“กิฟท์ซ่า” รับปิดฉากรัก 13 ปี เลิก “ณัฐ สารสาส” อยู่ดีๆ ผู้ก็เทช่วงโควิด เหตุมองปลายทางชีวิตไม่เหมือนกัน ลั่นเฮิร์ต 1 เดือน ตั้งหลัก 3 เดือน ตอนนี้มูฟออนแล้ว เข็ดเรื่องรัก ขอพักใจยาวๆ
เจอกี่ทีก็ยังสวยแซ่บเหมือนเดิม สำหรับอดีตนักร้องสาว “กิฟท์ซ่า ปิยา พงศ์กุลภา” ที่พอมาอัปเดตเรื่องราวความรักกับไฮโซหนุ่ม “ณัฐ สารสาส”ก็ทำเอาหลายคนตกใจ เพราะเจ้าตัวบอกว่าโสดมาปีกว่าแล้ว 17 ปีที่ผ่านมามีแฟนมาตลอด แต่พอโสดกลับรู้สึกสบายใจ สบายตัว อยากทำอะไรก็ทำได้เต็มที่
.
“ตอนนี้โสดมากค่ะ ไม่มีคนคุยด้วย ไม่มีคนมาจีบ และไม่คุยกับใครด้วย ทำงานอย่างเดียว ทำมาหากิน แฮปปี้กับความโสดมากเลยนะ คือเราคบกันคนก่อนหน้านี้มา 13 ปี ก่อนหน้านั้นเรามีแฟนอีกคนคบมา 4 ปี รวมทั้งหมดเราไม่ได้โสดมาเลย 17 ปีนะคะและตอนนี้มาโสด ตอนแรกก็รู้สึกเคว้งๆ เนอะ สไตล์คนมีแฟนมาตลอด แต่พอโสดเข้าจริงๆ เราเริ่มอยู่กับตัวเองได้ รู้สึกว่าไม่อยากให้ใครมาเข้าในพื้นที่เรา เริ่มรู้สึกว่าฉันมีความสุขกับการอยู่กับตัวเอง มีความสุขในสิ่งที่ฉันอยากดู กินอะไรก็ได้ และไปนั่งกินข้าวคนเดียวก็ไม่ได้มีความเหงาอะไรเลย แปลกมากค่ะ
มันก็ต้องมีอกหักกันบ้าง มันก็ค่อนข้างที่จะกะทันหันนิดนึง ตอนนั้นเป็นช่วงโควิดด้วยก็เลยไม่ได้เจอพี่ๆ สื่อ ก็เลยไม่ได้พูดเรื่องรายละเอียด แต่เหมือนกับทางที่เรากำลังจะเดินไปข้างหน้ากับทางของเขามันคนละทางกันค่ะ เราก็เลยตัดสินใจเลิกรากันนี่ก็จะปีนึงแล้วนะ”
เคยมีแพลนถึงขั้นจะแต่งงาน แต่สุดท้ายปลายทางไม่เหมือนกัน
“ใช่ ของบางอย่างพอมันไม่ใช่ในสิ่งที่มันควรจะเป็นมันก็ต้องจบ คือเราก็เป็นแนวธรรมะเนอะ เราก็รู้สึกว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราก็รู้สึกว่าถ้าจะเดินไปข้างหน้าเราต้องเดินไปได้ด้วยตัวเอง ด้วยการตัดสินใจของเราเอง หรือถึงแม้เราจะมีคู่ก็ควรจะตัดสินใจด้วยตัวเราเองเช่นกัน ในเมื่อทางมันแยกกันไปเป็นคนละทางไปแล้ว เราก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร เราก็เริ่มต้นจากตัวเองใหม่
สาเหตุหลักคือการมองอนาคตไม่เหมือนกัน คือด้วยความที่เรามีคุณพ่อคุณแม่ที่ปลูกฝังเรามาตลอดว่าอยากให้มีครอบครัวนะ สร้างครอบครัวที่มั่นคง เราก็จะมีมุมมองในทางนั้น แต่กับทางเขาอาจจะมองกันคนละทาง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ทางไม่ดีนะ เพราะแต่ละคนมันก็มีมุมมองที่แตกต่างกันไป แต่เราโดนปลูกฝังมาว่าจะต้องสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องของอาชีพ ฐานะการเงินหรือว่าครอบครัว ทางนั้นเขาอาจจะยังไม่พร้อม (ยิ้ม)”
13 ปีถือเป็นบทเรียนชีวิตอีกบทหนึ่ง
“กิฟท์มองว่าเวลามันเป็นสิ่งที่ให้เราได้รับบทเรียนมากกว่า เราเรียนรู้อะไรจากเวลา เราเรียนรู้อะไรจากข้อผิดพลาดในชีวิตเรา เราเรียนรู้อะไรเพื่อที่จะไม่ทำผิดซ้ำ ถ้าสมมติอนาคตมีสิ่งที่เราคิดแล้วว่าอนาคตอาจจะทำให้เราเดินพลาด เราก็จะรู้แล้วว่าเราจะเดินกับมันยังไง เพราะในทางข้างหน้ามันจะมีปัญหาอุปสรรคมาเรื่อยๆ แหละค่ะ เพียงแต่เราจะมีวิธีการแก้ที่ดีกว่าเดิมได้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา
ถามว่าเลิกกันด้วยดีไหม ยังไม่ได้คุยกันเลยค่ะ (อยู่ๆ ก็ห่างกันไปเลย) ใช่ (ก็เลยเหมือนเลิกกันแล้ว) ใช่ คือจริงๆ กิฟท์มองว่าความเงียบก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดนะคะประมาณปีนึง เอาจริงๆ ตอนแรกก็สงสัย แต่ด้วยความที่เราโตขึ้นแล้ว เราจะไม่มีการที่จะมาง๊องแง๊ง วอแว งั้นเราก็มีดีลกันแบบโตๆ บางทีคนเราอาจจะมีวิธีการเผชิญหน้าปัญหาที่แตกต่างกัน วิธีการเผชิญหน้าของกิฟท์คือกิฟท์เป็นคนชัดเจน แต่หลายๆ คนเวลาที่เขาเผชิญปัญหาเขาอาจจะมีทางเลือกของเขาที่แตกต่างจากเรา”
บอกอยู่ดีๆ ฝ่ายชายก็มาขอให้ห่างกัน แล้วก็เงียบหายไปเลย
“ไม่มีสัญญาณ (หัวเราะ) คือวันนั้นเราถ่ายละครวันสุดท้าย แต่ช่วงโควิดเราก็ไปอยู่ที่ภูเก็ต แต่พอมาตรการการถ่ายละครมันดีขึ้น เราก็บินมาถ่ายละครที่กรุงเทพฯ และวันนั้นเป็นวันถ่ายละครวันสุดท้ายเรื่องกองป่วนฯ ซิตคอมของพี่เติ้ล ตะวันนี่แหละ เราก็โทร.ไปว่าจะขึ้นมากรุงเทพฯ หรือจะให้เราลงไปภูเก็ต เพราะวันนี้ถ่ายละครวันสุดท้าย เขาก็บอกว่าเราก็น่าจะห่างๆ กันหน่อยแล้วกันนะ
เราก็งงว่าคืออะไร แล้วมันเหมือนฉากละครเลย น้องในกองมาเคาะกระจกบอกว่าพี่กิฟท์เข้าซีน เขาก็บอกให้เราไปทำงานก่อน เราก็โอเค เดี๋ยวค่อยคุยกัน ก็วางไป หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยอีกเลย(หัวเราะ) หลังจากนั้นเราก็โทร.กลับไปค่ะ แต่เขาไม่รับ แต่เราก็ไม่ได้โทร.เยอะนะ ไม่เกิน 5 ครั้งในรอบที่ผ่านมาปีนึง
ตอนกลับไปเข้าซีนเราโปรเฟสชั่นแนลไง (หัวเราะ) เดอะโชว์มัสโกออนด้วยความเกิร์ลลี่เบอร์ลี่ ตั้งแต่เด็กเราเดอะโชว์มัสโกออนตลอด มันไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ หลังจากนั้นก็เงียบกันมาตลอด พอเงียบเราก็ตัดสินใจเองเลย เราเป็นคนตัดสินใจเอง ฝากเพื่อนเขาไปบอก เขาก็ไม่ได้มีฟีตแบ็คอะไรกลับมา”
ไม่รู้ว่าโดนเทไหม แต่ตนก็เป็นฝ่ายตัดสินใจเดินออกมาเอง
“ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะเขากับเรามันเหมือนเราเป็นคนเดินออกมา เพราะเขาไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ คือเราก็ไม่ได้มีอะไร เราไม่ได้จะทำอะไร ไม่ได้ไปไหน คือไม่ได้มีใครทำอะไรผิด เพียงแต่มันถึงจุดที่มันเป็นทางแยก คือยุคโควิดมันพิสูจน์อะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคมและความสัมพันธ์ระหว่างแฟน ระหว่างคนรัก ระหว่างเพื่อน หรือแม้กระทั่งระหว่างคนในครอบครัวกิฟท์ถึงบอกว่ามันเป็นจุดที่เปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะให้เราเดินไปข้างหน้าด้วยความกล้าหาญหรือเปล่า
ถ้าได้เจอกันก็คงไม่เคลียร์ค่ะ เพราะมันผ่านมาแล้ว ในส่วนตัวกิฟท์รู้สึกว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันผ่านไปแล้ว เราก็ให้มันผ่านไป เราใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เราสร้างเขตของปัจจุบันให้ดีเพื่ออนาคตเราที่ดี เพราะฉะนั้นอะไรที่ผ่านมาแล้วกิฟท์มองว่ามันเป็นบทเรียน เหมือนประสบการณ์ที่เราจะเก็บไว้ใช้ได้ในหลายๆ อย่างในชีวิต คนอาจจะมองว่าการที่เรามีชีวิตคู่ที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ท้ายที่สุดมันจะเป็นประสบการณ์ที่จะสอนเราในการเจอคนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการทำงาน คู่ครอง หรือครอบครัว มันจะทำให้เราได้เรียนรู้ว่าอีกหน่อยในอนาคตเราจะสามารถที่จะดีลกับคนอื่นแบบไหนได้”
ใช้เวลาทำใจและเสียเวลาอยู่ 1 เดือน จากนั้นก็มูฟออน
“เสียใจสิ (หัวเราะ) แต่ก็ร้องไม่นาน กิฟท์ใช้เวลาอยู่ประมาณเดือนนึง เพราะเราก็ไม่ได้อายุน้อยแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะต้องดีลกับสิ่งที่เราเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนี้หรือเรื่องอะไรแบบผู้ใหญ่ คืออย่าเสียเวลาเกินไป เรารู้สึกยังไงไม่มีใครมาช่วยเราได้ เราคนเดียวที่จะช่วยตัวเองให้ลุกขึ้นมาได้ นี่คือสิ่งที่กิฟท์เรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก
ยิ่งเราเศร้านานแค่ไหน มันจะยิ่งทำให้เราลุกขึ้นได้ช้า เสียเวลา เราก็เดินไปข้างหน้าได้ช้า เหมือนเราสร้างเหตุที่มันฝังใจไว้ ถ้าเราไม่รีบเคลียร์ให้มันออกไป ความฝังใจนั้นมันก็จะอยู่กับเรายาวเลย และอนาคตของเราจะเป็นยังไง ในเมื่อ 13 ปีนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้ไปแล้ว
ถามตอนนี้กิฟท์รู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นทางออกที่ดีแล้วก็ได้ คือไม่ว่าการแสดงออกหรือการแก้ปัญหาจะเป็นแบบไหน กิฟท์ยอมรับในตรงนั้นเลย เพราะสุดท้ายคนที่ต้องดีลกับชีวิตเราคือตัวเราเอง”
เผยเข็ดกับความรัก ตอนนี้ขอโฟกัสทำงานดีกว่า
“มีคนมาดามใจไหมเหรอ มันก็มีบ้างก่อนหน้านี้ แต่ก็เหมือนเป็นอารมณ์มาอยู่ให้ใจเรามันได้คิดเรื่องอื่นมากกว่า จริงๆ เศร้าอยู่เดือนนึง ใช้เวลา 3 เดือนในการตั้งหลัก พอใจเราเข้มแข็งขึ้นเราก็รู้สึกว่าเราต้องเดินไปข้างหน้าแล้วล่ะ เพื่อความมั่นคงในชีวิตเราที่เราตั้งใจไว้
ถามว่าเข็ดกับความรักไหม ก็ต้องมีกลัวนะ เราเป็นมนุษย์เนอะ แต่มันไม่ใช่กลัวแบบนั้น คือเรารู้ว่าถ้าเรามีแฟนเราจะเป็นคนทุ่มเทเต็ม 100 เราจริงจังและจริงใจมาก ถ้าสมมติตอนนี้เรามาโฟกัสที่ตัวเอง โฟกัสที่การงานที่มั่นคงของเรา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ คือกิฟท์แผนว่าเล่นละครอีกกี่ปีแล้วจะเทิร์นเป็นเบื้องหลัง กิฟท์วางแผนชีวิตไว้หมดแล้ว ก็เลยไม่อยากให้คนอื่นเข้ามารบกวนสมาธิมากกว่า ภูมิคุ้มกันเรื่องความรักตอนนี้ถ้าเทียบกับวัคซีนโควิดก็น่าจะประมาณ 10 เข็ม (หัวเราะ)”
