“แน็ป เรโทรสเปกต์” เผยเพิ่งได้อ่านจดหมายจากแฟนคลับหลังผ่านไป 16 ปี ขำๆ โดนคิดว่าเป็นทรานเจนเดอร์ จนกลายเป็นไวรัลในยุคนั้น จนถึงตอนนี้ตนก็ยังโดนถามอยู่ บอกความโหดของหนวดเคราไม่ได้ช่วยอะไร ทำเอาแฟนสาวของตนก็โดนถามไปด้วย เผยตอนนี้เป็นศิลปินอิสระเต็มตัว แนวเพลงมีความใสขึ้น แต่ก็ยังเป็นแนวร็อกที่เพิ่มสีสันใหม่ๆ เข้าไป
เปลี่ยนเรื่องดรามาให้กลายเป็นเรื่องขำๆ ไปซะได้ สำหรับร็อกเกอร์หนุ่ม “แน็ป เรโทรสเปกต์”หรือ “ชนัทธา สายศิลา” ที่หลังจากเปิดจดหมายจากแฟนคลับที่ผ่านมากว่า 16 ปี ทำเอาเจ้าตัวขำก๊าก เพราะโดนถามว่าแปลงเพศมาหรือเปล่า และก็กลายเป็นคำถามที่ตนต้องคอยตอบมานานหลายปี
“จริงๆ เป็นจดหมายเก่าตั้งแต่ 15-16 ปีที่แล้ว และตอนยุคนั้นทางแกรมมี่เขาจะเก็บจดหมายไว้ เราก็ไม่ค่อยได้เปิดอ่านครับ วันนั้นนึกยังไงไม่รู้ก็เปิดอ่าน ตอนนั้นเขาเป็นเด็กน้อยนะ ประมาณป.4 ป.5 และวันนี้เขาเติบโตแล้ว เขาก็เล่าเรื่องตลกๆ ในความคิดที่เขาเป็นเด็กๆ ผมก็ตามหาคนๆ นี้ สรุปไปเจอว่าเขาโตแล้ว และเขาบอกว่าตอนเด็กๆ เขาเป็นทอม แต่ปัจจุบันเขามีลูกแล้ว และยุคนั้นก็เป็นข่าวที่มีไวรัลเยอะๆ และทุกวันนี้ผมก็ยังต้องตอบคำถามนี้อยู่
คือเป็นช่วงที่ผมทัวร์คอนเสิร์ตหนักมาก และมันจะมียุคนึงที่เว็บปั่นข่าว พวกนี้จะเป็นตัวปั่น เป็นเหมือนทัวร์ลงยุคนั้น แล้วตัวที่เป็นเฮดทั้งหลายก็จะมาปั่นข่าวว่าเราเป็นผู้หญิง เราไปออกตีสิบ เราไปผ่าตัดกล่องเสียง ก็เป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งมันก็ตลกดีสำหรับเรา เอาจริงๆ ก็ขอบคุณนะครับที่ทำให้ผมได้มีข่าวทุกเดือน ขอบคุณมาก (หัวเราะ)
ถามว่าทำไมคนถึงสงสัยแบบนั้น ก็นั่นน่ะสิ ผมก็ยังงงตัวเองเหมือนกัน เพราะจริงๆ ผมก็ทำตัวเองให้ดูโหดนะครับ ไว้หนวด ไว้เครา แต่ก่อนดุดัน ก็ยังไปทางนั้นอยู่ ก็แปลกดี รอยสักกับเคราไม่ได้ช่วยอะไร ก็พยายามทำให้มันโหดขึ้น แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม”
บอกไม่เบื่อที่โดนถาม เพราะรู้สึกสนุกดี
“คือยุคนั้นต้องเท้าความไปว่า ยุคดนตรีเป็นยุคของอีโม ดนตรีอีโมเราก็จะทำผมเป๋ และจะมีแต่งหน้าบ้าง คำว่าเด็กอีโมมันจะใกล้ๆ กับทรานเจนเดอร์อยู่แล้ว ออกผู้หญิงหน่อยและมีภาพๆ นึงที่ไปเทียบกับน้องอีกคนนึงแล้วมันคล้ายๆ กันมาก ก็เลยกลายเป็นประเด็นขึ้นมาตอนนั้น
ทุกวันนี้ยังต้องตอบคำถามอยู่เรื่อยๆ ครับ ไปทุกที่ก็ยังมีเรื่อยๆ ครับ แปลกดีเหมือนกันครับ ก็เคยถามเขาครั้งนึง เขาเคยบอกว่าเคยดูตีสิบ ซึ่งจริงๆ แล้วผมไม่เคยไปออกตีสิบ ก็ต้องลองไปอ่านดูที่เขาเขียน ก็เป็นเรื่องเป็นราวดีครับ ถามว่าเบื่อไหม ก็ไม่ได้เบื่อนะครับ มันก็ตลกดีที่เรามีข่าวตลกๆ แบบนี้
ซึ่งผมก็มีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด และฝั่งผู้หญิงจะโดนถามบ่อย ถามว่าตกลงพี่แนปเป็นผู้หญิงเหรอ (หัวเราะ)ผมก็บอกว่าเราเป็นผู้ชาย ก็ไม่เสียเซลฟ์ครับ ผมชอบนะ ยิ่งอะไรมาปั่นๆ ผมนี่ชอบเลย เรื่องเปลี่ยนลุคเปลี่ยนมาเยอะแล้วครับ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร (หัวเราะ) แต่มันก็ตลกดีครับ”
บอกตอนนี้เป็นศิลปินอิสระเต็มตัวแล้ว จะได้เห็นแนวเพลงใหม่ๆ แน่นอน
“ใช่ครับ และเป็นศิลปินอิสระเต็มตัวครับ ก็ยังว๊ากอยู่นะครับ ยังไหว สบายมาก แต่ทิศทางเพลง สิ่งที่เคยทำมาอาจจะเปลี่ยนไปเยอะพอสมควร ด้วยยุค ด้วยสิ่งที่ตัวเองสนใจในตอนนี้ด้วย คือตอนนี้ผมฟังเพลงสดชื่นขึ้นเยอะ เป็นฉลามบ้าง เป็นปากกามาวงบ้าง
คือปกติผมจะเขียนเนื้อติดความซีเรียส ติดความหม่นอยู่พอสมควร อาจจะถนัดทางนั้นมากกว่า แต่ตอนนี้ด้วยความที่เป็นศิลปินอิสระก็ทำงานอยู่กับพี่เอ้ BOTCASH และตอนนี้พี่เอ้ก็เป็นโปรดิวเซอร์เลย จริงๆ ก็สนิทกันตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เพราะเขาก็เป็นแฟนเพลงของวงมาตั้งแต่เด็กๆ และติดตามงานมา พอได้กลับมาเจอกันก็ได้มาฟีเจอร์ริ่งกับพี่เอ้ ซึ่งกำลังจะออกเร็วๆ นี้ครับ พอของพี่เอ้ปล่อยเสร็จ อัลบั้มของผมก็จะตามออกมา
จริงๆ ความสดใสของผมมันไม่ได้ขนาดเพลงเอาปากกามาวงขนาดนั้น แต่ในทางดนตรีคอร์ดมันจะใสขึ้น แต่ตัวเนื้อหาก็ยังมีความเข้มข้นพอสมควร มีอิสระในการเขียนเนื้อมากขึ้น และสิ่งที่ตัวเองอยากทำมาตลอดแต่ไม่มีโอกาสได้ทำก็จะใส่เข้าไป แนวดนตรีพื้นฐานผมคือร็อกอยู่แล้ว แต่มันอาจจะมีสีใหม่ๆ ที่เข้ามาที่อยากทำแต่ไม่มีโอกาสได้ทำ
เรื่องเสียงยอมรับว่ามีปัญหาครับ อย่างโชว์ของผม 1 ชม.กว่าเท่าๆ เพื่อนๆ ครับ แต่พลังที่ใช้มันค่อนข้างที่จะเยอะมากกว่าหลายๆ ท่าน ฉะนั้นผมไม่สามารถรับงานได้เยอะแน่นขนาดนั้น อาจจะรับวันนึง พัก 2 วันประมาณนี้ วิธีการดูแลก็คือการพักผ่อนครับ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าพักหรือเปล่า(หัวเราะ) เพราะพ่อปู (ปู แบล็คเฮด) ก็พาผมไปเที่ยวเยอะเหลือเกิน ไปยุโรปเพิ่งกลับมา ไปทำงานด้วย ไปเที่ยวด้วย ก็สนุกดีครับ ถือว่าไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์และไปหาวัตถุดิบในการทำเพลง ก็ได้แรงบันดาลใจจากคนไทยในต่างแดนพอสมควร เพราะเราเห็นความขยันจากคนก็กลับมาเป็นพลังให้เรา ในวันที่เราดาวน์ลงไปที่สุดแล้ว วันนี้คือกลับมาลุยงานเต็มที่”
เผยเห็น “ปู แบล็คเฮด” เป็นไอดอลมาตลอด
“ผมกับเขารู้จักกันมา 13-14 ปีตั้งแต่ตอนออกอัลบั้มใหม่ๆ เขาเป็นไอดอลของผมมาตลอดตั้งแต่เริ่มเล่นดนตรีมา พอมาเจอกันผมก็ดีใจที่เขาเรียกชื่อผมได้ตั้งแต่แรกๆ ผมจำภาพวันที่ผมเจอเขาที่สีสันอวอร์ด จากนั้นเราก็นั่งคุยกันเกี่ยวกับดนตรีร็อก ผมฟังเพลงฝรั่งเก่าๆ เขาก็งงว่าเราฟังเยอะ และแลกเปลี่ยนกัน เราเอายุคใหม่ให้เขาฟัง เขาเอายุคเก่ามาให้เราฟัง ก็เลยซิงค์กันโดยที่ไม่รู้ตัว คือไม่ต้องพูดแต่รู้ใจกันได้
ก็ดูแลซึ่งกันและกันมาตลอดครับ เห็นหลายเรื่องราวที่เราผ่านมาด้วยกันเยอะ ช่วงที่ผ่านมาก็ต้องดูแลเขาหน่อย คือเขาจะโอเคเวลาที่เพื่อนๆ อยู่ด้วย แต่เวลาที่เขาอยู่คนเดียวเราก็ต้องดูแลหน่อย เพราะระยะเวลามันก็ยังไม่ได้นานจริงๆ เพื่อนๆ ก็ต้องช่วยกันดูแลครับ เพราะบางทีพูดเรื่องอื่นขึ้นมา แต่เขาก็จะกลับไปเรื่องเดิม แต่วันนี้เขาก็ดีขึ้นมากจากวันแรกครับ แต่อารมณ์แน่นอนว่ายังมีคิดถึงกันอยู่”