“ไอซ์ ภาณุวัฒน์” พระเอกเบ้าหน้าฟ้าประทาน พระเจ้ารัก เปิดใจหมดเปลือก! เหตุผลที่ยอมตัดผมสั้นเพราะอะไร? พร้อมเล่าวันวานกว่าจะเป็นดารา เซ็นสัญญา 5 ปี ไม่มีงาน นั่งถามตัวเอง คุ้มไหม? กับสิ่งที่ตัดสินใจไป
เรียกว่ากำลังมาสำหรับพระเอกหน้าหล่อ ที่ใครๆ ก็บอกว่าเบ้าหน้าลูกรักพระเจ้า สำหรับ “ไอซ์ ภาณุวัฒน์ เปรมมณีนันท์” โดยตอนนี้มีละครจ่อออนแอร์ไม่ว่าจะเป็นเก็บแผ่นดิน, ชายแพศยา, พยัคฆ์ร้ายซ่อนลาย, กลเกมรัก รวมไปถึงเรื่องล่าสุด “อ้ายข่อยฮักเจ้า”
ซึ่งเจ้าตัวแจ้งเกิดจาก “วาสนารัก” พร้อมผมยาวรากไทร แต่จากนั้นผมทรงนี้ก็กลายเป็นตำนาน เพราะเจ้าตัวตัดสินใจตัดผมทิ้งไป หลายคนก็สงสัยว่าทำไมต้องตัด ซึ่ง MGR Online มีคำตอบ พร้อมกับเส้นทางกว่าจะมีวันนี้ที่ต้องรอกว่า 5 ปี เพราะไม่มีงาน รวมไปถึงการถามตัวเองว่าสิ่งที่ตัดสินใจลงไป ทำถูกแล้วใช่ไหม?
“เรื่องทรงผมก็มีคนถามมาเยอะมากเรื่องตัดผม จริงๆ น่าจะเป็นเรื่องการรับงานมากกว่า ถ้าเราอยากเปลี่ยนตัวเอง พัฒนาตัวเอง เราต้องยอมเสียสละ ถ้าไว้ผมสั้นมันอาจจะได้รับหลายๆ คาแรกเตอร์มากขึ้น ก็ต้องยอมแลก ซึ่งเราก็คิดอยู่แล้วว่าต้องตัดผม แต่ไม่คิดว่ามันจะไวขนาดนี้ เราเป็นคนรักผมมาก ไว้มาตั้งนาน ตอนแรกตัดผมแล้วไม่กล้าออกจากบ้าน มองกระจกก็ถามว่าใครวะเนี่ย หน้าเราก็เปลี่ยนไปเลย ก็มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ก็มีคนถามว่าตัดทำไม ก็ที่ตัดก็เพราะเป็นเรื่องงานนี่แหละ
ย้อนกลับไปเรื่องที่ไว้ผมยาวเพราะขี้เกียจตัดผม พอเราไว้ไปไว้มา ก็เข้าดีนี่หว่า ก็เลยไว้ เราไปเห็นดาราญี่ปุ่นที่เขาไว้แล้วก็เท่ ก็ไปให้สุดโต่งเลย ซึ่งมันดูแลยากมาก ตั้งแต่ไว้ผมยาวมาก็รู้สึกว่าเราสำอางมากขึ้น ทำงานเสร็จก็ต้องเป่าผมเป็นชั่วโมงกว่าจะแห้ง ใช้เวลานานมาก ต้องใช้คลีนซิ่งดี เพราะเคยไว้ยาวสุดกลางหลัง แต่ก็มาซอยให้ประบ่า
แต่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเท่ แต่แค่รู้สึกว่าตัวเองมีคาแรกเตอร์ที่ชัดขึ้น ตัวเองมั่นใจมากขึ้น ซึ่งก็ได้เล่นละครเรื่องเดียวคือวาสนารัก แต่ในใจจริงๆ คืออยากเล่นสัก 3 เรื่องแล้วค่อยตัด แต่พอผู้จัดเห็นก็โหวตมาแล้วว่าให้ตัดดีกว่า ซึ่งเราก็ทำใจมาก่อนแล้วก็ยอมตัด แต่ไม่ได้เสียใจแต่แค่เสียความมั่นใจ เราไม่ออกจากบ้านเลย 1 เดือน ซึ่งถ้าไม่มีเวิร์กช็อปอ้ายข่อยฯ ก็จะไม่ออกจากบ้านเลย แต่ก็เคยคิดว่าน่าจะอายุ 40 จะกลับไปไว้ผมยาวอีกครั้ง เพราะเราโตอาจจะได้รับบทอื่น ไว้ผมยาวเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่สายเกินไป
คือผมมาใช้ชีวิตคนเดียวในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว แฮปปี้กับการอยู่คนเดียว เขาให้อิสระเรา แต่เราต้องใช้ชีวิตให้ดี เพราะถ้ามันหลุดแล้วคือหลุดเลยนะ ผมเป็นคนตามเพื่อน แต่ก็มีผู้จัดการก็คอยเตือนว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี อย่างเข้ากรุงเทพฯ มาใหม่ๆ ยอมว่ารับว่าหลุดเพราะไม่มีคนคอยควบคุมไง”
ขอบคุณยกเป็นนักแสดงเบ้าหน้าฟ้าประทาน พระเจ้ารัก เคยมองตัวเองก็หน้าตาดีเหมือนกัน แต่ต้องมีวินัยในการแสดงด้วย
“ถามว่าเคยมองกระจกแล้วรู้สึกว่าเราหน้าตาดีไหม เคยนะ ก็บอกว่าไอ้นี่มันก็ได้อยู่เว้ย (หัวเราะ) หรืออาจะบอกว่าหล่อ แต่ถ้าวันไหนแก้มออกคือบวม ก็จะรู้ตัวเองว่าลดโซเดียม แต่ถ้าในนั้นมีความมั่นใจขึ้นมาหน่อยก็จะชมตัวเองก็ได้อยู่ ก็ดีอยู่ แต่ผมว่าการอยู่ในวงการบันเทิงมันไม่ใช่แค่หน้าตาดี มันต้องมีวินัย มันต้องมีความสามารถแค่จุดเดียว
เราไม่ถนัดอะไรเราก็ต้องเรียนเพิ่มเติม เพิ่มศักยภาพให้ตัวเอง ตอนแรกการแสดงก็ไม่ชอบ แต่พอต้องมาทำจริงๆ มันก็ทำให้เราเปลี่ยนตัวเอง ทั้งนิสัย ภาพรวมเรามันโตขึ้น ทำให้เราชอบ แต่การที่เราแตกต่างจากที่คนอื่นมอง เราก็ต้องทำผลงานให้ดีกว่าเดิม เพราะหน้าตาดีไม่ได้ตอบโจทย์ในวงการบันเทิง ผมไม่ได้มองว่านี่คือการแข่งขันว่าต้องดีต้องเด่นกว่าคนอื่น ผมแค่รู้สึกว่าทำตัวเองให้ดีกว่าเดิมเท่านั้นเอง อย่างละครเรื่องแรกเราก็จะเห็นภาพรวมว่าเราทำได้แค่นี้ เราต้องเรียนรู้รับฟังคนอื่น คำติจากคนอื่น รับฟัง พัฒนาตัวเอง ไม่ปิดกันความรู้ ไม่พยายามจะมีอีโก้ เพราะถ้าเรามีอีโก้มากเกินไป มันจะไม่เก่งขึ้น
อย่างตอนแรกที่เราเข้าในวงการบันเทิงอย่างแรกที่เราคิดเลยคือเรื่องเงิน งานเสร็จกลับ ใช้ชีวิตสบาย แต่วิธีคิดมันเปลี่ยนไป พอเราได้มาทำแล้ว แต่ทำไมเราได้แค่นี้ น่าจะไปได้ดีกว่านี้ กลับมาทบทวนตัวเอง งานและเงินที่กว่าจะได้มาแต่ละบาท มันไม่ได้สบายเลย และมันไม่ได้เยอะอย่างที่ทุกคนคิด ซึ่งการเก่าไปใหม่มา มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว มันอยู่ที่ตัวเอง ว่าถ้าเรามีความพร้อมแค่ไหน ถ้าเราหยุดนิ่งไม่พัฒนาเลย มันก็อาจจะไปก็ได้ แต่ก็ดี”
5 ปีไม่มีงาน เคยถามตัวเอง ตัดสินใจถูกไหมที่จะเป็นดารา
“อย่างหลายคนก็มู ซึ่งผมก็มูเหมือนกันแต่ถามว่าเชื่อไหม ก็ 50-50 ถ้าเรามูแล้วนอนอยู่บ้านเฉยๆ เรารอโอกาสมามันก็ไม่ได้หรอก ทุกวันนี้ผมก็ยังต้องไปแคสอยู่ทั้งละคร ทั้งเดินแบบ และสิ่งต่างๆ ก็ต้องไปแคส ถ้าเราโอกาสเข้ามามันยาก สู้แบบเราลุยไปเลย เพราะถ้ารอโอกาสมาหาเองนั้น
เราเคยเรียนรู้มาแล้ว เพราะกว่าผมจะได้ละครเรื่องแรกมา ผมรอ 5 ปี ซึ่งตอนนั้นก็เซ็นสัญญาแล้ว เพราะเรารอโอกาสแต่ถ้าเราทำตัวให้พร้อม วิ่งเข้าหาโอกาส งานมันก็เข้ามา ซึ่งระหว่างที่เรารออยู่นั้น เราก็ถามว่ารอแบบนี้คุ้มไหมกับการที่เราตัดสินใจเข้ามาทำงานตรงนี้ และคิดเสมอไม่อยากเป็นดาราแล้ว และโดนที่บ้านกดดันให้กลับบ้าน มาหางานที่บ้านทำไหม
แต่เราก็ดื้อไง เดี๋ยวก็มีงานแล้ว แต่จริงๆ ไม่มีงานเลย สู้กับตัวเองมาตลอด สู้กับที่บ้านด้วย หาเหตุผลให้ตัวเองด้วย ซึ่งผมก็คิดว่าสักวันเราจะมีงาน ผมคิดแบบนี้นะ เราเดินมาไกลขนาดนี้ ถ้าเราถอยหลังตอนนี้มันก็แพ้ดิวะ ถ้าไปก็ไปให้สุด ตอนนั้นก็ยังไม่มีแผน 2 ก็เดินหน้าไปให้สุด ซึ่งวันนี้ก็คุ้มค่ากับการรอคอย เพราะ 5 ปีที่เราไม่มีงาน แต่เราก็พัฒนาตัวเองให้พร้อมกับละครเรื่องใหม่ๆ มันไม่ได้ช้าไปหรือว่าเร็วไป”