“ท็อป นรากร” พระเอกหมอลำอันดับต้นๆ รับเคลียร์กับ “พ่อเอ๊ะ” แล้ว หลังเจ้าตัวยื่นใบลาออกจากวง ยันไม่น้อยใจหลังมีกระแสข่าวพ่อรัก “ต้าวหยอง” มากกว่า พร้อมยังเปรยกลับไปร่วมงานกับ “ระเบียบวาทะศิลป์” ได้ทุกครั้งเมื่อพ่อต้องการ แจงเหตุผลที่ลาออก เพราะต้องการเวลากลับไปดูแลแม่และธุรกิจที่บ้าน เข้าใจแฟนคลับบางคนใจหาย แต่ตนเองก็ยังไม่ได้หายไปจากวงการร้องเล่นต่อกลอนแน่นอน
ฮือฮา หลังจากที่ “ท็อป นรากรกันจันทึก”ได้ประกาศผ่านไลฟ์สดถึงการขอลาออกจากวงหมอลำอย่าง “ระเบียบวาทะศิลป์” เล่นเอา “พ่อเอ๊ะ”เจ้าของวงถึงกับตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน พร้อมมีข่าวลือว่าที่ขอ “ลาออก”เพราะน้อยใจที่พ่อรักลูกไม่เท่ากัน หรือที่ทุกคนพูดกันไปว่า “พ่อเอ๊ะรักต้าวหยองมากกว่า” งานนี้เจ้าตัวขอเปิดใจ หลังจากมาร่วมงานภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตอย่าง “ฮักเจ้าอีหลี”ที่จะเข้าโรงให้รับชมในวันที่ 29 ก.ย. นี้ทุกโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ ว่าเส้นทางหลังจากที่ตัดสินใจลาออกเพราะต้องการกลับไปใช้ชีวิตกับแม่ และเปรยว่าอาจจะได้มีโอกาสกลับไปร่วมงานกับ “ระเบียบวาทะศิลป์” อีกครั้งแน่นอน
“เส้นทางต่อจากนี้ไป หลังจากที่ผมลาออกแล้ว คือผมอยากมีชีวิตกับครอบครัว แม่ผมเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่งแบบว่าตั้งแต่เด็ก ผมใช้ชีวิตกับโรงเรียนมากกว่า กินนอนก็ที่โรงเรียนเพราะต้องตื่นมาซ้อม ต้องไปแข่งขันร้องเพลง ไปเข้าค่าย ผมกับแม่ใช้ชีวิตด้วยกันน้อย เพราะ 3-4 ปีที่ผ่านผมก็เต็มที่กับการทำงานแล้ว ผมอยากกลับไปช่วยธุรกิจที่แม่ดู ผมไม่อยากมีความกังวลในใจ ถ้าเกิดไปออกงาน แล้วเงินที่เราลงทุนไป แม่เราเป็นผู้หญิงคนเดียว และแม่ทำไปได้เดือนสองเดือน แล้วเกิดแม่ไม่ไหว ธุรกิจเดินต่อไปไม่ได้ ผมก็ยังมีความกังวลในเรื่องนี้ มันอาจจะเกิดความเสียหายมากกว่า
การตัดสินใจเรื่องการลาออกในครั้งนี้คือยากมาก แต่ผมก็บอกพ่อ เราก็คุยกันด้วยความเข้าใจ พ่อเอ๊ะเป็นคนที่เข้าใจผมมากที่สุดแล้ว มีอะไรก็จะคุยกัน จะบอกกับพ่ออยู่แล้ว พ่อก็เข้าใจ โอเคถ้าท็อปอยากจะมีเวลาไปดูแลครอบครัว ก็ไปจัดสรรค์งานที่บ้านก็ได้ แต่พ่อให้เวลาไม่นานนะ (หัวเราะ)อันนี้ก็คุยกันเล่นๆ กับพ่อ พ่อบอกให้เวลาไม่นาน ผมก็บอกพ่อไปว่าถ้าอะไรลงตัวทุกอย่าง ก็จะกลับมาสู่วงการร้องเล่นต่อกลอน 100% เพราะว่าผมเกิดมาจากตรงนี้ ผมเกิดมาจากพ่อ พ่อเป็นคนสร้างผมมา ยังไงก็ทิ้งวงการหมอลำไม่ได้ แม้จะไม่ได้ไปรำกับวง แต่ผมยังต้องรับงานที่ร้องเพลง รำเหมือนเดิม แต่อาจจะเป็นสถานที่ต่างๆ เพียงแต่ไม่ได้ไปรำกับวงเหมือนเดิม
สาเหตุที่เราขอลาออกเพราะเราไม่มีเวลาให้แม่ เราไม่มีเวลามาดูแลงานที่แม่ทำ แม่เขากังวลว่าตัวเขาเองจะไม่ไหว ก็เหมือนว่าเราลาออกมาก่อน เรามาใช้ชีวิตส่วนตัวให้มันลงตัวก่อน ถ้าทุกอย่างมันลงตัว เราค่อยกลับไปสู่วงการหมอลำ”
โต้ลาออกเพราะน้อยใจที่พ่อรักลูกไม่เท่ากัน
“และการที่มีข่าวออกมาว่าพ่อรักลูกไม่เท่ากันนั้น ผมรู้สึกว่าคนเขามีทัศนคติเป็นของตัวเอง ซึ่งทุกคนก็สามารถคิดได้เนอะ ต้องบอกได้เลยว่าเรื่องน้อยใจไม่มีแน่นอนเพราะตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ พ่อเอ๊ะจะมีบทบาทในชีวิตผมเสมอ พ่อจะเป็นคนสร้าง คนปั้นและคนอยู่เคียงข้างผมเสมอมา ซึ่ง ณ จุดนี้มันไม่ใช่เรื่องจริง ซึ่งถามว่าได้คุยกับพ่อไหม เรื่องนี้คือไม่ต้องเคลียร์ใจกันเลย เพราะว่าผมกับพ่อคุยกันมาตลอด คุยจากใจตลอด มีอะไรก็พูดกัน พอถึงเวลาที่มีข่าว มีกระแสแบบนี้ออกมา ก็คุยกันอยู่ว่าทำไมถึงข่าวออกมาแบบนี้เนอะพ่อ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเราก็ใช้ชีวิตปกติ คนก็เม้าธ์ไปได้เนอะ มองไปเรื่อย”
โพล่งออกไปก่อนบอกพ่อเอ๊ะ เพราะมีความหนักใจอยู่ลึกๆ
“ยอมรับว่าสิ่งที่ผมพูดไปวันนั้น พ่ออาจจะตกใจ เพราะปกติในทุกๆ วันพ่อก็จะส่งกลอนให้ผมมาฟัง ผมก็รำ ผมก็แกะกลอนรำให้พ่อดู และอยู่ดีๆ ผมก็พูดออกไป ช่วงนั้นก่อนที่จะบอกพ่อ ผมก็มีความหนักใจอยู่ลึกๆ เพราะเราก็จะหาโอกาสพูดกับพ่อว่ายังไงดีนะ ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เพียงแค่ว่าแม่บอกว่าถ้าจะบอกพ่อเอ๊ะ ก็ควรจะรีบบอกแต่เนินๆ นะ ถ้าบอกช้าไปกว่านี้ เดี๋ยวพ่อเขาจะแก้ไม่ทัน ต้องรีบบอกดีกว่า เพราะหมอลำยังไม่เข้าบ้านพัก พ่อจะได้เคลียร์ทุกอย่าง เพราะหมอลำยังไม่ถึงหน้างาน คือหมดฝนมันก็จะเริ่มทัวร์แล้ว แต่ผมก็บอกพ่อว่าถ้ามีโอกาส หรือว่าพ่อต้องการให้ท็อปไป พ่อบอกท็อปได้เลย ท็อปยินดี 100% ที่จะไป ท็อปก็จะอยู่เคียงข้างระเบียบวาทศิลป์เสมอ”
ไม่เคยมีปัญหากับ “ต้าวหยอง ยุคลเดช ปัจฉิม” ลั่นโตแล้วจะให้อยู่ในโอวาทของพ่อก็คงไม่ใช่เรื่อง
“ในส่วนของต้าวหยอง ผมกับน้องคือรักกัน อยู่ด้วยกันและสนิทกันมาตลอด ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันเลยตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ แต่คนอื่นก็จะมองในมุมของเขาเอง ประมาณว่าพ่อเอ๊ะรักลูกไม่เท่ากัน ซึ่งบทบาทมันต่างกัน ผมคือโตแล้ว แต่น้องยังเป็นเด็ก คือพ่อจะให้ผมมาอยู่ในโอวาทของพ่อ ก็คงไม่ใช่เรื่อง เพราะว่าผมอยู่ในภาวะที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ในส่วนของแฟนคลับผมก็ตกใจ อึ้ง ไม่อยากให้ผมไปจากระเบียบฯ เลย เพราะทุกคนจำภาพว่าผมอยู่บนเวที ใส่ชุดเพชร แฟนๆ ก็ตกใจ ซึ่งไม่ใช่แค่แฟนๆ ที่ใจหาย ตัวผมเองยังใจหายเลย ที่ตัดสินใจแบบนี้
แต่ด้วยหลายๆ ปัจจัยและมีความจำเป็นแบบนี้ ก็เลยต้องตัดสินใจไปก่อน ซึ่งในบทบาทต่อจากนี้ที่เราได้ลาออกจากวงแล้ว ก็จะได้เห็นผมร้องเพลงทั่วๆ ไปอาจจะตามร้านต่างๆ เพียงแต่ไม่ได้ทำทุกวันเหมือนตอนอยู่ที่วง เราต้องรับงานตามที่เราสะดวกและว่างจากธุรกิจที่เราทำ อีกอย่างเราอยากมีเวลาให้แม่ อยากทำงานที่บ้าน อีกอย่างผมก็มั่นใจว่าจะได้เห็นผมกลับไปร้องเพลงบนเวทีระเบียบวาทศิลป์แน่นอน”
