xs
xsm
sm
md
lg

"พลอยชมพู" หายไป 2 ปี ได้มา 1 เพลง 2 งาน ของแถมเพียบทั้ง คดี โรคซึมเศร้า และรอยแผลที่ข้อมือ!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"อย่าเรียกว่ากลับมา เรียกว่าหายไป 2 ปี จะดีกว่า...ในแต่ละวันเรามองดูโซเชียล เห็นเพื่อนๆ เขาเจอกัน เรารู้สึกว่าเราเหมือนเป็นผีที่เรามองเขาแต่เราไปอยู่ตรงนั้นไม่ได้..."


ย้อนกลับไปไม่กี่ปีที่แล้ว หากจะถามหาคนในวงการบันเทิงบ้านเราที่ได้ชื่อว่าน่าจับตาไม่น้อย เชื่อว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของ "พลอยชมพู ญานนีน ภารวี ไวเกล" รวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กำลังจะรุ่งๆ เจ้าตัวก็ตัดสินใจพักงานที่เมืองไทยไปเข้าสังกัดที่มาเลเซียเพื่อโกอินเตอร์ แต่สุดท้ายทั้งหมดกลับไม่เป็นไปอย่างที่เธอวาดหวังเอาเสียเลย



“อย่าเรียกว่ากลับมา เรียกว่าหายไป 2 ปี จะดีกว่า ช่วงปี 2019 เป็นช่วงที่เราบอกกับสื่อว่าจะพักงานแป๊บนึง จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศซักพัก ตอนนั้นอายุ19 ปี ช่วงที่เราบอกสื่อไปแบบนั้นก็ดันมีค่ายเพลงติดต่อมาพอดี ตอนนั้นก็ตัดสินใจอยู่ว่าจะไปเรียนต่อหรือทำงานดี แต่ก็นึกๆ ว่าโอกาสแบบนี้ไม่น่าจะมีเข้ามาบ่อยๆ"

"ในจุดนั้นเรามองว่าเราจะได้เป็นศิลปินเบอร์แรกของค่ายนี้ เป็นค่ายที่มาเลเซีย แต่เขาโคกับแอลเอ ซึ่งเป็นค่ายที่ใหญ่เบอร์ต้นๆ ของโลก เราคว้าโอกาสนี้ไว้ดีกว่า เขาดูมีเงินเยอะพอที่จะซัพพอร์ตงานของเรา และเข้าใจแนวทางเพลงของเราด้วย เขาพูดอย่างดีว่าเขาชอบผลงานของเรา เขาอยากจะซัพพอร์ตให้เราได้ทำเพลงในแนวทางที่เราอยากทำ แต่พอไปอยู่จริงๆ เขาทำงานช้ามาก"

ปีครึ่งได้มาเพลงเดียว..."เราเป็นศิลปินคนเดียว เรามีทีมงานในนั้น มันควรจะมีงานออกมาได้เยอะ แต่เอาจริงๆ ปีครึ่งได้เพลงมาแค่เพลงเดียว แล้วเป็นเพลงที่เราไม่ได้อยากจะทำด้วย เราโดนจับยัดให้ร้องในสิ่งที่เราไม่ได้อยากจะร้อง ปีครึ่งนั้นแทบไม่ได้ทำอะไรเลย เราโดนสั่งให้ย้ายไปอยู่มาเลเซีย เพราะเขามองว่าน่าจะทำงานง่ายขึ้น"

"แต่พอย้ายไปก็ล็อคดาวน์เลย เราต้องอยู่ในห้องคนเดียว 9 เดือน กลับไทยก็ไม่ได้ เขาอยากให้เราทำเพลงให้เสร็จก่อน มันเป็นอะไรที่โคตรหดหู่ เราไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว ในแต่ละวันเรามองดูโซเชียล เห็นเพื่อนๆ เขาเจอกัน เรารู้สึกว่าเราเหมือนเป็นผีที่เรามองเขาแต่เราไปอยู่ตรงนั้นไม่ได้ ชีวิตเราหายไป"


บอกเป็นเพราะต่างคนต่างเห็นแนวทางที่ไม่เหมือนกัน
"ก่อนล็อคดาวน์พอเราไปทำเพลงที่แอลเอ ซึ่งเราเองก็ได้ร่วมแต่งด้วย เป็นเพลงที่เราชอบหมดเลย แต่เหมือนเขาอยากให้เราทำเพลงแนวป๊อป แต่เรามาแนวฮิปฮอป มันเริ่มไปคนละทางกันแล้ว เขาพยายามจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงเราในทางที่เขาต้องการ เหมือนเราไม่ได้ศึกษาเรามาก่อนว่า10 ปีที่ผ่านมาเราทำอะไรมาบ้าง"

"คือเราโตขึ้นแล้ว เรามีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนแล้ว แต่เขาห้ามเราทำสีผม ห้ามใส่ส้นสูง เพราะเขาอยากให้เราดูเด็ก เป็นอะไรที่งงมาก ปีแรกงานติดต่อเข้ามาเยอะมากแต่เขาปล่อยผ่านกลายเป็นว่าพอเข้าปีที่สองงานไม่ติดต่อมาแล้ว คิดว่าเราไม่รับงาน เราออกจากวงการไปแล้ว”

สุดท้ายจบด้วยการฟ้องร้อง..."ปีครึ่งที่อยู่ที่นั่นมีงานจริงๆ แค่ 2 งานเอง ได้เงินเดือนเดือนละ 25,000 บาท แล้วคือก่อนที่เราจะมาเข้าค่าย เราหารายได้ได้เดือนนึงไม่ต่ำกว่าแสน ชิลๆ มีเดือนละงานก็อยู่ได้แล้ว แล้วตอนนั้นคือมีรายได้แค่ 25,000 บาท คืออาชีพที่เราทำ สิ่งที่เราเคยสร้างมันมาก่อน 25,000 มันไม่พอ"

"เราก็เลือกที่จะอยู่กับเขาจนหมดสัญญานะ แต่ก็ยังมีเรื่อง คือสัญญาหมด แล้วเขาทำเพลงให้เราไม่ครบ เขาเลยมาอ้างว่าทำเพลงให้เราไม่ครบยังออกไม่ได้ แต่ในสัญญามันก็มีระบุไว้แล้วว่ามันมีระยะเวลาเท่าไหร่ มันครบ แล้วก็คือหมดแล้วไง ก็เลยกลายเป็นเรื่องฟ้องร้องกันอยู่ตอนนี้"

"เราไม่ได้อยากฟ้องเขานะ แต่พอเราออกมาแล้ว เรามาทำงานของเรา เขากลับตามมาบล็อคเราตามสตริมมิงต่างๆ คือฟังเพลงเราในแอปไม่ได้เลย ฟังได้แต่ในยูทูบ”


โรคซึมเศร้าถามหา..."ตอนนั้นก็กลับมาแล้วทำเพลง Location เมื่อปีที่แล้ว เราใช้เงินก้อนสุดท้ายของเราในการทำเพลง ซึ่งมันไม่ได้ครอบคลุมค่าทำเพลงด้วยซ้ำ ค่าทำเพลงมันเป็นแสนแต่ตอนนั้นเรามีเงินแค่ 40,000 บาท ก็เครียดมาก ไม่รู้จะไปหาเงินจากไหนเพราะงานก็ไม่มี ก็พยายามกันสุดๆ ในการหาสปอนเซอร์มาช่วยทำ”

"ตอนที่อยู่มาเลเซียเราดิ่ง เราสิ้นหวังมาก เพลงไม่รู้จะได้ออกเมื่อไหร่ ครอบครัวก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพื่อนก็ไม่มี ได้แค่โทรคุย จุดนั้นเราเริ่มคิดแล้วว่าเราจะได้กลับบ้านไหม เราต้องอยู่ให้ได้เห็นหน้าพ่อแม่ให้ได้นะ ถ้าจะตายเราจะต้องไม่ตายที่นี่ เราก็เลยอดทนจนถึงวันที่ได้กลับมาเมืองไทย"

เครียดถึงขั้นทำร้ายร่างกายตัวเอง..."พอกลับมามันก็เหมือนจะดีขึ้น แต่พอซักพักมันก็ยังรู้สึกดิ่ง เพราะสถานการณ์ทุกอย่างมันยังเหมือนเดิม คือไม่มีงาน แล้วผลงานก็ไม่ได้ออก มันทำให้เรารู้สึกว่า แต่ละวันจะอยู่ไปทำไม เราเริ่มทำร้ายร่างกายตัวเอง เพราะว่ามันนอนไม่หลับ ทำอะไรไม่ได้เลย เรากรีดข้อมือตัวเอง"

"เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนเขาถึงกรีดข้อมือตัวเอง แต่พอเรามาถึงจุดนั้น(ร้องไห้) คือคิดเหมือนกันว่าไม่อยากอยู่ มันอัดอั้น เราไม่รู้ว่าจะเอามาลงตรงไหนได้ เราไม่รู้ว่าเราจะระบายมันได้ตรงไหน แล้วก็เลยแบบ…เหมือนพอเราได้กรีด มันรู้สึกอะไรบางอย่าง"

"พอหลังจากนั้น คือเรามีปัญหาเรื่องการนอนหลับด้วย สองวันนอนที เพราะว่าเรานอนไม่ได้ พอเรานอนปุ๊บ มันเหมือนจะเฮือก รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อมันเกร็งมากจนพอเราจะหลับ มันเหมือนเราหยุดหายใจ มันเกิดจากความเครียด เลยไปหาหมอ ได้ยามากิน แล้วย้ายไปอยู่เยอรมันเกือบครึ่งปี ก็ทำให้เราสุขภาพจิตดีขึ้น"

"คือเรานึกไม่ออกเลยว่าถ้าชีวิตนี้เราไม่ได้ทำเพลง หรืออะไรที่เกี่ยวกับเพลง เราจะไปทำอะไร ตอนนั้นมันรู้สึกชีวิตไร้ความหมายมาก เหมือนอยู่ไปวันๆ แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว พร้อมทำงาน ปีนี้จะมีการปล่อยเพลงมารัวๆ เลย”

ลั่นโตพอที่จะเรียกได้ว่าค้นพบตัวเองแล้ว..."แต่ก่อนเราพยายามหาแนวทางของตัวเองมาเรื่อยๆ ก็แต่งหวาน แต่งแมน คือลองแต่งตัวมาหลายๆ แนว มีผิดบ้างถูกบ้าง แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่เป็นตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ พอมาถึงจุดนี้เรารู้สึกว่าเราหาสไตล์ของตัวเองเจอ เรารู้แล้วเราว่าชอบอะไร ก็แต่งไปตามนั้น"

"คนที่ไม่ได้ติดตามเรามาเรื่อยๆ พอมาเห็นเราอีกทีก็จะตกใจกัน แต่คนที่ติดตามเรามาตลอดเขาจะเห็นว่าเราค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองมาเรื่อยๆ จนค้นพบตัวเอง..." (เรียบเรียงบทสัมภาษณ์จากรายการ "ซานิเบาได้เบา")







กำลังโหลดความคิดเห็น