วงการหนังจีนอาจจะมีหนังทำเงินมหาศาลมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่หนังที่ทำเงินทะลุ 1,000 ล้านหยวน จนถึงปัจจุบัน มีหนังที่ทำเงินสูงเกิน 5,000 ล้านหยวนไปแล้วหลายเรื่อง แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะราคาค่าตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รายได้หนังมากขึ้นเรื่อยๆไปด้วย
แต่ถ้าวัดกันเฉพาะจำนวนยอดขายตั๋วแบบล้วน ๆ หนังในยุคปัจจุบันของจีนแทบจะไม่สามารถเทียบกับหนังในยุคอดีตได้เลย
เพราะหนังในยุคอดีตนั้นสามารถขายตั๋วกันได้เป็นหลักระดับร้อยล้านใบ และบางเรื่องก็ขายตั๋วได้สูงมากถึงหลายร้อยล้านใบเลยด้วยซ้ำไป
ซึ่งในยุคอดีตที่ว่าก็ต้องถอยหลังกันไปร่วม 60 – 70 ปีเลยทีเดียว และหนังเรื่องแรกที่สามารถขายตั๋วได้สูงขนาดนั้นกลับกลายเป็นหนังอินเดียที่ตอนนั้น เข้าไปทำเงินถล่มทลายในจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเหลือเชื่อ
Awaara เป็นหนังเพลงจากอินเดียเป็นหนังสุดฮิตของอินเดียในปี 1955 แต่ที่น่าทึ่งก็คือ หนังเรื่องนี้ไปไกลถึงเมืองจีน ด้วยการทำรายได้ถล่มทลายในจีนแผ่นดินใหญ่ยุคคอมมิวนิสต์ ขายตั๋วไปถึง 100 ล้านใบ
แม้จะเป็นช่วงของการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ แต่จีนก็ยังมีหนังฉายอยู่เรื่อย ๆ และมีหนังหลายเรื่องที่กลายเป็นหนังฮิตในเวลานั้น ทั้งหนังของจีนเองอย่าง Tunnel War ที่เล่าเรื่องของกองทัพจีนที่ใช้ทางเดินใต้ดิน เป็นช่องทางลับในการเดินทางต่อสู้ที่ขายตั๋วได้ถึง 300 ล้านใบ
แม้แต่หนังญี่ปุ่นเองก็ยังทำเงินในจีนได้เหมือนกัน ในปี 1978 มีหนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่ฮิตระเบิดในเมืองจีนช่วงเวลานั้น คือหนังเรื่องแอ็กชั่นอาชญากรรมที่ว่าด้วยการตามล่าคนร้ายหนีคดี และมีดาราทำเงินในยุคนั้นอย่าง ทากากุระ เคน แสดงนำ Manhunt จนหนังขายตั๋วในจีนได้ถึง 330 ล้านใบ เรียกว่าทำเงินมากกว่าในประเทศบ้านเกิดหลายเท่าตัว และว่ากันว่าหนังเรื่องนี้ยังทำเงินในสหภาพโซเวียดสูงมาก ๆ ด้วย จนอาจจะพูดได้ว่าเป็นหนังญี่ปุ่นที่ฮิตที่สุดตลอดกาลเรื่องหนึ่งในจีน และรัสเซียก็ว่าได้
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ต่อมาหนังเรื่องนี้จะถูกรีเมคใหม่อีกครั้ง โดยผู้กำกับดังอย่าง จอห์น วู ส่วน ทากากุระ เคน ก็กลายเป็นดาราที่ดังอยู่ในเมืองจีนหลายปีถึงขั้นต่อมาได้เล่นหนังจีนของผู้กับใหญ่อย่าง จางอี้โหมว ด้วย
จนในปี 1982 ก็มีหนังจีนระดับฮิตเป็นปรากฏการณ์อีกครั้ง และคราวนี้ไม่ได้แค่ฮิตในบ้านเกิดแต่ยังดังไปถึงต่างประเทศด้วย กับหนังกังฟูสุดดัง เสี่ยวลิ่มยี้ ที่แจ้งเกิดารากังฟู เจ็ท ลี โดยหนังเรื่องนี้ขายตั๋วในจีนแผ่นดินใหญ่ไปได้ถึง 550 ล้านใบ เรียกว่ามีคนแทบจะครึ่งประเทศจีนในตอนนั้นที่ได้ดูหนังเรื่องนี้
เสี้ยวลิ่มยี่ ยังดังไกลไปถึงต่างประเทศ ด้วยการกวาดเงินในอีกหลาย ๆ ตลาด โดยเฉพาะในญี่ปุ่นที่หนังเรื่องนี้ฮิตแบบสุด ๆ จนถึงปัจจุบันก็ยังติดอยู่ในทำเนียบหนังจีนที่ฮิตที่สุดในญี่ปุ่นอยู่เลย
หลังจากความสำเร็จของ เสี้ยวลิ่มยี่ แทนที่วงการหนังจีนจะกลับมารุ่ง แต่หลังจากนั้นจีนกลับแทบไม่สามารถส่งงานดัง ๆ เข้าฉายทำเงินถล่มทลายได้อีกเลย หนังฮิต ๆ ส่วนใหญ่กลายเป็นหนังโฆษณาชวนเชื่อ
ส่วนหนังจีนที่ดัง ๆ ก็ไม่ใช่หนังในแบบที่จะทำเงินในจีนแผ่นดินใหญ่ได้มากนัก ช่วงต้น ๆ ยุค 90s จึงเป็นช่วงเงียบๆ ของวงการโรงภาพยนตร์จีน ไม่ค่อยมีหนังฮิตอะไรมากนัก อาจจะเพราะตอนนั้นเริ่มเป็นยุคของโทรทัศน์แล้วก็ได้
จีนแผ่นดินใหญ่กลับมามีหนังฮิตอีกครั้งในปี 1996 เมื่อ เฉินหลง โกอินเตอร์ ใหญ่ฟัดโลก หรือ Rumble in the Bronx กลายเป็นงานของเฉินหลงที่ทำเงินขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกา และยังกลายเป็นหนังทำเงินอันดับ 1 แห่งปีของจีนด้วยทำเงินเกิน 100 ล้านหยวน
เฉินหลง ยังฮิตต่อเนื่องด้วย Police Story 4: First Strike หรือ ใหญ่ฟัดโลก 2 ที่ทำเงินทะลุ 100 ล้านหยวน เช่นเดียวกัน แต่ถ้าจะนับยอดขายตั๋วก็ถือว่าอยู่ในระดับแค่ สิบกว่าล้านใบเท่านั้น
สุดท้านยหนังจีนที่ฮิตก็ยังคงเป็นหนังโฆษณาชวนเชื่ออีกเหมือนเดิมกับ the opium war สงครามฝิ่น สิ้นฮ่องกง หนังดังในปี 1997 ของจีนที่ทำเงินไป 70 ล้านหยวน ขายตั๋วไป 14 ล้านใบ
หนังจากนั้นจีนก็เปิดประเทศเต็มตัว หนังฮิต ๆ กลายเป็นหนังฮอลลีวูด Titanic หรือ Pearl Harbor ก็เคยเป็นหนังทำเงินอันดับ 1 ในจีนกันมาแล้ว
จนในปี 2002 หนังจีนจึงกลับมาทวงแชมป์ได้ เมื่อ Hero ของ จางอี้โหมว ขึ้นเป็นหนังทำเงินอันดับ 1 แห่งปี ด้วยรายได้ทะลุ 200 ล้านหยวน เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์วงการหนังจีน
หลังจากนั้นหนังจีนก็ครองแชมป์หนังทำเงินประจำเป็นส่วนใหญ่ตั้งแต่ Kung Fu Hustle ในปี 2004 The Promise ในปี 2005 The Cruse of Golden Flower ในปี 2006 อาจจะมีบางทีที่หนังฮอลวีลูดอย่าง Avatar หรือ Transformer ที่แย่งแชมป์หนังทำเงินประจำปีไปได้บ้าง
แต่ภาพรวมของหนังจีนก็ยังไปได้ดี ด้วยการครองความนิยมในหมู่ชาวจีน และหลายครั้งก็ได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษจากทางการ ทำให้หนังจีนยังดูมีอนาคตสดใส และทำเงินเนื้อหนังฮอลลีวูดได้อยู่เสมอ โดยเฉพาะในปี 2012 ที่ Lost in Thailand กลายเป็นหนังจีนเรื่องแรกที่ทำเงินทะลุ 1,000 ล้านหยวน และยอดขายขั๋วก็พุ่งขึ้นไปถึงระดับ 30 ล้านใบ ซึ่งก็ยังห่างจากยุคโรงหนังเฟื่องฟูที่ขายตั๋วกันได้เป็น 100 ล้านใบมาก
แต่หนังจีนก็ยังทำเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ The Mermaid ของ โจวซิงฉือ กลายเป็นหนังที่ทำยอดขายตั๋วได้ถึง 92 ล้านใบ กวาดเงินหยวนไปได้มากขนาด 5,000 ล้าน
จนสุดท้ายกลายเป็นหนัง Wolf Warrior 2 ที่ทำให้หนังจีนขายตั๋วระดับเกิน 100 ล้านใบได้อีกครั้ง เพราะหนังแอ็กชั่นของ อู๋จิง เรื่องนี้มีคนจีนตีตั๋วกันเข้าไปดูถึง 160 ล้านคนกันเลยทีเดียว
จนปัจจุบันมีหนังจีนหลาย ๆ เรื่องที่ทำสถิติขายตั๋ว 100 ล้านใบได้ไม่ว่าจะเป็น อนิเมชั่น นาจา
และหนังสงครามชาตินิยม The Battle at Lake Changjin ที่ขายตั๋วได้สูงถึง 140 ล้านใบ กลายเป็นการเปิดยุคใหม่แห่งหนังแนวทหารชาตินิยม ที่สามารถขายตั๋วกันได้มากขนาดนี้ และยังดูเหมือนว่าจะมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่หนังทำนองนี้ยังจะมีสร้างกันออกมาอีกเรื่อย ๆ แม้จะแทบไม่ได้เงินในต่างประเทศเลยก็ตาม
แต่ถ้าจะพูดถึงการทำลายสถิติขายตั๋ว 300 หรือ 500 ล้านใบ ของหนังในอดีตแล้ว อาจจะต้องรอกันอีกหลายปี หรือเป็นสิบ ๆ ปี