“ก้อย รัชวิน” เคลียร์ดรามา ค่าสมัครวิ่ง 3,500 แต่บริจาค 100 บาท บอกเป็นการบิดเบือนข้อมูล ไม่รู้ทำไปเพราะอะไร จัดงานวิ่งปกติทั่วไปแบบงานอื่น ซึ่งเป็นความสมัครใจของคนสมัคร และปิดรับไปตั้งแต่ 30 มิ.ย.แล้ว รับเครียดและตกใจ แต่สามีบอกให้โฟกัสไปข้างหน้า ยันไม่ฟ้องเพราะไม่ทำให้สุขหรือสบายใจขึ้น ไม่ได้จำคำด่าไหนด่าแรงสุด แต่ถ้าเกี่ยวกับลูกก็ต้องปกป้อง ไม่อยากให้ลูกโตมาในสังคมไซเบอร์บูลลี่
จากกรณีที่มีเพจในเฟซบุ๊ก ออกมาแชร์เรื่องราวงานวิ่งการกุศล Esther Bunny Women's run presented by ATiRA ที่นักแสดงสาว “ก้อย รัชวิน วงศ์วิริยะ” เป็นผู้สนับสนุนหลักและพรีเซ็นเตอร์ ว่าเก็บค่าสมัครสูงถึง 3,500 บาท แต่กลับบริจาคให้มูลนิธิรามาธิบดี เพียงแค่ 100 บาทเท่านั้น ก็ทำเอากลายเป็นดรามาร้อน จนเจ้าตัวต้องรีบออกมาชี้แจง ว่ามีการบิดเบือนข้อมูล ทำให้เกิดการเข้าใจผิด ล่าสุดวันนี้ (2 ก.ย.) ได้เจอสาวก้อย ในงานเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เจ้าตัวก็เลยขอมาเคลียร์ชัดๆ อีกครั้ง ว่าข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไร
“ก่อนอื่นเลยแล้วกันนะคะ จริงๆ งานวิ่งครั้งนี้เป็นงานวิ่งปกติทั่วๆ ไปที่มีการรับสมัคร มีระยะการวิ่งให้ มีการแข่งขัน ตัวก้อยเองทางผู้จัดงานได้มาคุยโปรเจกต์กับก้อย แล้วอยากให้ก้อยมาเป็นผู้สนับสนุนหลัก และในฐานะของพรีเซ็นเตอร์ของงานวิ่งในครั้งนี้ด้วย ผู้จัดงานเขาอยากจะจัดงานวิ่งสำหรับผู้หญิง ซึ่งตัวก้อยเคยจัดงานวิ่งของผู้หญิงมาแล้วเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เลยรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะว่าเราก็ห่างหายจากการจัดงานวิ่งมานาน แล้วเราก็อยากจะกลับมาจัดให้ผู้หญิงอีกสักครั้งหนึ่ง
แล้วงานนี้จัดที่ภูเก็ตด้วย ตัวก้อยก็ย้ายไปอยู่ภูเก็ตพอดีเลย แล้วครั้งนี้เขามีการซื้อลิขสิทธิ์ตัวกระต่ายเอสเตอร์บันนี่ มาจากเกาหลี ซึ่งอันนี้เป็นเหมือนอีกหนึ่งสีสันที่อยากจะให้นักวิ่งสาวๆ ที่ชื่นชอบน้องกระต่ายเอสเตอร์บันนี่มาร่วมวิ่งด้วยกัน คือมันเป็นงานวิ่งปกติทั่วๆ ไปเลย แล้วความตั้งใจดีของผู้จัดในครั้งนี้ คือเขาอยากจะนำส่วนหนึ่งของรายได้จากการสมัคร ไปมอบให้กับองค์กรการกุศลก็คือมูลนิธิรามาฯ เหมือนกับว่านอกจากจะชวนผู้หญิงมาวิ่งด้วยกันแล้ว ยังจะได้ส่งต่อให้กับผู้หญิงด้วยกัน
ซึ่งอันนี้ตัวก้อยเองก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ดี ที่เราอยากจะสนับสนุนและอยากจะมีส่วนร่วมด้วย ก็เลยเข้ามาร่วมงานนี้ ในฐานะที่บอกไปว่าเป็นผู้สนับสนุนหลักด้วย และในส่วนของการจัดงานก็จะมีส่วนหนึ่งที่เป็นบัตรแชริตี้ก็จะเป็นค่าสมัครทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ จะนำไปมอบให้กับมูลนิธิรามาฯ ในโครงการ ‘ผู้ป่วยยากไร้มะเร็งเต้านม’ โดยที่ไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ตรงนี้เป็นสิ่งที่ในโซเชียลตอนนี้อาจจะเข้าใจผิด และมีการบิดเบือนข้อมูลทำให้หลายๆ คนเข้าใจผิด”
เครียดและตกใจกับกระแสที่เกิดขึ้น แต่ก็ได้ชี้แจงความจริงไปแล้ว
“ก้อยตกใจอยู่แล้วค่ะ แล้วก็แบบ..เกิดอะไรขึ้น อะไรอย่างนี้ ก็เครียดแหละ แต่อย่างที่บอกว่าเรารู้ว่าความจริงคืออะไร เราก็ชี้แจงข้อมูลที่เป็นความจริงออกไป ซึ่งหลายๆ คนก็เข้าใจ นักวิ่งคนที่ติดตาม คนที่สมัครมาแล้ว เขาเข้าใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะรายละเอียดทุกอย่างมีใส่ไว้ในข้อมูลทั้งหมด เพียงแต่ว่าบางท่านอาจจะเข้ามาแล้ว อาจจะไม่ได้อ่านครบ หรืออันนี้ก้อยก็ไม่ทราบจุดประสงค์มันมีการนำไปโพสต์ในอีกแบบหนึ่งเลย ซึ่งทำให้เกิดการเข้าใจผิดไปในหลากหลายประเด็น ถามว่าเราเครียดไหม ก็เครียด แต่ว่าสุดท้ายเราอยากจะชี้แจงในความเป็นจริงที่สุดเท่านั้นเอง”
ไม่สบายใจกับข้อความที่โดนถล่ม แต่ก็เอาเวลาไปจัดงานให้ดีที่สุด
“เห็นค่ะ (คำไหนที่รู้สึกว่าแรงไหม?) เอาอย่างนี้แล้วกัน เราเห็นแล้วเรารู้สึกว่าเราก็ไม่สบายใจค่ะ ก็ทุกข์แหละ แต่ว่าการจะดับทุกข์ได้ดีที่สุดคือต้องดับที่ตัวเราเอง ถามว่าก้อยต้องจัดการยังไง รู้สึกว่าเราจัดการกับความรู้สึกตัวเองดีกว่า แล้วเราก็เอาเวลาไปโฟกัสการจัดงานให้ดีที่สุด ให้คนที่เขามาสมัครวิ่งกับเราได้ไปวิ่งในงานที่ดี ให้เขาวิ่งแล้วเขามีความสุข มีรอยยิ้มกลับบ้านไป อันนี้ก้อยว่ามันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการจัดงานครั้งนี้”
ไม่รู้หลังบ้านเพจดังกล่าวได้มาขอโทษไหม แต่ส่วนตัวได้ชี้แจงไปแล้ว
“ก้อยไม่แน่ใจค่ะ คือก้อยเองชี้แจงในเพจส่วนตัวของก้อยเรียบร้อยแล้ว แต่หลังบ้านก้อยไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เพราะอย่างที่บอกออแกไนเซอร์ ผู้จัดงานก็ซีเรียส เพราะว่ามีการบิดเบือนไปค่อนข้างที่จะไม่ใช่ความจริงดีกว่าค่ะ”
เป็นงานวิ่งปกติทั่วไปที่มีค่าบัตร เป็นความสมัครใจของนักวิ่ง และปิดรับสมัครไปตั้งแต่ 30 มิ.ย.แล้ว
“ก็เมื่อกี้ที่ก้อยสื่อสารไปทั้งหมดเลย คนอาจจะคิดว่างานวิ่งอันนี้เป็นงานวิ่งการกุศล สำหรับก้อยคำว่างานวิ่งการกุศลคือ 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดจะต้องเข้าองค์กรการกุศลที่งานวิ่งนั้นสนับสนุน นั่นคืองานวิ่งการกุศล แต่ว่างานวิ่งครั้งนี้เป็นงานวิ่งปกติทั่วๆ ไป ที่ทุกๆ คนรู้ว่ามีวิ่งนั่นนี่แล้วก็ไปสมัคร มีการแข่งขัน ใครวิ่งเร็วก็ได้รางวัล มีของที่ระลึกกลับบ้านไปปกติ แต่ว่าตัวผู้จัดงานเขามีความตั้งใจดีที่อยากจะส่งต่อให้กับผู้หญิงที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งอันนี้ก้อยว่าก็เป็นเรื่องที่ดี ไม่มากก็น้อยเราได้ร่วมกันส่งต่อให้กัน
และในส่วนของบัตรแชริตี้นี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จัดทำขึ้นมาสำหรับนักวิ่ง ที่อยากจะมอบหรือบริจาคให้ 100 เปอร์เซ็นต์ คือเหมือนกับงานวิ่งทั่วๆ ไปในโลกที่จัดงานวิ่ง แล้วก็จะมีบัตรแชริตี้ให้สำหรับองค์กรที่งานวิ่งนั้นสนับสนุน งานนี้คือบัตร 3,599 บาท ซึ่งจริงๆ ปิดรับสมัครไปตั้งแต่ 30 มิถุนายนแล้ว มันเป็นแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น เป็นความสมัครใจของแต่ละนักวิ่งค่ะ บางคนก็รู้สึกได้มาวิ่ง ได้มาทำบุญด้วยและได้รับใบไปลดหย่อนภาษี แล้วยังได้ของที่ระลึกแบบจัดเต็ม ก็แล้วแต่นักวิ่งแต่ละคนที่เขาอยากจะเลือกสมัคร”
ไม่ทราบและจะไม่หาเหตุผล ว่าทำไมถึงออกมาโพสต์บิดเบือน
“ก้อยไม่ทราบจริงๆ ค่ะ และก้อยก็คงจะไม่หาเหตุผลด้วย”
ยันไม่ฟ้องร้องเพราะไม่ได้ทำให้มีความสุขหรือสบายใจขึ้น และอาจจะเป็นทุกข์ขึ้นด้วยซ้ำ
“สำหรับก้อยนะคะ การฟ้องร้องไม่ได้ทำให้ก้อยมีความสุขไปมากกว่านี้ คือตอนนี้เราเห็นข่าว เราก็รู้สึกไม่สบายใจ ถามว่าทุกข์ไหม ก็ทุกข์ แต่ว่าการฟ้องร้องไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นหรือสบายใจมากขึ้น ในทางกลับกันอาจจะรู้สึกเป็นทุกข์มากขึ้นด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นเราก็ดับทุกข์ที่ตัวเองก่อน แล้วก็เอาเวลาไปโฟกัสกับการจัดงานให้ดีดีกว่า”
สามี “ตูน บอดี้สแลม” อาทิวราห์ คงมาลัย บอกให้ไปโฟกัสสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด เพราะพูดความจริงไปหมดแล้ว
“พี่ตูนก็บอกว่าเราได้พูดความจริงออกไปแล้ว และก็อยากให้เราไปโฟกัสสิ่งที่อยู่ข้างหน้า คนที่เขารักเรา สนับสนุนเรา หรืออยากจะมาวิ่งในงานของเรา และเราก็ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด คือเราเองก็รู้ว่าการจัดงานวิ่งครั้งหนึ่งมันไม่ง่าย แต่เราก็อยากให้คนที่มาวิ่งเขามีความสุขที่สุด กลับไปอย่างมีพลังบวก ให้เขารู้สึกว่าเขาอยากกลับมาวิ่งกับเราอีก”
เจอดรามามาเยอะ เลยมีภูมิต้านทาน แต่ไม่อยากให้ลูกโตมา ในสังคมที่มีไซเบอร์บูลลี่แบบนี้
“เสียกำลังใจไหมเหรอ ก็…ตัวก้อย จริงๆ เราก็เจออะไรแบบนี้มาค่อนข้างเยอะ (หัวเราะ) เราก็ค่อนข้างมีภูมิต้านทานพอสมควรค่ะ แต่ว่าเราก็ไม่ค่อยสบายใจถ้าเกิดมันจะถูกพาดพิงไปในด้านอื่นๆ ที่มันไม่เกี่ยวกับงานวิ่งของเรา หรือพาดพิงไปถึงลูกหรืออะไรแบบนี้ ซึ่งก้อยรู้สึกว่าถ้ามองในความเป็นแม่ ณ ตอนนี้ เรารู้สึกว่า เราก็คงไม่อยากให้ลูกโตมาในสังคมที่มันมีไซเบอร์บูลลี่แบบนี้”
จำไม่ได้ว่าคำไหนว่าแรงที่สุด เพราะอยากจะข้ามผ่านตรงนั้นไปเลย แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับลูก ในฐานะพ่อแม่ก็ต้องปกป้อง
“ก้อยจำไม่ได้หรอกค่ะมันเยอะ คือเอาจริงๆ นะคะ ก้อยอยากจะข้ามไปเลย ก้อยไม่อยากจะโฟกัส และก็ไม่อยากจะเอาพลังลบตรงนั้นมาทำให้เราไม่มีแรงเดินหน้าต่อ เราอยากจะเดินหน้าต่ออย่างมีความสุข แต่ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นที่มันเกี่ยวข้องกับลูกเราในอนาคต บางทีในฐานะของคนเป็นพ่อเป็นแม่เราก็ต้องปกป้องลูกเราเหมือนกัน (มีการพาดพิงไปถึงน้องเยอะไหม?) ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่ก็เคยเห็นมาบ้างนิดๆ หน่อยๆ”
บอกเป็นแม่ต้องเข้มแข็ง ต้องปกป้องลูก
“เป็นแม่ต้องเข้มแข็งค่ะ เราต้องปกป้องลูกเราค่ะ”
ไม่ฝากบอกอะไรถึงคนโจมตี เพราะพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
“ไม่พูดดีกว่าค่ะ พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง วันนี้ก้อยได้ชี้แจงในเรื่องข้อมูลของงานวิ่งแล้ว ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งคัญที่สุดที่เพราะก้อยไม่อยากให้คนที่เขาไม่ได้ติดตาม และเปิดอินเตอร์เน็ตมาเจอข่าวต้องรู้สึกอุ้ย! หรือต้องรู้สึกเข้าใจผิด เนื่องจากอ่านคอมเมนต์แบบไม่รู้ว่าที่มาที่ไปคืออะไร ดังนั้นก้อยก็ขอชี้แจงในส่วนที่เป็นประเด็นให้ตรงจุดแค่นั้นพอ ส่วนเรื่องอื่นก็ช่างมันค่ะ”
เรื่องนี้ไม่ได้กระทบกับความตั้งใจดี ที่จะทำกิจกรรมดีๆ ต่อไป
“ไม่ค่ะ เหรียญมันมีสองด้านเนอะ เราตั้งใจทำความดี แต่ถ้าต่อไปในอนาคตคนก็มองได้สองด้านเสมออยู่แล้ว ฉะนั้นถ้าเรารู้ตัวเองว่าเราทำอะไรอยู่และเรามีความตั้งใจที่ดี เราก็จงทำต่อไป และก้อยสนับสนุนให้คนที่คิดดี คนที่อยากจะทำอะไรดีๆ ให้สังคมทำต่อไป ก้อยไม่ได้บอกว่าก้อยเป็นคนดีนะคะ แต่ก้อยแค่จะบอกว่าก้อยมาอยู่ตรงนี้ในฐานะของคนของประชาชน และการที่เรามาอยู่ตรงนี้ได้ เราก็อยากที่จะทำอะไรคืนให้กับสังคมบ้าง ส่วนการจัดงานวิ่งมันก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดีๆ ที่เราอยากจะชวนผู้หญิงมาวิ่ง เราอยากให้คนมีความสุขเท่านั้นเอง”
