาเลี้ยงชีพ แม้กระทั่งการเป็นหมอรับทำขวัญนาค
ประสาอะไรกับการฝึกซ้อม ฝึกฝน เพื่อพาไปตัวเองไปสู่มงกุฎระดับโลก ซึ่งก็ไม่น่าจะเหนื่อยหนักไปกว่าชีวิตที่เคยผ่านมาอยู่แล้ว
เพราะความจริงข้อหนึ่งที่ปฏิเสธไมได้เลยก็คือ มงกุฎ Miss Grand International คือที่สุดแห่งความใฝ่ฝัน ที่สุดแห่งความสำเร็จ ที่ อิงฟ้า เอง ก็ไขว่คว้าหามาตลอด ถึงขนาดยอมละเมิดสัญญากับต้นสังกัดเก่า กลายเป็นคดีความฟ้องร้องกันอยู่ในขณะนี้
ถึงตรงนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าต้นสังกัดเก่า มองประเด็นความบาดหมางระหว่าง อิงฟ้า กับเวที Miss Grand ไว้แบบไหน ? หรืออาจจะรู้สึกว่าเหมือน เดจาวู กลับไปสู่เหตุการณ์เดียวกับที่ค่ายเดิมก็เคยประสบมา
เสียดายก็ตรงที่ อิงฟ้า ถือเป็น Miss Grand ที่ต้องบอกว่าครบเครื่องมากที่สุด
เรื่องรูปร่างหน้าตาไม่ต้องพูดถึง
แต่ความครบเครื่องที่ว่า ก็คือในเรื่องของความสามารถ และศักยภาพที่มีเหนือกว่านางงามรุ่นพี่ร่วมเวที
โดยเฉพาะความสามารถในการร้องเพลง ระดับที่เคยผ่านเวทีใหญ่ๆ อย่าง The Voice มาแล้ว
ฉะนั้นก็ไม่แปลก ที่ ณวัฒน์ จะวางหมากให้ อิงฟ้า โด่งดัง และไปไกลมากกว่านางงามอื่นๆ
ตามบทสัมภาษณ์ของเจ้าตัวที่บอกว่า ยึด ลิซ่าโมเดล เป็นแนวทางสำหรับการผลักดันให้ อิงฟ้า ไปสู่ระดับโลก
แต่ต้องบอกก่อนว่า กว่าจะได้แบบ ลิซ่า ไม่ใช่เรื่องง่าย
ทุกคนมองเห็น ลิซ่า ในวันที่เธอประสบความสำเร็จ โด่งดัง เป็นที่รู้จักในระดับสากล เป็นเจ้าของสถิติอะไรต่อมิอะไรมากมาย ชนิดที่ถูกวางให้เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการ K-Pop
แต่น้อยคนที่จะมองย้อนกลับไป ก่อนที่ ลิซ่า จะเดินทางมาถึงจุดนี้
บอกได้เลยว่า จุดที่ ลิซ่า ยืนอยู่อย่างสง่างามนั้น ต้องแลกมาด้วยการทุ่มเท ความตั้งใจ และการเสียสละชีวิตส่วนตัว เพื่อใช้เวลาแทบทั้งหมดในแต่ละวัน ในแต่ละเดือน แต่ละปี กับการซ้อม ซ้อม ซ้อม และซ้อมอย่างหนัก
ต้องตัดขาดตัวเองจากชีวิตวัยรุ่น จากครอบครัว จากเพื่อนฝูง และแม้กระทั่งความรัก
ถ้า อิงฟ้า มุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงจุดนั้นจริงๆ อย่างที่เจ้าของเวที Miss Grand วางแนวทางไว้ให้ วันนี้คงไม่ได้ยินข่าวคราวการออกมารำพึงรำพันว่าเหนื่อย ซ้อมหนัก อยากพัก อยากมีเวลาส่วนตัว
และต้องบอกว่า ลิซ่าโมเดล ที่ ณวัฒน์ ยึดเป็นแนวทางนั้น ไม่ใช่เรื่องที่นำมาพูดลอยๆ เล่นๆ แต่เป็นการทำแบบจริงๆ จังๆ เลยทีเดียว
เพราะระหว่างที่ อิงฟ้า กำลังเตรียมตัวที่จะไปช่วงชิงมงกุฎระดับโลก บนเวที Miss Grand International ทาง ณวัฒน์ เอง ก็พยายามสร้างฐานความนิยมในประเทศเพื่อนบ้านให้กับ อิงฟ้า เพื่อเป็นบันไดสู่อินเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการไปสร้างคอนเนกชั่นที่ประเทศ เวีนดนาม เพื่อรับงานพรีเซ็นเตอร์ เหมือนกับ “เหงียน ตุ๊ก ตุย เตียน” (Nguyen Thuc Thuy Tien) Miss Grand เวียดนาม และเจ้าของมงกุฎ Miss Grand Intarnational 2021 หรือ Queen MGI คนที่ 9 ของโลก
หรือแม้กระทั่งการพยายามให้ อิงฟ้า โพสต์ไอจี และแท็กหา “อีวาน กูนาวาน” (Ivan Gunawan) เจ้าของลิขสิทธิ์การจัดประกวด Miss Grand อินโดนีเซีย เพื่อสร้างฐานความนิยมให้คนอินโดนีเซียหลงรัก
แน่นอนว่า โมเดลที่ ณวัฒน์ วางไว้นั้น นอกจากจะนำพามาซึ่งเกียรติยศ ชื่อเสียง แล้ว ยังจะมีในเรื่องของรายได้อันมากมายมหาศาลอีกต่างหาก ยกตัวอย่างง่ายๆ จากค่าตัวในฐานะพรีเซ็นเตอร์ที่ปัจจุบันรับอยู่ที่ 4 ล้านบาท ก็จะขยับไปที่ 8 ล้านบาททันทีที่เธอเป็นเจ้าของมงกุฎ Miss Grand International
เห็นแบบนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะคุ้มพอสำหรับ อิงฟ้า ที่จะต้องแลกกับการยอมซ้อมหนัก ยอมเหนื่อย และยอมสูญเสียชีวิตส่วนตัวมากน้อยขนาดไหน !!???
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศาสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24-30 กันยายน 2565