“ฉอด สายทิพย์” ยืนยันไม่ตัด “พิ้งกี้” ออกจากละคร แค่ปรับบทเท่าที่ทำได้ บอกมีจุดจบที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะยังไงก็ไม่สามารถกลับไปถ่ายใหม่ทั้งหมดได้ ด้าน “เอส วรฤทธิ์” พร้อมรับกระแสวิจารณ์หลังออนแอร์ พร้อมเผยยังไม่ได้ทาบทาม “ทับทิม อัญรินทร์” ขอให้อีกฝ่ายตัดสินใจไม่ต่อสัญญาบ้านเก่าแน่ๆ ก่อนค่อยว่ากัน
หลังจากที่เคยออกมาจะไม่ตัด “พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช” ออกจากละครเรื่อง ดงดอกไม้ แต่จะปรับบทหากรอไม่ได้ เหตุสาวพิ้งกี้ต้องโทษเข้าเรือนจำคดี Forex-3D ล่าสุดสองผู้จัดละคร “ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Chief Executive Officer (CEO)บริษัท CHANGE2561 และ “เอส วรฤทธิ์ ไวยเจียรนัย” รองกรรมการผู้อำนวยการบริษัท CHANGE2561 ก็ออกมาเผยความคืบหน้าในงานบวงสรวงละครเรื่อง ฟ้า/ทาน/ตะวัน ณ สถานีโทรทัศน์ อมรินทร์ทีวี เผยว่ามีการปรับบทแล้วเรียบร้อย แฟนๆ ยังจะได้เห็นฝีมือการแสดงของพิ้งกี้กันเต็มที่
ฉอด : “ก็อย่างที่เล่าไปคราวที่แล้วว่าละครเรื่องดงดอกไม้มีกำหนดที่จะต้องออกอากาศชัดเจนในเร็วๆ นี้นะคะ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ต้องมีวิธีการในการแก้ปัญหาไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปรับบทนิดหน่อย บางส่วน และมีการปรับแก้ในช่วงตอนต้นๆ คือลักษณะการถ่ายละครมันก็อาจจะมีลักษณะฟันหลอ ก็ทำงานไปแล้วค่ะในเรื่องของทางคนเขียนบทเองกับทางพวกเราผู้กำกับ
ก็ยังยืนยันอยู่ว่าเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงในเรื่องของตัวพิ้งกี้ และเราถ่ายไปจนค่อนข้างเยอะมากแล้ว เพราะฉะนั้นก็มีปัญหาปรับบทนิดหน่อยแค่ช่วงท้ายๆ เท่านั้นเองค่ะ ซึ่งอาจจะถือว่าเป็นความโชคดีของกอง ที่ซีนที่ยังไม่ได้ถ่ายนั้น ไม่ได้มีความสำคัญมากจนถึงกับเอาออกไม่ได้ หรือในบางซีนบางฉากก็จะมีคนอื่นๆ พูดแทนบ้าง ยืนยันว่าไม่เสียอรรถรสของการดูละครค่ะ คนดูยังสนุกกับพิ้งกี้ได้อย่างเต็มที่ สนุกกับนักแสดงทุกตัวละครในดงดอกไม้ได้อย่างเต็มที่ค่ะ”
เลือกที่จะปรับบท เพราะถ้าเปลี่ยนนักแสดงต้องถ่ายใหม่ทั้งหมด
ฉอด : “อย่างที่บอกค่ะว่าถ้าเปลี่ยนคือต้องกลับไปถ่ายใหม่เลยค่ะ เพราะเราถ่ายมาจนใกล้จะเสร็จอยู่แล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยน ถ้าต้องไปเริ่มถ่ายใหม่นั่นหมายความว่าคิวนักแสดงทั้งหมด ซึ่งตอนนี้เขาก็มีคิวที่จะไปต่อเรื่องอื่นกันแล้ว เราจะมาเริ่มต้นใหม่ก็คงเป็นไปไม่ได้
ถ้าเรื่องนี้คนจะจับตามองเป็นพิเศษ ก็คิดว่าเป็นคนละเรื่องกันนะคะ ไม่ว่าเหตุการณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่องของปัญหาส่วนตัว อย่างที่บอกว่าเราคงไม่ไปก้าวล่วงในตรงนั้น แต่ในเรื่องของนักแสดง พิ้งกี้ก็ยังเป็นนักแสดงที่ทำหน้าที่ของเขาเองอย่างดีที่สุดตลอดมาและมาถึงตรงนี้แล้ว พองานออกไปก็เข้าใจว่าคนดูก็คงจะดูที่การแสดง ดูที่ละคร ดูที่บทและนักแสดงอื่นๆ ที่ร่วมด้วย ก็คงจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า เข้าใจว่าอย่างนั้นนะคะ”
บอกไม่อยากสปอย แต่ตัวละคร “พิ้งกี้” มีจุดจบที่เตรียมไว้อยู่แล้ว
ฉอด : “คือจริงๆ เขาก็จะต้องมีความเป็นไปอยู่แล้วค่ะ ในความเป็นไปของบทตัวนี้”
เอส : “เผอิญมันเป็นจุดจบของตัวละคร ถ้าพูดตรงนี้ก็สปอยอีก แต่มันพอดีกันครับ”
ฉอด : “ไม่ใช่อยู่ๆ ไปเขียนให้หายไปค่ะ”
เอส : “ถามว่าคาแรกเตอร์คือต้องตายอยู่แล้วไหม คือเส้นเรื่องของตัวพิ้งกี้ก็ยังอยู่เหมือนเดิมครับที่เราวางไว้”
ฉอด : “ไม่มีคนมาเล่นแทนค่ะ เล่นแทนไม่ได้”
เอส : “เรียกว่าเป็นจุดจบของตัวละครแล้วกัน”
ฉอด : “คือมันมีความสปอยด์ของละครอยู่ ก็เลยยังไม่อยากพูด แต่พูดได้แค่ว่ามันไม่กระทบกระเทือนถึงขั้นทำให้คนดูรู้สึกว่าทำไมอยู่ๆ เดินมาแล้วก็หายไป ไม่มีค่ะ”
บอกการแก้ปัญหาถือเป็นเรื่องปกติ เพราะยากกว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว
ฉอด : “คุยกันอยู่แล้วค่ะ ทั้งคุณเอส ทั้งเรา ทั้งคนเขียนบท ผู้กำกับเราก็ประชุมและคุยกันหาว่าตรงไหนต้องแก้ยังไง เป็นเรื่องยากไหม ก็ไม่เป็นไรค่ะ เราก็เจอเรื่องยากๆ มาเยอะแล้ว (หัวเราะ)”
เอส : “เรื่องการตัดต่อ คืออย่างที่บอกว่าละครเรื่องนี้ถ่ายทำมาเยอะแล้ว และซีเคว้นซ์ที่เป็นซีเคว้นซ์ที่สำคัญใหญ่ๆ มันถ่ายไปหมดแล้ว ส่วนบางซีนที่ยังคงค้างมันสามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับบท หรือโยนไดอะล็อกบางอย่างลงไปได้ สามารถเชื่อมต่อกันได้ และโชคดีว่าซีนที่เหลืออยู่ในซีเคว้นซ์ต่างๆ มันไม่ได้เยอะมากครับ และอยู่ในช่วงท้ายประจวบเหมาะพอดีที่จุดจบของตัวละครตัวนี้ เราวางไว้แบบนี้ มันก็เลยโอเค ค่อนข้างลงตัว ไม่ได้ถึงกับยากมากในการแก้ไขปัญหา เพราะซีนที่มันหลงเหลืออยู่พอไปไล่ดูจริงๆ
ก็ต้องยอมรับว่าตอนแรกๆ พอทราบข่าวก็เครียด แต่พอมานั่งไล่ทำการบ้านดูแล้ว ก็โอเค เราแก้ได้ เรียกว่ามันแทบไม่ได้ตัด คือตั้งแต่เกิดปัญหาขึ้นมาก็ไม่ได้ทำให้ตัวละครตัวนี้ดูเบาบางลง หรือน้ำหนักมันหายไป ต้องบอกว่าตัวเกลียวเกศเป็นตัวเดินเรื่องเลย เป็นตัวสำคัญมาก”
ฉอด : “และเผอิญตอนช่วงถ่ายทำกันตลอดมา พอดีพิ้งกี้ก็จะมีคิวเยอะ ก็เลยซัดกันไปเต็มหมดแล้ว เหลือน้อยมาก”
ไม่หวั่นข่าวจะกระทบละคร ต้องแล้วแต่คนดูจะพิจารณา
ฉอด : “อันนี้ก็ต้องแล้วแต่คนดูนะคะ เพราะอย่างพวกเราทำงานเราก็ตั้งใจทำงานกันที่สุด รวมถึงการแก้ปัญหาต่างๆ อย่างดีที่สุด แต่คนดูจะชอบไม่ชอบ หรือจะมีข้อวิจารณ์ในเรื่องใดๆ ก็เป็นสิทธิ์ของคนดู พวกเราก็ทำได้แค่ทำให้ดีที่สุดในหน้าที่ของเรา ถามว่าได้อัปเดตข่าวพิ้งกี้บ้างไหม ก็รู้ข่าวเท่าๆ กับทุกคนเลยค่ะ แต่ยังยืนยันว่าออนแอร์วันเวลาเดิม เหมือนเดิมค่ะ”
เอส : “ตอนนี้ก็เหลืออีกไม่เยอะมากแล้วครับ ประมาณ 20% ต้องทันครับ ชินแล้วครับ”
บอกแค่ฟอลโลว์ไอจี “ทับทิม อัญรินทร์ ธีราธนันพัฒน์” ยังไม่ได้มีการทาบทาม
ฉอด : “คือเราเองก็ฟอลโลว์ไอจีคนอยู่ประมาณ 700 กว่าคนเนอะ ก็เลยคิดว่าการฟอลโลว์ไอจีมันมีผลสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ ต้องเรียนว่าไม่ว่านักแสดงคนไหนก็ตามที่ยังมีสัญญาใดๆ กับช่อง ทางเชนจ์เองเราไม่มีสิทธิไปก้าวล่วงใดๆ อยู่แล้ว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่น้องๆ หมดสัญญาและตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญากับช่อง อันนั้นเราถึงสามารถเข้าไปทำงานด้วยได้ อันนี้ก็เป็นกติกาสากลค่ะ
จากที่มีคนชอบพูดกับว่าเชนจ์หรือฉอดชอบไปอะไรยังไง คือเราไม่สามารถมีส่วนเข้าไปในการตัดสินใจของน้องๆ ได้นะคะ เพราะว่าการที่อยู่กับช่องใดๆ มา ช่องใหญ่ๆ และบอกว่าจะไม่ต่อสัญญา อันนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตเขามาก เชนจ์ก็เป็นบริษัทผู้ผลิตเล็กๆ เองค่ะ เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถที่จะไปชักจูง ชักนำหรือดึงอะไรได้เลยนะคะ เราก็ได้แต่รอว่าแล้วแต่ว่าใครที่สามารถมาทำงานกับเราได้
ก็ถ้ามีบทที่เหมาะสมกับเขาคนนั้น เราก็จะได้ทำงานกัน เหมือนอย่างน้องๆ หลายคนที่เป็นอยู่ตอนนี้ ถามว่ามีบทที่เหมาะสมกับน้องหรือยัง ก็ต้องรอจนกว่าน้องจะตัดสินใจว่าน้องจะออกจากช่องแน่ๆ อันนี้เรายังไม่ทราบ นี่ก็เพิ่งเป็นข่าว เราทุกคนรู้ข่าวเท่าๆ กัน จริงๆ นักข่าวรู้ก่อนพวกเราอีก (หัวเราะ)
บอกต่อจากนี้คงไม่กล้าฟอลโลว์ไอจีใครแล้ว
ฉอด : “ถามว่ากดดันไหมที่คนจะมองว่าพอใครหมดสัญญาก็อยากมาอยู่กับเรา ก็ไม่ค่ะ เราถือว่าน่าจะเป็นเรื่องดีๆ ด้วยซ้ำไป เพราะทางเชนจ์เราก็ไม่ได้มีนักแสดงเป็นของตัวเอง ก็มีแต่น้องๆ เด็กๆ อยู่ เพราะฉะนั้นถ้ามีนักแสดงเก่งๆ อยากมาร่วมงานกับเราก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีค่ะ แต่กับน้องทับทิมก็ต้องรอจนกว่าแต่ละคนจะหมดสัญญาค่ะ ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่สามารถไปทำอะไรได้
ข่าวก็ยังเป็นข่าวต่อไปค่ะ แต่การฟอลโลว์ไอจีก็ฟอลโลว์ไปเรื่อยๆ เลยนะคะ (หัวเราะ) เราเจอใครเราก็ฟอลโลว์ พอเห็นมีข่าวว่าฉอด เอสฟอลโลว์น้อง เราก็ยังตกใจเลยว่าการฟอลโลว์ไอจีมันเป็นเรื่องขนาดนี้เลยเหรอ (หัวเราะ) ต่อไปนี้จะระวังแล้ว ไม่กล้าฟอลโลว์ใครแล้ว (หัวเราะ)”