xs
xsm
sm
md
lg

“ต่อ ธนภพ” ไม่ทะเลาะใครให้เสียเวลา ดรามา “ซี พฤกษ์” เกิดจากการรันคิว ไม่ใช่ความผิดใคร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ต่อ ธนภพ” แจงดรามาพิธีกรเชิญ “ซี พฤกษ์” ไปพักเพื่อสัมภาษณ์ตนคนเดียว ปัญหาเกิดจากการรันคิว ไม่ใช่ความผิดของใคร รับผิดเองที่หน้าเหวอ แต่ย้ำไม่นั่งทะเลาะกับใครให้เสียเวลา ลั่นหากไม่นับดรามาเรื่องนี้และถูกไล่ออกจากเฟรม ถือว่าเป็นปีที่ดี 
  
ยังคงเป็นประเด็นจับตามองไม่เลิก สำหรับพระเอกหนุ่ม “ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร” กับคู่จิ้นสายวาย “ซี พฤกษ์ พานิช” และ “นุนิว ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์” ที่เคยมีประเด็นต่อโดนแฟนคลับฝั่งซีนุนิวไล่ออกจากเฟรม เพราะต้องการถ่ายรูปแค่ซีนุนิวเท่านั้นจนเกิดแฮชแท็กเดือด

ต่อมาในอีเวนต์อีกงาน ต่อก็เจอดรามากับซี พฤกษ์ อีกครั้ง หลัง “เอม สาธิดา”พิธีกรในงาน ต้องเปลี่ยนคิวกะทันหัน ทำให้ต้องเชิญ ซี พฤกษ์ ออกไปพัก และขอสัมภาษณ์ต่อเพียงคนเดียว ทำให้เกิดความไม่พอใจ เพราะคิดว่าถ้าจะสัมภาษณ์นักแสดงแยก ก็ควรให้เดินออกมาทีละคน ไม่ใช่ให้นักแสดงมายืนคู่กันแล้วเชิญออก ถึงขั้นพิธีกรต้องขอโทษต่อและซี พฤกษ์

ซึ่งต่อก็ได้เปิดใจถึงเรื่องนี้ในงาน “นิทรรศการศิลปะเด็กนานาชาติ ครั้งที่ 52” ณ ลานกิจกรรมชั้น M ศูนย์การค้าเกทเวย์ เอกมัย ยันส่วนตัวไม่ได้มีปัญหากับซี ยังงงว่าทำไมถึงเกิดเป็นประเด็นขึ้นมา

“ที่พิธีกรในงานออกมาโพสต์ขอโทษ ก็เห็นอยู่ครับ แต่โชคดีที่มันไม่รุนแรง ถามว่าผมเข้าใจไหม ผมเข้าใจทุกฝ่ายแหละ แต่สำหรับผมกับพี่ซีที่ในชีวิตจริงเราคงยิ้มให้กันเสมอ เรากอดกัน เราจับมือ เอาจริงๆ ผมสองคนความสัมพันธ์ดีต่อกัน แต่สถานการณ์ตอนนั้นที่ผมทำหน้าเหวอ มันอาจจะผิดที่ผมแหละ หมายถึงว่าด้วยความที่เรารีแอ็กชั่นกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นแบบตรงๆ เสมอ เราก็ตกใจ แต่เราก็ไม่ได้จะโยนให้ใคร และเราไม่สามารถควบคุมการรับรู้คนอื่นได้ คนอื่นอาจจะตีความยังไงก็ได้ตัวผมเองก็ยังเคยถูกตีความผิดๆ แต่สุดท้ายแล้วมันเป็นสิทธิของเขา แค่สุดท้ายแล้วผมก็ได้แต่ให้กำลังใจอยู่ข้างหลังแหละ เพราะเรารู้ว่าความจริงมันเป็นยังไง

ถามว่ากลัวแฟนคลับสองฝ่ายจะตั้งแง่ใส่กันไหม ผมว่าถ้าเรารู้จักแฟนคลับตัวเองมากพอ ผมว่าเขาจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเราสองคนไม่มีอะไรเลย ตอนไปหลังเวทีจริงๆ คำพูดที่จำได้มีแค่คำว่าไม่เป็นไรเลย ซึ่งมันจบเลย และพี่ซีก็พูดว่าไม่เป็นไรเลย และเอาจริงๆ เรื่องนั้นสำหรับผมมันเกิดจากการรันคิว หมายถึงรันมาตั้งแต่หลังเวทีมาถึงบนเวที และมันไม่ตรงกับที่รัน มันเลยเกิดความสับสนและเกิดการสลับคิวเกิดขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่ความผิดใครหรอก มันคือการแก้ไขเฉพาะหน้า และผมว่าในฐานะคนที่เป็นพิธีกรเขาก็ต้องพยายามหาทางออกที่ดีที่สุดแล้วแหละ
มันปกติมากครับ คือผมไม่ชอบทะเลาะกับคน ผมพูดมาตลอด ผมไม่มานั่งทะเลาะกับใครหรอก มันเสียเวลา เพราะข้างหลังเวที ข้างล่างเวทีเราก็คุยกัน ขนาดเรานั่งอยู่คนละฝั่งยังตะโกนคุยกันอยู่เลย และวันนั้นก็ไม่ได้คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น งงจริงๆ ถามว่าคนจัดงานหรือพิธีกรได้มาขอโทษไหม ผมว่ามันถูกคุยกันตั้งแต่หลังเวทีและจบไปแล้ว สิ่งที่ตกใจคือมันจบไปแล้วและมีเอฟเฟกต์ทีหลัง ก็เลยงงว่าเกิดอะไรขึ้น”

ไม่เคยคิดว่าต้องได้รางวัลในทุกเวที แต่ก็ถือเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่ง
“ผมว่าจริงๆ ปีนี้มีหลุดแค่อันนี้แหละครับ เพราะจริงๆ ใต้หล้าต้องไปปีหน้า ถ้าตามไทม์ไลน์เวลานะครับ เหมือนตอนวันทองก็จะเป็นลูปนั้น คนบอกว่าเรานอนมาเลยก็ไม่ๆ (หัวเราะ)​ ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ผมรู้สึกว่าดีใจทุกครั้งที่เรามีรายชื่อ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังขนาดนั้น มันก็มีคาดหวัง แต่ลึกๆ จะชอบมีความคิดว่าไม่ใช่เราหรอก เพราะผมจะเป็นคนที่ใจสั่นเวลาเห็นรายชื่อคนเข้าชิง แล้วก็จะคิดว่าไม่ใช่เราหรอก ให้พี่ๆ เขาเถอะ พี่ๆ เขาของจริง

พอเป็นนักแสดงอิสระก็ถือเป็นฤกษ์งามยามดีด้วยไหมก็ไม่เกี่ยวเลยครับ ผมว่าเรื่องมีค่ายหรือไม่มีค่ายมันคนละเรื่องเลย เพราะทุกวันนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนงาน เพราะผมก็ยังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปไหนหรอก มันเป็นแค่สัญญาณนึงสำหรับผมว่าเฮ้ย ต่อโตได้แล้ว มันถึงเวลาโตเองแล้ว แต่ถ้าถามว่าเป็นปีที่ดีสำหรับเราไหม ถ้าไม่นับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนะ ก็เป็นปีที่ดีครับ (หัวเราะ)​แต่สถานการณ์เราควบคุมไม่ได้ไง”

มีเป้าหมายแต่ไม่เลือกเส้นทางเอาไว้ก่อน น้อมรับทุกทางที่ค่อยๆ เลือก
“ผมว่าสิ่งที่ยากสำหรับผมก็คือต้องตัดสินใจด้วยตัวเองมากขึ้น เราอาจจะต้องถามคนอื่นให้น้อยลง กลับมาถามตัวเองให้มากขึ้น ซึ่งแรกๆ มันก็ไม่ชิน แต่ในอนาคตมันคือสิ่งที่ควรจะเป็น มันเป็นอาชีพที่เหมือนจะไม่อิสระ แต่ก็อิสระ ผมว่าการแอบวางเส้นทางมากๆ บางครั้งอาจจะทำให้ผิดหวังง่ายก็ได้ แต่ผมมั่นใจว่าผมมีเป้า แต่ไม่เลือกเส้นทางแค่รู้สึกว่าเราจะน้อมรับเส้นทางที่เราค่อยๆ เลือกไปเรื่อยๆ

ผมเปลี่ยนไปทุกๆ เรื่องที่ผมเล่น หมายถึงผมจะโตพร้อมกับโปรเจกต์ที่ผมทำเสมอ เพราะเรารับจากแพชชั่น พออะไรที่เราอินเราจะรู้สึกว่าเราใช้ชีวิตกับเขาอยู่ โปรเจกต์ที่ท้าทายหลังจากนี้ก็น่าจะโปรเจกต์ล่าสุดนี่แหละครับ ยังบอกไม่ได้ เพิ่งคุยเสร็จ น่าจะกลับมาเป็นซีรีส์ และน่าจะกลับมาเป็นภาพอะไรที่สนุกใหม่ๆ”

บอกเปิดบริษัทเพื่อดูแลตัวเองโดยเฉพาะ
“ใช่ครับ จริงๆ ผมว่าส่วนใหญ่บริษัทตอนนี้จะไม่ใช่รูปแบบในยุคก่อนหน้านี้ มันจะไม่ใช่อารมณ์เอเจนซี่ เพราะว่าบริษัทมีพาร์ตเนอร์เป็นส่วนประกอบ ผมรู้สึกว่าการไปดึงคนเข้ามาในบริษัทเรา บางครั้งมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่แฮปปี้ที่สุดก็ได้ เพราะทุกคนก็อยากมีของตัวเองไปหมด มันก็เลยมีคำว่าพาร์ตเนอร์เกิดขึ้น เป็นคนที่เราไว้ใจ เชื่อใจ รู้สึกว่าแฮปปี้ด้วยเวลาทำงานด้วยกัน มันก็จะมีพาร์ตเนอร์เต็มไปหมด

เราเป็นพาร์ตเนอร์ด้วยครับ แล้วก็จะมีพาร์ตเนอร์ในอนาคตเรื่อยๆ ด้วย เพราะเราก็เชื่อในบุคลากรยุคเราที่เขากำลังจะถึงเส้นชัยตัวเอง เขากำลังจะก่อร่างสร้างของตัวเองขึ้นมา มันจะใหญ่ขนาดไหน ยังไม่กล้าคิดเลยครับ แค่คิดว่าจะต้องลุยก่อน เพราะสมมติว่าเราคิดใหญ่ก็ไม่ได้การันตีว่าเราจะประสบความสำเร็จ เพราะจริงๆ ทุกคนล้มได้ครับ หรือแม้กระทั่งชื่อผมเองผมยังไม่รู้สึกเลยว่ามีชื่อเราแล้วมันจะต้องประสบความสำเร็จตลอดเวลา

จริงๆ พาร์ตของบริษัทตัวเองก็แค่จัดการพาร์ตงานของผมเลยครับ พอมาเป็นซีอีโอเอง จริงๆ ผมไม่ได้เปลี่ยนระบบการดูแล หมายถึงเรายังให้สิทธิในการตัดสินใจ ไม่ใช่แค่เราคนเดียว แต่ก็ลงไปดูงานเองเยอะขึ้นครับ และมันถึงตัวเราเร็วขึ้น เมื่อก่อนกว่าจะผ่านจากนาดาวมาถึงเรามันหลายขั้นมาก อันนี้ก็เหมือนลัดขั้นตอน แต่สนุกขึ้น เพราะผมมีโอกาสได้คุยกับทีมเยอะขึ้น น้องๆ ในสังกัดในอนาคต เอาจริงๆ ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคำตอบที่ออกมาหลังจากทำสิ่งนี้ว่าเราอยากจะดูแลคนอื่นหรือเปล่า เพราะจริงๆ จุดเริ่มต้นคืออยากดูแลตัวเอง (หัวเราะ) แต่ถ้าจะดูแลคนอื่นก็ให้เป็นเรื่องของอนาคตครับ (หัวเราะ)”







กำลังโหลดความคิดเห็น