xs
xsm
sm
md
lg

5 ปีที่ต้องจากกัน “เต้-ตี๋” ย้อนความทรงจำ! วันที่อนาคตในวงการไม่ชัดเจน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ถ้าย้อนเวลากลับไปเกือบ 5 ปีสำหรับซีรีส์วายเรื่อง “เดือนเกี้ยวเดือน” ในเวอร์ชั่นแรกๆ หลายคนคงจะจำภาพได้ว่าใครเป็นใคร และหนึ่งในนั้นก็คือคู่ของ “โฟร์ท-หมอบีม” ที่นำแสดงโดย “เต้ ดาวิชญ์ กรีพลฤกษ์” ที่รับบทเป็น “โฟร์ท” และ “หมอบีม” ที่รับบทโดย “ตี๋ ธนพล จารุจิตรานนท์” โดยซีรีส์เรื่องนี้จะต้องทำเป็นทั้งหมด 3 ซีซั่นตามลำดับตัวละครของแต่ละคู่ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ “โฟร์ท-หมอบีม” ไม่ได้สร้างคู่จิ้นอย่าง “เต้ตี๋” ก็ไม่ได้ต่อ จนทำให้ด้อม #เต้ตี๋ชู้รักเรือล่ม กลายเป็นตำนานในวันนั้น

แต่พอมาวันนี้หลังจาก 5 ปีผ่านไป ใครจะไปคิดว่าทั้งคู่จะได้กลับมาคู่กันอีกครั้ง ใน “ทริอาช” ซีรีส์วายแนวการแพทย์และแฟนตาซี กับบทบาทที่โตขึ้นระหว่างเต้และตี๋ที่ได้แสดงความสามารถพร้อมประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวมาได้ระหว่างทาง จนถ่ายทอดออกมาให้ “ติณห์ต้อล” เปรียบเสมือนมีชีวิตจริง เรียกได้ว่าการรอคอยก็ได้ประสบความสำเร็จจนเกิดคอนเสิร์ต TaeTee The Journey Memory ในวันที่ 20 ส.ค. นี้ที่ search studio รามคำแหง81

แต่กว่าจะมีวันนี้ได้! พวกเขาทั้งคู่ต้องเผชิญช่วงสูญญากาศในชีวิตของการเป็นนักแสดง เพราะหลังจากจบจากผลงานชิ้นแรก ก็เหมือนไม่รู้ว่าอนาคตในวงการบันเทิงจะไปทางไหนต่อ … แต่ในวันนี้ที่เขาทั้งคู่โตขึ้นก็พร้อมจะถ่ายทอดความรู้สึกในวันนั้นให้ฟังว่ากว่าจะมีวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

คิดว่าการกลับมาของเราจะประสบความสำเร็จมากขนาดนี้มั้ย?
เต้ : จริงๆ ไม่ได้คาดหวังในแง่การกลับมาแบบนั้น แต่อยากให้ทุกคนที่เฝ้ารอและติดตามมีความสุขมากกว่า เหมือนหลายๆ คนก็ชื่นชมในผลงาน คือพอเราทำงานมาถึงจุดนึงเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราคาดหวังคือในแง่ผลงาน กระแสตอบรับที่เขาให้การยอมรับไหม เขาสนุกกับผลงานที่เราทำออกมาหรือเปล่า ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องนึงที่เกินความคาดหวังของตัวเองไปค่อนข้างเยอะครับ อีกอย่างแฟนคลับเขาก็บอกว่าออกมาจากป่าบ้าง ชอบหนีเข้าป่า แล้วหายไปเลย (หัวเราะ)

ตี๋ : ก็รอติดตามผลงานครับ และช่วงโควิดก็เลยทำให้เราหายไป แต่จริงๆ แล้วการหายไปของเรา เราซุ่มทำงานอยู่ก็คือถ่ายสองเรื่องพร้อมกันเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สาม ก็เลยทำให้ตอนที่ออกมาก็ออกมาแบบรัวๆ ทำให้เขาก็ตั้งตัวไม่ติดเหมือนกัน เหมือนออกมาปุ๊บเขื่อนแตก ให้ดูเต็มๆ ทุกวันจันทร์-ศุกร์ไปเลย (ยิ้ม) แต่ตอนนี้เริ่มกลับมาถ่ายใหม่อีกแล้วครับ ก็เจอกันอีกทีต้นปีหน้าเลย

พอแยกกันไปมีคุยกันมั้ย ว่าจะได้กลับมาเป็นเต้-ตี๋อีกมั้ย?
ตี๋ : จริงๆ แล้วก็เป็นเต้-ตี๋ตลอดอยู่แล้วครับ มันอยู่ที่ว่าเราจะร่วมงานกับใครยังไง แต่อันนี้เรื่องของผลงานที่จะมาทำด้วยกันก็แล้วแต่โอกาสว่าจะได้กลับมาเจอกันอีกมั้ย ต้องดูที่ผู้ใหญ่และบทบาทที่มันจะเหมาะกับเราทั้งคู่ด้วยครับ

การที่เรากลับมาเจอกัน มีความคาดหวังไว้สูงมามั้ย?
ตี๋ : คุยกันไว้ตั้งแต่แรกแล้วครับว่าเรารู้สึกว่าเรื่องนี้เราทำเต็มที่ และจะทำให้ดีที่สุดในตอนนั้น เพราะฉะนั้นผลจะออกมาเป็นยังไงเราไม่เคยเสียใจเลย เพราะการที่เราได้ตั้งใจทำอะไรสักอย่างนึงแบบเต็มที่แล้ว เรารู้สึกมันที่สุด ณ เวลานั้นแล้ว ไม่ใช่แค่การคาดหวังเรื่องผลงานอย่างเดียว แต่มันคือการเติมเต็มหัวใจแฟนคลับของพวกเราที่เขาเฝ้ารอคอยและอยากจะให้พี่เต้และตี๋มีซีรีส์คู่กัน จุดนี้ที่ทำให้เขารู้สึกว่าการรอคอยมันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาดีใจมากๆ ครับ

เคยถามแฟนคลับมั้ยว่าทำไมเขาถึงติดตามเราสองคนอยู่?
เต้ : เต้ว่ามันเป็นความผูกพันครับ คือจากที่ตัวละครมาสู่การรู้จักกัน เดินทางไปด้วยกัน ผ่านอะไรมาด้วยกัน เชียร์มาด้วยกัน ให้กำลังใจกันมาจนมันเป็นความผูกพัน จนเราจำกันได้เกือบทุกคน บางคนก็ได้ไปต่างประเทศมาด้วยกัน รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันครับ และจริงๆ ตอนนี้บ้านเราใหญ่ขึ้นด้วย อาจจะด้วยผลงานที่ทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น และความน่ารักของแฟนคลับเราก็คือเขาโอเพ่น น่ารักมากครับ

เต้ : เต้คิดว่ายิ่งระยะเวลาผ่านมา เรากลับมองคนอื่นน้อยลงด้วยซ้ำครับ หมายถึงว่ามองคนรอบข้างว่าจะต้องเป็นยังไง เรากลับเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เรารู้สึกว่าผลงานตรงหน้านี่แหละสำคัญที่สุด ไม่ว่าคนอื่นจะเป็นยังไง เราทำงาน ณ ปัจจุบันเต็ม 10 เราทำได้ดีแค่ไหน เพราะถ้าสุดท้ายแล้วงานล่าสุดของเรามันไม่ดี มันก็ไม่มีความหมายใดๆ ถ้าเราไม่เคารพอาชีพ เราไม่ทำเต็มที่ แต่กลับกันถ้าเราก้าวขึ้นบันไดสูงขึ้นไปกว่าเดิม นี่แหละคือความสำเร็จของเรามากกว่า

วันที่จบงาน “เดือนเกี้ยวเดือน” เคยคิดมั้ยว่าชีวิตจะเดินต่อไปยังไง?
เต้ : รู้สึกว่ามันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของงานครับ พี่ๆ ในวงการเขาก็เล่าให้ฟังว่ามันก็จะเป็นอย่างนี้แหละ ทุกอย่างในชีวิตมันก็เหมือนกราฟ ซึ่งสำหรับตี๋คิดว่าเราโชคดีที่เราโฟกัสสิ่งที่เราทำตรงหน้า ไม่ว่าจะเรื่องงาน ครอบครัวหรือคนที่เรารัก เราเต็มที่กับโมเมนต์ตรงหน้ามากกว่า ตี๋เลยไม่มีเวลาไปว่อกแว่กว่าคนอื่นจะถึงไหนแล้ว แต่เรามามองตัวเองว่าตอนนี้ฉันพัฒนาถึงไหนแล้ว ฉันดีกว่าเมื่อวานแล้วหรือยัง มันก็เลยไม่ได้บั่นทอนจิตใจเราว่าคนอื่นเขาจะแซงเรานะ หรือเท่าเราหรือจะอ่อนกว่า แต่กลายเป็นว่าฉันดีกว่าฉันเมื่อวานหรือยัง มันก็เลยทำให้เราแฮปปี้กับทุกๆ วันที่เราเติบโต และพอวันนึงที่มันเลยจุดความเป็นเด็กหรือความเป็นวัยรุ่น

 เราดีใจมากนะที่วันนี้เราได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว คือทุกทีเหมือนหลอกตัวเองว่าฉันโตแล้วนะ ฉันทำงานในวงการ ฉันหาเงินเองได้ แต่ไม่จริงเลย เพราะตี๋ผ่านมาแล้วตรงที่ว่าในวันที่เราหาเงินเองได้ แต่ใจเรามันแป้ว เราก็ยังต้องหาที่พึ่งไม่ว่าจะพ่อแม่หรือใครสักคนนึงที่จะมาเยียวยาหัวใจเรา นี่ก็คือยังไม่เป็นผู้ใหญ่จริงๆ คนที่เป็นผู้ใหญ่จริงๆ หรือว่าเริ่มต้นที่จะเป็นผู้ใหญ่มือใหม่ คุณสามารถควบคุมอารมณ์ได้ ใจคุณไม่จำเป็นต้องพึ่งใครทั้งภายในและภายนอก ถึงเงินคุณจะหามาได้หรือไม่ได้ก็ตามแต่ แต่ถ้าใจเราสามารถเยียวยาหัวใจตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งใคร นั่นคือคุณเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว และวันนั้นก็เพิ่งผ่านมาไม่กี่เดือนที่ตี๋รู้สึกว่าเราเป็นผู้ใหญ่จริงๆ รู้สึกปลดล็อคตัวเองจริงๆ

เต้ : ช่วงแรกๆ ก็มีหวั่นบ้างว่าเป็นยังไง กังวลเรื่องอนาคต แต่พอมาถึงจุดนึงอย่างที่ตี๋บอก เหมือนพอโตขึ้นความกังวลอาจจะน้อยลงไปเอง อาจจะเพราะทำงานมาเยอะ พอเรียนจบเต้ก็เคยทำงานบริษัทมา เคยทำร้านอาหารก็ทำมานาน เจอเรื่องราวเยอะมาก เล่นก็เล่นมาก่อนจะมาเดือนเกี้ยวเดือนอีก เรื่องแรกก็ตอนเรียนมหาวิทยาลัย รู้สึกว่ามันมีประสบการณ์ชีวิตมาเยอะ เต้ว่าวุฒิภาวะคนหรือว่าการเติบโตมันไม่ได้อยู่ที่อายุ มันอยู่ที่เราไปเจออะไรมา แล้วเรามีทัศนคติกับมันยังไง พอมันผ่านไปก็เลยรู้สึกว่ากังวลน้อยลง ไม่ค่อยกังวลกับชีวิตตัวเอง กับอดีต กับอนาคตมาก คือคนเรามันมีสองอย่างคือสิ่งที่คอนโทรลได้กับคอนโทรลไม่ได้ สิ่งที่เราควบคุมไม่ได้เราก็แค่กังวล ก็ไม่รู้จะกังวลทำไม พอเราตัดพวกนี้ออก ชีวิตก็มีความสุขขึ้น พออยู่กับปัจจุบัน อยู่กับผลงานตรงหน้าก็รู้สึกว่าชีวิตมันเหมือนกราฟ เราวิ่งตามคลื่นของเรา มันแฮปปี้ขึ้น แล้วเต้ว่างานในวงการบทมันเลือกเรา เราไม่ได้เลือกบท

อะไรที่ทำให้เปลี่ยนความคิดว่าอยากเป็นนักแสดงที่ดีมากกว่าอยากดัง?
เต้ : เต้ว่าทุกคนที่เข้ามาความคิดคืออยากมีชื่อเสียง อยากมีรายได้ แต่พอมาถึงจุดนึงเราจะมองมันเป็นอาชีพครับ แล้วความคิดเรามันเปลี่ยนไปเยอะเลย จากที่เคยอยากมีชื่อเสียงนั่นนี่ แต่ผลงานล่าสุดคุณทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน คุณโฟกัสกับมันมากแค่ไหนมากกว่า มันทำให้เรารู้สึกดีที่เราเปลี่ยนเข็มทิศ มันเป็นจุดที่เราเติบโตขึ้นในอาชีพนี้ครับ

ตี๋ : ก็รู้สึกว่าตัวเองพัฒนาขึ้น อะไรที่เคยทำไม่ได้ก็เริ่มทำได้ทีละนิด ก็รู้สึกว่าได้ทำลายกำแพงตัวเองเหมือนกัน รู้สึกว่าโชคดีที่ได้มาทำอาชีพนี้ และทำให้เรารู้ว่าการที่เรารักและเคารพในการทำอะไรสักอย่างนึง สิ่งเหล่านั้นมันจะตอบกลับและให้คุณค่ากับเราเอง เพราะที่ผ่านมาถ้าคิดไม่ได้เราก็จะคิดว่าทำเพราะอะไรบางอย่าง แต่ถ้าเรารักในสิ่งที่เราทำและเคารพในสิ่งที่เราตั้งใจทำมันจริงๆ สิ่งเหล่านั้นมันก็จะย้อนกลับมาเป็นสิ่งดีๆ ให้เราเสมอ




เคยคิดว่าจะมาถึงขนาดมีงานคอนเสิร์ตหรือแฟนมีตฯ บัตรหมดภายใน 5 นาที?
เต้ : จริงๆ ดีใจที่ได้มาเจอกันมากกว่าครับ

ตี๋ : นานๆ ทีเราจะได้กลับมารวมญาติ (หัวเราะ) ซึ่งความพิเศษน่าจะเป็นการเหมือนระลึกความหลังเลยครับ ตั้งแต่เราเริ่มชอบกัน ตั้งแต่เรามารู้จักกัน แรกๆ ที่เรารู้จักกันเขาอาจจะรักในตัวละคร ชอบคาแรคเตอร์หรือว่าชอบหน้าตาของเรา ดูน่ารักสดใส จนวันนี้เขาไม่ได้รักเราแค่ที่ภายนอกอย่างเดียว แต่ที่เขาอยู่และตามมาถึงทุกวันนี้เขารักความเป็นตัวตนของเรา และสิ่งนี้แหละที่มันจะเป็นสิ่งผูกมัดที่จะทำให้เราอยู่ด้วยกันไปอีกนานเลย เพราะถ้าเราชอบกันแค่รูปลักษณ์ภายนอก แป๊บเดียวเดี๋ยวเขาก็ไป แต่สิ่งที่ทำให้เขายังอยู่และสนับสนุนกันมาตลอดเพราะเขารักข้างในใจของพวกเราแล้ว

เต้ : อันนี้แหละที่เต้ว่าจะเป็นความพิเศษ และมันเป็นความพิเศษมากๆ ในชีวิตของพวกเราที่มีคนที่เดินด้วยกัน รักกันขนาดนี้

ตอนนี้บัตรดูสดเต็มแล้ว เหลือแค่ออนไลน์ใช่มั้ย?
เต้ : ใช่ครับ 888 บาท (ยิ้ม) จะเปิดให้ดูผ่าน GMMLIVE นะครับ ใครที่ไม่สะดวกเดินทางมา หรืออยู่ต่างประเทศก็สามารถดูได้ เพราะว่าเรามีซับทั้งอังกฤษ จีนครับ สามารถซื้อได้ผ่านไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขาครับ แล้วก็จะมีของลิมิเต็ดอิดิชั่น มีโฟโต้บุ๊ก มีเสื้อด้วย มีกระเป๋า มีปฎิทิน สามารถพรีออเดอร์ได้ทาง shop : searchentertrainment.net ครับ

ตี๋ : และมีประมูล เต้ ดาวิชญ์ ครับ เมียบ่าวก็ไปประมูลได้ครับ อะไหล่ก็มีอยู่อันเดียวนี่แหละครับ (หัวเราะ)

เต้ : “สตาร์ทที่ 5 บาท (หัวเราะ)

ตี๋ : ตี๋อยากเห็นพี่เต้เหาะตีลังกา (หัวเราะ)

เต้ : หรือจะเต้นเหรอ จริงๆ ก็ได้นะ เพราะเราก็เต้นมาเรื่อยๆ แค่ห่างสนามมานานมากกว่า แต่ผมก็อยากเห็นตี๋ตีลังกาลงมานะ อยากให้เหาะติดปีกมาเลยครับ

ตื่นเต้นมากแค่ไหน?
เต้ : ก็ตื่นเต้นนะครับ (หัวเราะ) คือไม่ได้เจอกันนาน กังวลว่าเราไม่ได้ขึ้นเวทีนาน และเราเป็นคนขี้อาย

ตี๋ : กระต่ายตื่นเวที พ่อกระต่าย (หัวเราะ) ส่วนตี๋ไม่เคยกลัวอะไรนอกจากเนื้อเพลงอย่างเดียวครับ มันน่าอายมากครับ เพราะเราลืมเนื้อเพลงตัวเอง แล้วแฟนคลับก็บอกว่าโคฟเวอร์เพลงคนอื่นหรือเปล่า คือไม่ใช่ นี่เพลงตัวเองครับ (หัวเราะ) เป็นคนที่จำอะไรยากครับ แต่ถ้าจำได้แล้วก็ไม่ลืมนะครับ ก็อาจจะเป็นสิ่งที่เราจะต้องพยายามมากกว่าคนอื่น อย่างเรื่องอ่านบท คนอื่นอาจจะจำ 10-20 รอบ ของตี๋ 50-100 รอบ เป็นคนที่จำอะไรยากมาก เพื่อนงอนไปแล้ว รู้จักกันมา 2 ปียังลืมชื่อเลย (หัวเราะ) เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ อาจจะเป็นนิสัยที่ว่าโลกจะเป็นยังไงช่างโลกมัน เราก็อยู่ในโลกของเรา (หัวเราะ) ใครจะเป็นอะไรก็เรื่องของเขา แต่เราจะแฮปปี้อยู่กับตัวเอง

วันแรกที่เรามองตากันเราเขินมั้ย?

เต้ : ผมไม่เคยเขินครับ

ตี๋ : คุณน่ะตัวดีเลย ผมน่ะไม่เขิน เพราะผมรู้สึกว่าผมเป็นเด็กสายประกวด ก็จะไม่ค่อยกลัวอะไรอยู่แล้วครับ กลัวใจตัวเองมากกว่า (หัวเราะ) แต่เขาคู่กับผู้หญิงมาก่อน แล้วพอมาคู่กับผู้ชายเขาก็เขินๆ นิดนึงตอนแรกๆ

เต้ : แล้วผมเป็นคนขี้อายอยู่แล้ว เป็นคนขี้เขิน

ตี๋ : หรือเขาเขินผมคนเดียวก็ไม่รู้ (หัวเราะ) กับเพื่อนคนอื่นๆ ก็ไม่เห็นเขาเขินใครเลยนะ แต่เขาจะสป๊ากกับผมคนเดียว มันเป็นเพราะอะไรครับ

เต้ : ไม่บอกครับ ไปดูในงานคอนเสิร์ต ซีนจ้องตามีแน่ครับ ไม่เหลือ แต่มันเหลือจุดจ้องตาแล้วครับ เอาเป็นว่ารอดูในคอนเสิร์ตครับ มีจ้องแน่นอน แต่จ้องอะไรไม่บอกครับ







กำลังโหลดความคิดเห็น