xs
xsm
sm
md
lg

“เจี๊ยบ กาญจนาพร” เล่า “เจย์” มาหาในนิมิต เชื่อลูกตายเป็นชาติสุดท้าย รับเครียดสะสมจนเกือบเป็นอัมพาต!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เจี๊ยบ กาญจนาพร” อัปเดตชีวิตหลังสูญเสียลูกชาย ไปกลับกรุงเทพฯ - บ้านโป่ง คอยดูแลทั้งสองบ้าน ผ่านทุกอย่างมาได้เพราะใช้ธรรมมะนำชีวิต เล่าดวงจิต “เจย์” มาหาในนิมิต เชื่อลูกตายเป็นชาติสุดท้ายแล้ว บ้านหลังเกิดเหตุจะเก็บไว้ ตอนเข้าไปอยู่แรกๆ รู้สึกอึนๆ เพราะร่างกายไม่ดี จากความเครียดสะสม นับเป็นวิกฤตหนักสุดในชีวิต เกือบเป็นอัมพาต 

เป็นอีกหนึ่งคนบันเทิง ที่ต้องเจอกับเรื่องหนักๆ มากมาย สำหรับนักแสดงมากฝีมือ “เจี๊ยบ กาญจนาพร ปลอดภัย” ที่เพิ่งจะสูญเสียลูกชายคนโต “เจย์ ศุภกาญจน์ ปลอดภัย” ไปอย่างไม่มีวันกลับ ล่าสุดวันนี้ (22 ก.ย.) ได้เจอเจ้าตัว ในพิธีบวงสรวงละครเรื่อง รากแก้ว ทีมข่าวก็เลยขอสัมภาษณ์ อัปเดตชีวิตตอนนี้สักหน่อย ว่าสภาพจิตใจดีขึ้นบ้างหรือยัง หลังผ่านเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดตอนนั้น มากว่า 5 เดือนแล้ว

“เนื่องจากเรามีบ้านที่บ้างโป่ง ด้วยความคิดของเจย์และเจฟนะคะ แล้วเราก็ไปดูที่ดินกันที่บ้านโป่ง แค่ 190 ตารางวา แล้วเราก็จัดการให้มีบ้านอยู่คนละหลังเล็กๆ เหมือนกับบั้นปลายชีวิตเรามีแค่นั้นก็พอแล้ว ดูแลก็ง่าย ไป-กลับกรุงเทพฯ ก็สบาย ไม่ไกลเกินไป แล้วก็มาเกิดเหตุการณ์ เพราะฉะนั้นในปัจจุบันนี้ เราเลยมีบ้านโป่ง ซึ่งจริงๆ แล้วน่าจะเป็นบ้านที่แม่รออยู่ แล้วทุกๆ คนกลับมาในวันที่ว่าง แต่พอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ทำให้มีบ้านเจย์ผุดขึ้นมาอีก 1 หลัง ที่เราต้องมาดูแล เพราะคนที่เห็นคงอีกนานค่ะ ไม่กล้า ถามว่ากลัวไหม พี่น้องเขาไม่กลัวหรอก เพียงแต่ว่ามันหดหู่ แล้วเราจะไปทำความหดหู่ให้เกิดขึ้นในจิตใจทำไม จึงกลายเป็นแม่ ที่ต้องดูแลทั้งบ้างโป่ง และโนเบิล คิวบ์”

ถ้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ ก็จะมานอนที่บ้าน “เจย์” หลังที่เกิดเหตุ
“ณ ตอนนี้ถ้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ จะนอนที่บ้านเจย์ค่ะ นอนคนเดียว เพราะว่าลูกสาวก็ไปเช่าห้องอยู่ที่ร่วมฤดี ลูกชายก็มีสาว เพราะฉะนั้นเขาก็อยากมีความส่วนตัว ทุกคน 40 กันแล้วค่ะ คงไม่สามารถที่จะมากอดกันอยู่ เหมือนกันกาญจนาพร กับลูก 3 คนตั้งแต่เล็กมา”

ใช้ชีวิตแบบธรรมมะนำทาง โชคดีที่เป็นสายวัดป่า ปฏิบัติพุทโธมานานแล้ว เลยผ่านอุปสรรคทุกอย่างมาได้
“ใช้ชีวิตธรรมมะนำทาง เนื่องจากว่าโชคดีที่เราเข้ามาทางสายวัดป่า ปฏิบัติพุทโธมา ตอนที่เกิดวิกฤตแรก คือวิกฤตของเพื่อน ของการทำละคร เจอภาษีที่ดิน vat. เข้าไป อันนั้นก็หนักมากค่ะ จนกระทั่งถูกยึดโน่นนี่ แต่ดีที่มีคนเตือนว่าอย่าทำล้มละลาย ซึ่งมันมีผลมาถึงวันนี้ ถ้าล้มละลายปุ๊บ ไม่สามารถที่จะเป็นผู้ดูแลสิ่งต่างๆ ของเจย์ได้ มันไม่น่าเชื่อ ว่าเอออะไรที่มันเกิดขึ้น มันสอนเรามาตลอดเลย ในวันนั้นที่เกิดขึ้น เราก็มีลูกพอดีเหมือน ที่จะมาช้อนความมีพลังของครอบครัวเรา ใช้หนี้ไป 5 ปีหมด เป็นจำนวน 8 ล้านบาท แล้วมันก็เลยทำให้ไม่มีเงินมาผ่อน หรือชำระค่าตึกอย่างเต็มที่ ตึกจึงมีการตัดสินว่าปล่อย แล้วเราจะเบา

ปี 2563 เราคิดว่าเราไม่มีหนี้แล้ว ต่อจากนี้จะไปทำอะไร เรามีเงินทำแล้ว ไม่ต้องไปกู้เขาแล้ว เจย์เป็นคนพูดเลยค่ะ แม่เราพร้อมแล้ว แม่จะทำละครก็ทำได้ พอใช้หนี้ต่างๆ ไปหมด มันก็จะเหลืออยู่ไม่มาก แต่เจย์เขาตัดสินใจขอเอาก้อนนี้ ไปลงทุนทำร้านอาหารดีกว่า แต่มันเจอโควิดปังๆ เลยค่ะ คุณยายเพิ่งเสีย 2562 ขายตึกได้ต้นปี 2563 ซึ่งเวลาที่เราขนย้ายหรือเก็บของ เป็นเวลาวิกฤตของโควิดเลยค่ะ”

เคยถามตัวเองจนเลิกถาม ว่าทำไมฉันจะต้องเจออะไรที่มันหนักตลอด
เคยถามตอนช่วงวิกฤตแรกๆ แหงนหน้าถามฟ้าเลยค่ะ ว่ามันคือบททดสอบอะไรหนักหนา คือต้องทำยังไงต่อไป ถาม 2-3 ครั้งแล้ว มันก็ยังเกิดแรงๆ ขึ้นเรื่อยๆ อย่าไปถามเลย ถามตัวเองดีกว่า เพราะเราเริ่มที่จะเข้ามาทางธรรมมะตั้งแต่ 2545 มันไม่น่าจะถามฟ้าแล้วค่ะ เคยคิดว่ามันเป็นเวรกรรม แต่ก็ถูก เราไม่เคยทำในชาตินี้ แต่เราทำในชาติอื่น เราทำเขา เขาทำเรา มันวนเวียนอยู่อย่างนี้ แล้วพอเกิดมา เราก็ต้องมาเจอสิ่งที่มันวนเวียนอยู่ ถ้าแต่เราไปจมปลักกับการวนเวียน โดยที่ไม่พัฒนาการวนเวียนนี้เลย มันยิ่งแย่ และยิ่งคิดว่าเวรกรรม แล้วเราไม่มีสิทธิ์ที่เราจะทำอะไรให้มันลบไปบ้างเหรอ”

วิกฤตที่หนักที่สุดในชีวิต ก็คือเรื่องการสูญเสียลูกชาย
เรื่องเจย์นี่แหละค่ะ ที่สุดแล้ว วิกฤตต่างๆ ที่ผ่านมามันคือจิ๊บจิ้วไปเลย เรายิ้มกันออกในวันที่เจย์พาไปเลี้ยงอาหารจีน แล้วคุยกันในครอบครัว ว่าต่อไปนี้เราเดินหน้าของเรากันเอง แล้วเชื่อมั่นในเจย์นะ เจย์จะทำให้”

ยังมีความสุข แต่ไม่หลงไปกับความสุข และเอาความทุกข์มาเรียนรู้
“ความสุขเราก็มีนะ แต่ว่าเราไม่หลงความสุขค่ะ ความสุขเรามี ความทุกข์เรามี แต่เราเรียนรู้ที่จะเอาทุกข์นั้นมาอบรมสั่งสอนเรา เราพิจารณาด้วยศาสตร์ธรรมของพระพุทธเจ้า คือถ้าเรามีมรรค เรามีผล สุขเราก็เอาศาสตร์ธรรมของพระพุทธเจ้า เราติดสุขแบบทางโลก หรือติดสุขแบบทางธรรม ถ้าเราติดสุขแบบทางธรรม เราชนะจิตตัวเอง คือสุขที่เราสะสมสิ่งดีงามไปเรื่อยๆ อันนั้นสำคัญกว่าสุขที่เราได้รับเงิน ได้รับงาน แต่ไม่ใช่ว่าเราอยากจะขัดสนกับโลกนี้นะ เราก็ยังอยากเดินไปกับโลกอย่างโฟลว์ อย่างสบายๆ ครอบครัวเราก็มีศักยภาพในการทำงาน คงไม่หดหู่ขนาดนั้นค่ะ”

ใช้ธรรมมะในการฮีลใจของตัวเอง คิดว่านี่คือชาติสุดท้ายของ “เจย์” แล้ว เพราะจิตเขาเคลียร์
“จะเอาทุกจุดที่มันผุดขึ้น มาพิจารณาในข้อธรรม เช่นภาพเจย์ในวัยเด็กขึ้นมา เราก็จะแบบมันผ่านพ้นไปแล้ว นั่นวัยเด็ก เรากำลังถูกหลอกอยู่นะ เรากำลังถูกหลงอยู่นะ ซึ่ง 5 ปีที่แล้วเราเคยคุยกับเจย์ เป็นวันที่มีความสุขที่สุด เพราะเจย์คุยอย่างที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน เพราะแม่กับเจย์คนละจริต แม่กับลูกแม่เนี่ย คนละจริตทั้ง 3 คนเลย เขาแรงมาก แล้วเขาไม่มาทางเราเลย ทางธรรมนี่คือแม่อย่าเพิ่งพูดถึง ยังไม่ถึงเวลาเจย์ ยังไม่ถึงเวลาหนู ทุกคนเป็นแบบนี้หมดเลย เราก็โอเคไม่เป็นไร แต่วันหนึ่งเจย์เดินเข้ามาบอกขอคุยด้วยแม่ ขอคุยหน่อยเหอะ อยากรู้ความจริง เขาก็คุยเรื่องการที่เขายืนอยู่ท่ามกลางผู้คน ท่ามกลางงาน แต่อยู่ๆ ในขณะนั้นมันเกิดไม่มีอะไรเลยแม่ มันเป็นแสงสว่างตู้มลงมาหาเจย์ เจย์งงว่าอะไรวะเนี่ย โลกนี้มันไม่มีอะไรเลยเหรอ นี่คือคำพูดของเขา

เราก็บอกเจย์เมาหรือเปล่า (หัวเราะ) เจย์มีสติหรือเปล่า เขาก็บอกนี่กลางวันแม่ ทำงานอยู่ เราก็บอกว่าเจย์ข้ามขั้นตอน แม่นี่คือเข้ามาตั้งแต่ 2545 แล้วแม่รู้ว่าแม่นั่งตรงไหน แล้วแม่เห็นอันนี้ ที่มันไม่มีอะไรเลย แล้วมีแสงสว่างจ้า ณ ตรงไหน วัดไหน ที่ไหนบ้าง มันไม่เหมือนเจย์เลย ก็เลยซักถามเยอะขึ้น ว่าที่เจย์พูดมาทั้งหมดเนี่ย มันไม่ใช่หลอกลวงจิต หรือหลอนนะ ของบอกว่าโจ้งๆ เลย คำของเขาคือ โจ้งๆ กลางถนน เราก็ไม่รู้ว่าถนนไหน งานไหนนะ เขาบอกว่ามันโจ้งๆ แม่ เจย์อยากรู้แค่นี่แหละ ว่าเจย์มีของเจย์อยู่หรือเปล่า เราก็ตอบว่าถ้างั้นมี เขาก็บอกว่าโอเค ทางโลกส่วนทางโลกแม่ ทางโลกเจย์ยังไม่จบ เจย์ก็จะทำให้สุดๆ

คิดว่าเป็นชาติสุดท้ายที่กระทำแบบนี้ เขาเคลียร์ค่ะ จิตเคลียร์ แล้วมันมีแมสเสจที่แบบเชื่อมั่นว่าใช่ มันที่จะไปรับอัฐิ เราขับรถไปกับพี่สาว แล้วก็พุ่งตรงหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เราก็ขับรถด้วยความจบสิ้นแล้ว เดี๋ยวได้พักผ่อนแล้ว รอไปลอยอังคาร เพราะมันเหนื่อยมากเลยงาน 3 วันติด บนท้องฟ้าที่มืดครึ้มไม่มีแสงสว่างสีขาวเลย อยู่ๆ มีช่องโหว่งสีขาวอยู่ช่องหนึ่งกลมๆ เราก็บอกว่าดูช่องนั้นสิ เหมือนประตูไปไหนเลย แล้วมันก็กลายเป็นหัวใจทันทีเลย เราเห็นกันทั้งคู่ มันคือหัวใจมีปีก เขามั่นใจแล้ว มั่นใจว่าเจย์เป็นแองเจิ้ล มันทำให้ใจฟู ณ วันที่จะไปรับอัฐิค่ะ

การที่เจย์ตัดสินใจแบบนี้ เขาสามารถสุดโต่งทั้งสองทางค่ะ เขาเคยพูดว่าแม่ เจย์ไปสุดโต่งเลยนะ เจย์รู้เห็นชั่วดีไปสุดโต่งนะ เราจะไม่ถาม แม่เป็นแม่ที่เหมือนว่า บางสิ่งบางอย่างมันไม่ใช่เรื่อง มันเป็นเรื่องของโลก ไม่ต้องไปเซ้าซี้หรอกว่าอะไรบ้าง ช่างมันเถอะ มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวเรา และไม่ได้เกี่ยวกับจิต มันยากนะคะที่ครอบครัวจะเข้าใจแบบนี้”

ไม่ได้ฝันถึงแต่มาเป็นนิมิต เป็นดวงจิตสีม่วงมีประกายวิบวับ เชื่อเป็นพลังจิตที่สะสมกันมา ทำให้สื่อสารกันได้
“ฝันถึงไม่มีเลย แต่ถ้าถามว่านิมิต แรกๆ เรียกว่าเป็นนิมิตดีกว่า เพราะมันชัดเจนมาก ครั้งแรกคือลอยอังคารแล้ว กลับไปบ้างโป่งค่ะ เงียบสงบ เข้ามาเป็นดวงจิตค่ะ เป็นก้อนกลมโต ปะทะหน้าอยู่เลย แล้วก็เป็นสีดูเหมือนเรื่องลี้ลับ เรื่องมหัศจรรย์เลยเนอะ แต่ว่ามันใช่ ถ้าไม่งั้นจะไม่ออกจากปากเรา มันเป็นสีม่วงที่ไบรท์มากเลยค่ะ แล้วก็มีประกายวิบวับเหมือนดาวอยู่ในสีม่วงนั้น เรามองด้วยความชื่นชมและปิติ ว่าที่เราเห็นดวงจิตเจย์แบบนี้เหรอ

ซึ่งเราไม่เคยคิดค่ะ แรกๆ ที่เราไปวัดป่า เราได้เห็นดวงเหล่านี้ จากองค์อริยะสำคัญ เช่นหลวงปู่เหรียญ หลวงปู่แต่ละองค์ที่มรณภาพ แล้วงานพระราชทานเพลิงศพ จะมีดวงอย่างนี้เยอะมากในภาพถ่าย แล้วเราก็ไม่ได้คิดถึงมานานแล้ว แต่อันนี้มันคือจะจะ ตรงหน้าเลยค่ะ แล้วเราลืมตาขึ้นมาตี 3 กว่าๆ จะวิ่งไปคุยกับพี่สาวที่นอนอยู่ข้างนอก ก็ไม่เอาดีกว่ารอสว่าง ก็นอนค้างพิจารณาอยู่อย่างนั้น ว่าคือดวงจิตเจย์ใช่ไหมเนี่ย แล้วก็กราบแม่ที่หัวเตียง แล้วก็คุยกับเจย์ เพราะตอนนั้นยังมีรูปเจย์อยู่ที่หัวเตียง บอกเจย์ขอบคุณที่มาให้พลังแม่ ถ้าไม่มีอย่างนี้มันก็ยังย่ำอยู่อย่างนี้ คิดว่าเป็นพลังจิตที่เราสะสมกันมา ที่จะสื่อสารกันได้ค่ะ

บ้านหลังนั้นถ้าศาลสั่งให้เป็นผู้จัดการ ก็จะเก็บไว้ไม่ขาย ช่วงแรกๆ ที่เข้าไปอยู่ เป็นความรู้สึกอึนๆ เพราะร่างกายไม่ดี จากการมีความเครียดสะสม
“จะอยู่ต่อค่ะ ถ้าได้ศาลสั่งมาแล้วว่าเป็นผู้จัดการ เราก็จะเอาบ้านนั้นไว้ค่ะ น้องเขาก็จะเอาไว้ แต่ถามว่าตอนนี้จะมีใครอยู่ไหม เขาแยกย้ายไปอยู่กับตัวเองก่อน แล้วก็มีบ้านโป่งเป็นบ้านหลักค่ะ เวลาอยู่ในบ้านนั้น แรกๆ อารมณ์มันมวลมากเลยค่ะ อึนๆ ประกอบกับความเครียดที่เรามีมา ร่างกายเราไม่ดีด้วยค่ะ สมองเกือบไปแล้วนะคะซีกหนึ่ง คือเส้นเอ็นกระดูกอ่อน มันไปทับเส้นประสาท เนื่องจากความที่เราอยู่บ้านโป่งมา 1 ปี แล้วเราลงแรงไปเยอะ แรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากมือทำงาน มันพลิกเส้นหมดเลย บ่า คอ ไปหมดเลย ทำให้เรามีโรคขึ้นมา ตาจะระเบิด ละครก็จะมานี่เราจะทำได้ไหม รีบรักษาไปหาหมอกายภาพ แล้วก็ทำกายภาพบำบัด ผลักกระแสไฟฟ้า พลิก 4 ครั้ง ครั้งละ 2 พันบาท ก็ดีขึ้นเลย ก็เชื่อว่าพระพุทธเจ้ายังไม่ทิ้งเรา เพราะเราปฏิบัติ ให้อยู่ต่อเพื่อปฏิบัติไป

คืออาการนี้เกิดเมื่อ 2 เดือนที่แล้วค่ะ น่าจะเพราะเครียดสะสม ความเครียดของทั้งบ้าน มันมีสะสมมาอยู่แล้วตลอดช่วงชีวิต แต่มันปะทุด้วยเจย์ค่ะ แล้วมันยังไม่มีเวลาคิดเรื่องเจย์เลย ใน 3 วันที่มีงาน พอผ่านพ้นเรื่องการเก็บอัฐิไปแล้ว ไปกราบครูบาอาจารย์ที่ไปขอชีวิต คือเคยไปขอชีวิตเจย์ค่ะ เพราะเนื่องจากที่มีอาการเนี่ย เจย์เสี่ยงต่ออุบัติเหตุมาก เพราะเจย์ชอบขับมอเตอร์ไซค์ มอเตอร์ไซค์คันนั้นจะออกไปเมื่อเวลาขาดสติ เพราะเหมือนกับเปรี้ยงกับใคร ต้องออกไปปลดปล่อย เขาก็จะขับออกไปประมาณ 3-4 โมงบ่อยมาก แล้วมันเสี่ยง เพราะเขาจะกลับมามืดๆ เราก็เลยปรึกษาว่าจะทำยังไง

มีคนแนะนำว่าให้ไปขอ ว่าอย่าเกิดอุบัติเหตุ ขอชีวิต ก็ยังไม่มีโอกาสไป เพราะมันช่วงโควิด ไม่รู้จะไปไหน แล้วครูบาอาจารย์ที่เราอยากไปอยู่ จ.เชียงราย ไกลและยากมาก ก็เลยทำพิธีแบบง่ายๆ เช่นไปถวายผ้าไตร ต่อชีวิต จนกระทั่งวันที่พาเขาเข้าโรงพยาบาลได้ เราก็ต้องปล่อยเพราะเขาขอเลย 2 วีกไม่ให้พบเลย รักษาอาการหลอน ตอนนั้นเป็นไบโพลาร์ค่ะ ไม่ใช่ซึมเศร้า คือความที่เขาเป็นอย่างนี้ เขาอยากแก้ไขด้วยตัวเอง เขาใช้สมุนไพรเยอะค่ะ ตอบแค่นี้นะคะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรนะคะ วันที่พาเข้าโรงพยาบาล ก็คือต้องมีการค้น แล้วก็ได้อันนี้มา แต่ก็ไม่ต้องไปเน้นมันนะคะ แต่ก็ยืนยันว่า เป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับสมองที่พังไปแล้ว ถ้าเป็นน้อยๆ ไม่ได้สะสมมากคงไม่เป็นไร

เราไปขอชีวิตหลังจากที่เข้าโรงพยาบาล พอเข้าปุ๊บ เอาล่ะมีเวลาแล้ว โควิดก็โควิดเถอะ ชวนพี่สาวไปเชียงรายเลยค่ะ ไปขอกับพระอาจารย์พบโชค ที่วัดห้วยปลากั้ง ก็ขออนุญาตพระอาจารย์นะคะ ไม่รู้ว่าบาปหรือเปล่าเอามาพูดแบบนี้ ก็ไปด้วยความที่เราคลุกคลีกับเรื่องแบบนี้มาเยอะ เราก็คิดเบื้องต้นว่า เราต้องเอาส่วนใดส่วนหนึ่งไป เราก็เอาเสื้อกับกางเกงไป ชื่อ วันเดือนปีเกิด และแม่ จิตแม่สำคัญที่สุด เราก็ไปกราบ ซึ่งวันนั้นมีรายล้อมอยู่หลายท่านเหมือนกัน โอกาสที่จะพูดคุย มันค่อนข้างมีคิว แต่เราก็นั่งภาวนาเพ่ง พอลืมตาขึ้นมาอีกทีท่านกวักมือเรียกเลย ก็เลยรายงานอย่างโดยตรงเลย ว่าโยมมีปัญหา อยากจะมาขอชีวิตลูก”

จากความเครียดที่มี ทำให้เสี่ยงเป็นอัมพาตครึ่งซีกบน
“เฉพาะส่วนบนก่อนค่ะ คอนี่คือแย่มาก บ่า ไหล่ ปวดแบบทรมานมาก ถ้าสโตรกนี่จบเลย (มีบอกเจย์ไหมว่าช่วยแม่ด้วย?) ไม่บอกๆ มันเป็นสิ่งของเรา เราต้องจัดการ ต้องเพิ่งตัวเราค่ะ (ที่แขนเราเหมือนไปเจาะอะไรมา?) อันนี้เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แล้วก็มีงานเดินแบบเมื่อวานนี้ งานบวงสรวงละครวันนี้ ก็เลยต้องไปฉีดเลยดีกว่า”

กลับมาทำงานได้อีกครั้ง เพราะพลังธรรมที่สะสมมา
“พลังธรรมที่ได้สะสมมาค่ะ เพราะเราต้องอยู่ต่อไป เพื่อสะสมต่อ มันไม่แน่เราอาจจะบรรลุก็ได้ คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเจอ มันค่อนข้างมหัศจรรย์กว่าคนอื่น อาจจะเป็นการบ้าน ที่ทำให้เราค้นหาจากการบ้าน แล้วพัฒนาจิตให้เจริญยิ่งๆ ขึ้น จนถึงวันสุดท้ายเนี่ย มันเห็นมาหมดแล้ว คุณคิดว่าเราจะพะวงอะไร เมื่อไม่มีความพะวง มันคือความวางไว้ได้ แล้วมันจะมีความว่าง เราต้องฝึกความว่างอันนี้ ให้เป็นปกติ แล้วถึงวันนั้นความว่างนั้นจะมาเอง เพราะเราฝึกมาตลอดกับทุกข์ที่เรามี”

ถ้าไม่มีธรรมมะนำทาง ก็อาจจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ขอบคุณลูกๆ ที่เป็นพลังสำคัญ ทำให้แม่เป็นคนดี
“แน่นอนค่ะ เพราะเป็นคนศรัทธาอย่างยิ่ง กับคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีคำสอนใด ที่จะให้คำตอบเราได้แบบนี้ มันไม่ใช่แค่ตรงนี้ อดีตชาติเรามีอยู่ในนี้ ไม่งั้นจะไม่นำพาเรามา จากแรกเกิดจนมาอายุ 45 ถึงจะมาปังๆ กันอีกทีหนึ่ง เราเจออะไรมา ทั้งปัญหาเรื่องสามีก็แทบจะบ้าแล้ว เรื่องเพื่อน เรื่องลูก โอ้ยจะบ้าอยู่แล้ว แต่ความเราไม่บ้า และความที่เรามีแรงอยู่ได้ในช่วงต้น คือลูกค่ะ เราให้สัมภาษณ์ในอดีตมาเสมอ ว่าถ้าไม่มีลูก แม่คนนี้อาจจะชั่วกว่านี้ อยู่ในสังคมที่ล่อแหลมในการชั่ว จะเป็นภรรยาน้อยใครก็ได้ จะแย่ๆ ยังไงก็ได้ เพราะมันสูญเสียความสาวไปแล้ว 

แต่นี่เรามีลูก ลูกน่ารักหมดเลย 3 คน คือไปค้นมาได้เลย เราจะพูดแบบนี้ มองตาลูกแล้วมันไปไหนไม่รอด ลูกนี่แหละคือพลังสำคัญ ขอบคุณลูกมาตลอดช่วงชีวิต ว่าทำให้แม่เป็นคนดีได้ เราให้เครดิตลูก ลูกทำให้แม่เป็นคนดีได้ เพราะไม่อย่างนั้นเราจะไม่หาหนทางแห่งความดี มันจะชั่วเข้ามาแทรก แล้วไม่รู้ว่าชั่วมันจะดึงเราไปได้ขนาดไหนด้วย”









กำลังโหลดความคิดเห็น