xs
xsm
sm
md
lg

"เข้ม หัสวีร์" พระเอกอดีตนักเลงเด็กช่างที่ "เวียร์ ศุกลวัฒน์" การันตีคนนี้ดังแน่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เข้ม หัสวีร์” เผยเส้นทางกว่าจะได้เป็นพระเอก จากเด็กช่างกล ใช้ชีวิตเสี่ยงตายยกพวกตีกัน ขึ้นแท่นพระเอกสายเลือดใหม่ช่อง 7 โดนบูลลีพูดเหน่อจนเสียความมั่นใจต้องไปเรียนพูดใหม่ คนนี้แหละที่ “เวียร์ ศุกลวัฒน์” เห็นแววตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว บอกเข้มจะโด่งดังเป็นพระเอกสุดฮอต รุ่นพี่คอนเฟิร์ม!

ขึ้นแท่นเป็นพระเอกสายเลือดใหม่ของช่อง 7 ที่มาแรงมากๆ ในตอนนี้ สำหรับ “เข้ม หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล” ซึ่งกว่าจะมีวันนี้เจ้าตัวบอกว่าต้องใช้เวลานาน 5 ปีกว่าจะมีคนรู้จัก พร้อมย้อนเรื่องราวในอดีตที่เคยเกเร มีเรื่องต่อยตีเป็นนักเลงหัวไม้ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาทำอาชีพนี้เพราะเป็นคนขี้อาย โดนบูลลีพูดเหน่อจนไม่กล้าพูด แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผันกลายมาเป็นพระเอกสุดหล่อ พร้อมเผยถึงเรื่องสุดว้าว เมื่อ 5 ปีที่แล้ว “เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ” เห็นแวว เคยทักกับคนใกล้ตัวตั้งแต่เข้มเข้าวงการใหม่ๆ ว่าจะโด่งดังแน่นอน เจอพระเอกรุ่นพี่ฟันธงขนาดนี้ทำเอาหนุ่มเข้มใจฟู ส่วนที่ถูกยกให้เป็นเลือดใหม่ Gen ร้อนแรงของช่อง 7 เจ้าตัวบอกว่ารู้สึกดีใจมากๆ

“จริงๆ แล้วนักแสดงช่องเรามีเยอะมากๆ แล้วทุกคนก็มีฝีมือและพัฒนาการที่ดีมากๆ รวมถึงตัวเราด้วยที่เป็นหนึ่งในนั้น ก็ดีใจมากๆ ครับ ที่คนชื่นชมแล้วก็ชื่นชอบ และก็คอยอวยพรและให้กำลังใจเราตลอดเวลา ดีใจครับ”

“เราก็ยังคงเหมือนเดิม เมื่อก่อนเราเป็นยังไง เราก็ยังคงเป็นอย่างนั้นอยู่ ยังไม่ได้มีทางที่ชัดเจน ว่าอยากจะไปในรูปแบบไหน ในทิศทางไหน เราก็คงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติที่มันควรจะเป็น แต่ที่ยึดหลักๆ ไว้เลย ก็คงเป็นความนอบน้อมของตัวเอง ก็ยังคงเก็บไว้ไม่ให้หาย”

ย้อนจุดเริ่มต้นการเป็นพระเอก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาทำอาชีพนี้ เพราะอยากเป็นช่างซ่อมรถยนต์มากกว่า
“ไม่เลยครับ ไม่เคยคิด เป็นคนขี้อาย เป็นคนไม่กล้าพูด ไม่เหมือนทุกวันนี้ ทุกวันนี้มันโดนเคาะ โดนบูลลีเรื่องการพูด สำเนียงเรา หรืออะไรต่างๆ ที่ทำให้เราไม่กล้าที่พูด ก็เลยเป็นคนพูดน้อย ถนัดทำงานมากกว่าพูดเอาใจใคร ก็เลยไม่เคยคิดว่าจะได้มาเป็นนักแสดง ด้วยเมื่อก่อนฟันข้างหน้าเรามันแตก ทำให้เราไม่กล้ายิ้ม ไม่กล้าพูด ไม่กล้าออกเสียง เวลาพูดมันก็จะปิดคำ ทำให้เสียงมันเหน่อ”

“หลายคนพอเห็นเราในเรื่องของรูปลักษณ์ เขาก็จะบอกว่าพูดไม่ชัดสักที พูดเหน่อ ต้องไปปรับฟัน ปรับโน่นนี่เยอะ รู้สึกว่าทำไมความเป็นเราถึงค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ วะ ก็มีช่วงนั้นอยู่ แต่ก็ไม่ได้อะไรมากนัก ก็แก้ไขเรื่องการทำฟัน แล้วก็ไปเรียนการใช้เสียงเพิ่มเติม ก็พัฒนาตัวเองมั่นใจขึ้น พูดเก่งขึ้น”

“เมื่อก่อนก็คิดแค่ว่าอยากใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน ทำงานอยู่ในละแวกหมู่บ้าน เป็นช่างก็ได้ คือผมเรียนจบช่างมา ณ ตอนนั้นก็ยังคิดว่าเราเข้าใจในการซ่อมรถ ซ่อมเครื่องยนต์ต่างๆ เพราะตรงข้ามบ้านเป็นร้านซ่อมรถ เราก็เลยอยู่กับตรงนั้นมา เลยรู้สึกว่ามันชิน แล้วเราเห็นเม็ดเงินในการทำงานต่อวัน ปะยางก็ได้เห็นตังค์แล้ว เราทำได้หมด ก็จะได้ตังค์จากตรงนั้น”

“แล้วที่บ้านเมื่อก่อนมันหาเงินได้ง่าย แข่งเรือเราก็จะโดนจ้าง เขาเรียกเป็นไม้ ไม้ละ 500-1,000 บาท ถ้าเกิดว่าเขามายืมตัวไปแข่งไปพาย ต่อวันเราก็ได้เกือบ 2,000 บาทแล้วนะในสมัยก่อน แต่พอไปๆ มาๆ เราได้โอกาสมาอยู่ตรงนี้ เราก็เลยมามุ่งเป้าไปที่การทำงานในวงการบันเทิง เราอยากรู้ว่าในวงการบันเทิงมีอะไรที่น่าสนใจ หรือมีอะไรที่มันสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองไปในทิศทางที่มันดีกับชีวิตตัวเองขึ้นได้”

“แล้วพอได้มาอยู่ในวงการเนี่ย ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆ เป็นความโชคดีของตัวเองด้วย ที่งานในวงการทำให้เราสามารถดูแลครอบครัวได้ ดูแลได้ครบเกือบจะทุกคนเลย คุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่ พี่สาว รวมไปถึงลุง ป้า น้า อา ที่เราไม่เคยที่จะขัดสนเรื่องค่าใช้จ่าย ถ้าเกิดว่าเขาเดือดร้อน”

ใช้เวลา 5 ปี ขึ้นแท่นเป็นพระเอกช่อง 7 พลิกผันสุดขั้ว จากอดีตเด็กเกเรใช้ชีวิตเสี่ยงตาย
“ผมรู้สึกว่าผมโตไวมากๆ ในวงการบันเทิง ตั้งแต่เข้ามาช่อง 7 เหมือนคนรู้จักเราได้ไวมาก เพียงแค่ 5 ปี เรารู้สึกว่าเราก็โตไวเหมือนกันนะ ไม่มีในความคิดเลยครับว่าเราจะได้มายืนอยู่จุดนี้ ตอนเด็กผมเกเรอยู่ มันเป็นเรื่องปกติของเด็กผู้ชาย แทงกัน ฟันกัน เมื่อก่อนมันเป็นเรื่องธรรมดามากๆ มันเป็นเรื่องสนุกสนาน เวลาอยู่กับเพื่อนเราเป็นตัวเปิด” 

“ผมเป็นเด็กช่างตอนอยู่ต่างจังหวัด ไม่ใช่ที่พกไม้ทีนะ อันนั้นมันเบา มันมีแค่ในหนัง ของจริงไม้ไม่มี มีแค่ในละคร เอาจริงๆ จะเป็นพวกเหล็กชาร์ป มือที่ทำมาจากแหนบรถ ประดิษฐ์เอง ปืน ระเบิดปิงปอง ทำเองหมด ชีวิตเราผ่านอะไรมาเยอะ เสี่ยงตายก็บ่อย เปิดแล้วเดินหนีก็บ่อย”

“แต่ทุกวันนี้พอกลับบ้านเราก็จะไปดูว่าเด็กๆ ยังยึดหลักเหมือนเมื่อก่อนไหม รุ่นสู่รุ่นไหม แต่ทุกวันนี้ไม่แล้ว เขาไม่ตีกันแล้วแปลก พอกระท่อมถูกกฎหมาย ต้มน้ำท่อมให้กันกินแทน บ้านนี้ไม่ถูกกับบ้านนี้ แต่พอกลับไปอีกทีเป็นพี่น้องกันหมดแล้ว แต่เพื่อนทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ ยังเล่าถึงเรื่องราวเก่าๆ แล้วคนที่เคยทะเลาะกัน พอกลับไปเจอในวัยที่เราไม่ได้คิดว่าเราต้องมาแก้แค้นกัน ก็กลับกลายเป็นเพื่อนกันหมดเลย”

วงการบันเทิงช่วยขัดเกลาให้เป็น “เข้ม หัสวีร์” เวอร์ชั่นใหม่
“มันค่อยๆ วงการบันเทิงส่วนใหญ่จะทำงานกับคน มันจะทำให้เรารู้จักคนหลากหลาย แล้วผมโชคดีที่ได้เจอแต่ผู้ใหญ่ที่เมตตา แล้วก็ให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำที่ดีมาโดยตลอดตั้งแต่เข้ามา แล้วผมเป็นคนชอบฟังผู้ใหญ่พูด ด้วยตัวเองพูดไม่เก่ง พูดไม่ทันด้วย เมื่อก่อนเราก็จะฟังแล้วเก็บมาใช้ เก็บส่วนดีของผู้ใหญ่แต่ละคนมาใช้ มันก็ค่อยๆ เกลาไปเรื่อยๆ พอเราได้อยู่กับคุณแม่ ท่านก็จะคอยเตือนในบางครั้งที่เราดื้อบ้าง แต่ทุกวันนี้ไม่ดื้อแล้ว เพราะว่าภาระมันเยอะขึ้น ในเรื่องของบ้าน เรื่องของค่าใช้จ่าย แล้วก็เรื่องของสิ่งที่เราอยากจะได้ มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีๆ โตขึ้นด้วยครับ ก็เลยดื้อน้อยลง”

“เมื่อก่อนเราเป็นผู้ชม แต่ทุกวันนี้เราเป็นคนที่ถ่ายทอดให้คนอื่นได้ดู มุมมองผม ณ ปัจจุบันนี้ ผมว่าผมสนุกและชินกับการทำงาน การได้ออกไปทำงานมันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้รู้จักอะไรใหม่ๆ ได้รู้จักงาน รู้จักอาชีพใหม่ๆ ในวงการบันเทิงเป็นอะไรที่วิเศษและอัศจรรย์มากๆ ใครจะไปคาดคิดว่าเราจะได้เล่นละครกับพี่อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ เราดูพี่อั้มตั้งแต่เด็กๆ ใครจะคิดว่าเราจะได้เล่นกับพี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี ได้มาเจอพี่หนิง ปณิตา ธรรมวัฒนะ ไม่เคยคิดเลยครับ จนทุกวันนี้ โอ้โห…เรารู้สึกว่าเราโชคดีมากๆ กับการทำงาน”

รู้สึกไหมว่าตัวเองเป็นดารา?
“ไม่ครับ ผมรู้สึกว่ายิ่งคนเข้ามาหาเรา ยิ่งตัวใหญ่มากแค่ไหน เราต้องยิ่งทำตัวเล็กมากเท่านั้น ให้เล็กที่สุด”

เมื่อถามว่า คนรุ่นใหม่ชอบพระเอกซีรีส์เกาหลีมากกว่าพระเอกละครไทย เข้มต้องต่อสู้ยังไงกับตรงนี้ เจ้าตัวก็เผยว่าค่อยๆ เรียนรู้และปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
“ของเข้มจะค่อยๆ เติบโตจากการทำงานของตัวเอง จะค่อยๆ เรียนรู้แล้วก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนในสิ่งที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ ในเรื่องลุกของการแต่งตัว ในเรื่องของการดูแลตัวเอง ดูแลสุขภาพต่างๆ ก่อนหน้านี้คนจะชินกับความไทยๆ กับรูปร่างหน้าตาไทยๆ ของเราอยู่ มาช่วงหลังๆ คนก็จะกรี๊ดลุกของเราที่เป็นเกาหลีหน่อย เขาชอบเพราะว่ามันผสมกันได้อยู่นะ มันลงตัวในรูปแบบที่เป็นเรา”

“คือมันแล้วแต่งาน แล้วแต่ความเหมาะสม แล้วก็แต่ละยุคสมัยในการแต่งตัว พอเราอยู่ถึงจุดที่สามารถตกแต่งอะไรในตัวเราเองได้แล้ว เราก็เสริมเติมเข้ามา ด้วยคอนเนกชั่นต่างๆ ที่ผู้จัดการส่วนตัวมี แล้วก็ที่ตัวเรามี ก็ค่อยๆ ปรับครับ”

“ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยู่สูงแค่ไหน เลยไม่ได้รู้สึกว่าหนาว แล้วทุกครั้งที่เราไปขอพร เราขอให้คนรัก คนชอบ คนนิยมชมชอบเรา แล้วหลายๆ ครั้งที่เราไปงาน เรารีบกับเวลา เราไม่ได้ถ่ายรูปกับทุกคนได้เต็มที่ เราก็มานั่งคิดว่าเราขอให้คนนิยมชมชอบเรา แต่เราดูแลเขาได้ไม่หมด”

มาแรงจนหลายคนจับตามองว่าเข้มจะต้องไต่บันไดไปเป็นพระเอกเบอร์ 1 อย่าง “เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ”
“อันนั้นให้เป็นคนอื่นพูดดีกว่า ส่วนตัวเราก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ยังกินข้าวข้างถนน กินข้าวกับผู้กำกับฯ ใช้ชีวิตปกติ กับพี่หนิง(ปณิตา ธรรมวัฒนะ) เราก็อยู่กันแบบบ้านๆ กับพี่บิณฑ์-พี่เอกพัน บรรลือฤทธิ์ เราก็ยังคงมีลูกทุ่งๆ เล่นกันอยู่ ตัวชื่อเสียงก็ให้เป็นแฟนคลับ หรือว่าเป็นบุคคลอื่นๆ ที่เขาชื่นชมแล้วก็ชื่นชอบเรา เป็นคนตั้งให้เราดีกว่า”

พร้อมเผยเรื่องที่ “เวียร์” เห็นแวว เคยพูดไว้ตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ว่าเข้มจะเป็นพระเอกโด่งดัง
“ใจฟูมาก (ยิ้ม) ก็ดีใจครับ ดีใจมากๆ ที่พี่เวียร์ชื่นชม อันนี้ผมได้ยินเป็นครั้งแรก ก็ถือว่าเป็นกำลังใจที่ดีในการทำงานของผมมากๆ จริงๆ เราก็ชื่นชอบพี่เวียร์ตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ในเรื่องของผลงานต่างๆ ส่วนหนึ่งก็มีพี่เวียร์เป็นไอดอล”

“ในเรื่องของการทำงาน เวลาดูเขาแสดงละคร ซีนต่างๆ ที่เป็นฟีลยิ้มน่ารักๆ เราก็จะเผลอยิ้มตามไปกับที่แกเล่น (เรามีเอาอะไรจากพี่เขามาปรับใช้บ้างไหม?) จริงๆ เข้มเอาจากหลายๆ คนมาปรับใช้ในชีวิตตัวเอง ทั้งพี่หนุ่มศรราม เทพพิทักษ์, พี่หนุ่ม สันติสุข พรหมศิริ ผมเอาข้อดีของแต่ละคนเก็บมาใช้ในชีวิต มันเลยทำให้เราได้เห็นมุมมองที่มันกว้างขึ้น แล้วก็ระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้น”









กำลังโหลดความคิดเห็น