ค่าย EXP เปิดไทม์ไลน์ โต้ “ทนายตั้ม- พอร์ส Yes Indeed” ปกป้องชื่อเสียง ศักดิ์ศรีบริษัท ประกาศไม่ยกเลิกสัญญาพอร์ช ที่ผ่านมายืดหยุ่นให้มากที่สุดแล้ว ไม่ขอชี้นำ อยากเกาะดัง หรืออีกฝ่ายดังแล้วแยกวง ไม่อยากให้จบแบบนี้ วอนมาเคลียร์หาทางออกร่วมกัน
หลังจากที่ “พอร์ส นรากร อิสระวรางกูล” หรือ “พอร์ส Yes Indeed” โด่งดังจากการเป็นวงดนตรีมัธยมเปิดหมวก ได้ออกมาแถลงข่าวพร้อม “ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด” ชี้แจงว่าข้อสัญญาที่ตนมีกับค่าย EXP Entertainment นั้นได้บอกเลิกตามกฎหมายไป เหตุเพราะตัวสัญญามีความไม่เป็นธรรม เอาเปรียบ และทำตั้งแต่ยังเป็นเยาวชน ทำให้ตอนนี้พอร์สเป็นศิลปินอิสระแล้ว
ล่าสุด ค่าย EXP Entertainment ตั้งโต๊ะแถลงข่าว นำโดย “ท็อป วงศพัทธ์ รติพัชรพรกุล” ผู้บริหารค่าย “ศรายุทธ จันทร์โอวาท” ผู้จัดการทั่วไป “ธนากร พลอยทับทิม” ฝ่ายพัฒนาศิลปิน พร้อมด้วย “ทนายนิด้า ศรันยา หวังสุขเจริญ” ร่วมแถลงข่าวชี้แจงกลับทั้งหมด โดย ท็อป วงศพัทธ์ ผู้บริหารค่าย ได้เผยว่าการแถลงข่าวครั้งนี้ ต้องการปกป้องชื่อเสียง เกียรติและศักดิ์ศรีของบริษัท
ท็อป วงศพัทธ์ : “วันนี้ต้องการแถลงความจริงเรื่องสัญญาของ พอร์ส นรากร และการทำงานที่ผ่านมาทั้งหมด หลังจากถูกกล่าวหาใช้สัญญาที่ไม่เป็นธรรม มีการเอาเปรียบศิลปินและไม่มีการผลักดัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงและสร้างความเสียหายให้กับบริษัท ผมในฐานะผู้บริหารจึงต้องออกมาชี้แจง ปกป้องชื่อเสียง เกียรติและศักดิ์ศรีของบริษัท วันนี้จะเปิดไทม์ไลน์ทั้งหมด รวมถึงหลักฐานแชตการโอนเงิน ตั้งแต่วันแรกที่พอร์สเข้ามาทำงานกับเรา
โดยจุดเริ่มต้นที่ได้เข้ามาอยู่ในค่ายเป็นเพราะพอร์สเป็นญาติกับเพื่อนที่ฝากเข้ามา บอกว่าเป็นหลาน มีความสามารถในการร้องเพลง เล่นดนตรี ทำงานเปิดหมวกกับน้องสาวช่วยที่บ้าน จากนั้นก็มีการส่งโปรไฟล์เข้ามา เรียกเข้ามาพูดคุย และมีการออดิชั่น ซึ่งทางเราเห็นว่าน้องมีความสามารถผลักดันได้ ก็มีการนัดเซ็นสัญญา”
“ทนายนิดา” ชี้แจงไทม์ไลน์การทำงานหลังจากที่ “พอร์ส นรากร” เซ็นสัญญาเป็นศิลปินบริษัท EXP Entertainment
ทนายนิดา : “วันที่ 11 มิถุนายน 2564 เซ็นสัญญาจ้างขับร้องเพลงและนักแสดง ในขณะนั้นน้องเป็นเยาวชนอายุ 17 ปี มีบิดาเป็นผู้เซ็นเป็นพยานในเอกสารดังกล่าว และมีหนังสือยินยอมให้ทำนิติกรรมของบิดาอยู่ในนี้ด้วย น้องพอร์สและบิดาได้อ่านรับทราบและเข้าใจถึงเนื้อหาสัญญาทั้งหมดจึงได้ทำสัญญาฉบับนี้ วันที่ 15 มิถุนายน ได้มีการนัดถ่ายโฟโต้ชู้ตศิลปินเพื่อทำการพีอาร์ มีพอร์สอยู่ในนี้ด้วย วันที่ 24 มิถุนายน บริษัทขอคิวพอร์สเพื่อนัดโปรดิวเซอร์ คือ เอก ซีซั่นไฟว์ เพื่อมาดูแลการทำเพลง เรามีหลักฐานการคุยกันถึงการนัดคิวประชุม ส่งรูปศิลปินคือน้องพอร์สให้คุณเอกได้ดู
จากนั้น “บูม ธนากร พลอยทับทิม” ฝ่ายพัฒนาศิลปิน ได้เล่าถึงการรวมตัวกันของศิลปิน มีคอนเทนต์ มพร. ค่าตอบแทนการทำงาน
“บูม ธนากร” : “วันที่ 26 สิงหาคม 2564 ที่แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์โควิดระบาดก็ได้จัดกิจกรรมออนไลน์โปรโมตและมีการจ่ายเงินให้ศิลปินโดยไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆ เพื่อยืนยันว่ามีการโปรโมตพอร์สมาตลอด จนในช่วงเดือนพฤศจิกายน ก็ได้มีคอนเทนต์ มพร. ที่รวมศิลปิน 3 คน คือ มีน พอร์ส และ รีวอร์ด ในแบบออนไลน์เพื่อเป็นการพีอาร์ศิลปินในทุกแพลตฟอร์มของค่าย ซึ่งก็ยังมีอยู่จนถึงปัจจุบัน และมีการจ่ายค่าตอบแทนครั้งละ 1,500 บาท ต่อ 1 ศิลปิน โดยค่ายได้เฉลี่ยต่อเทป 5,000-10,000 บาท ด้วยเพราะตอนนั้นยอดคิดตามของศิลปินอยู่เพียงหลักพัน
วันที่ 24 ธันวาคม 2564 น้องพอร์ส ได้ทักมาหาผมเพื่อออกหนังสือรับรองการเป็นศิลปินในค่ายเพื่อใช้ในการสมัครมหาวิทยาลัยครั้งที่ 1 หลังจากนั้น 2 กุมภาพันธ์ 2565 คุณพ่อน้องพอร์สได้นัดเข้ามาพูดคุยที่บริษัทเรื่องการเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งในวันนั้นไม่ได้มีการบอกกล่าวว่าจะยกเลิกสัญญาแต่อย่างใด”
จากนั้น “ทนายนิด้า” ชี้แจงเรื่องการยกเลิกสัญญาต่อว่า…
ทนายนิด้า : “จากการแถลงข่าวของพอร์สและทนายตั้มในครั้งก่อนว่า เป็นจุดที่ทำให้รู้สึกไม่พอใจ ที่เราฟังมายังไม่เข้าใจและยังไม่เคลียร์ว่าเขาไม่พอใจตรงไหน แต่ประเด็น ณ ช่วงนั้นได้มีการพูดคุยเพื่อขอให้เราช่วยหาสถานที่เรียน ซึ่งเราก็ได้ทำตามความสามารถและหลักเกณฑ์ที่มันควรจะเป็นและเต็มความสามารถ จนสุดท้ายได้ศึกษามหาวิทยาลัยปัจจุบัน โดยที่ใช้หนังสือรับรองของเราเป็นทุนในส่วนหนึ่ง
“บูม ธนากร” : “วันที่ 10 กุมภาพันธ์ มีการประชุมเป็นงานเพลงทั้งปีของบริษัท สรุปการประชุมว่า แผนงานของพอร์ส จะมีเพลงเป็นศิลปินเดี่ยวในเดือนสิงหาคม ซึ่งตอนนั้นพอร์สยังไม่มีกระแส ยังไม่ดัง จากนั้นวันที่ 3 มีนาคม มีการนัดพูดคุยกับ เอก ซีซันไฟว์ กับ พอร์ส เพื่อทำเพลงให้ พร้อมเปิดแชตพูดคุยการทำงาน ซึ่งตอนนั้นพูดตรงๆ ว่าเพลงยังไม่ผ่าน 100% ด้วยเพราะตอนนั้นพอร์สยังไม่ดัง เพลงยังไม่เหมาะ จึงอยากจะได้เพลงโปรโมตให้เป็นที่รู้จักก่อน แต่ที่กลับมาเอาเพลงนั้นเพราะในตอนนี้น้องเป็นที่รู้จักแล้ว 31 มีนาคม พอร์ส ได้ร่วมเดินพรมแดงในงานประกาศรางวัลงานหนึ่งในฐานะศิลปินในค่าย”
ทางค่ายไม่รู้มาก่อนว่า “พอร์ส” มีวง Yes Indeed รู้แค่เล่นดนตรีกับน้องสาว
บูม ธนากร : “4 เมษายน ได้มีส่งคลิป พอร์ส ไปออดิชันรายการนึง แต่ก็ไม่ผ่านด้วยเพราะยังมีผู้ติดตามไม่มาก 18 เมษายน ได้มีแผนการทำแฟนมีตติ้ง และได้มีการทำแบบสอบถาม จนวันที่ 1 มิถุนายน ได้มีการดำเนินงานติดต่อสถานที่เพื่อจัดงานแฟนมีตติ้ง ก่อนวันที่เป็นข่าวใหญ่สยามแตก 3 มิถุนายน พอร์สและวงเล่นดนตรีเปิดหมวก ซึ่งเป็นวันที่ค่ายเพิ่งทราบว่าพอร์สมีวง Yes Indeed เพราะก่อนหน้านั้นพอร์สจะเล่นกับน้องสาว 2 คนเป็นหลักและมีคนอื่นมาแจมบ้างในบางครั้ง”
“ทนายนิด้า” ชี้แจงเสริมว่าที่ผ่านมาการเล่นเปิดหมวกทางค่ายอนุญาตมาตลอด แต่ห้ามในเรื่องของการรับงาน เพราะเป็นธุรกิจที่ทับซ้อนกัน
ทนายนิด้า : “กับการเล่นเปิดหมวกทางค่ายอนุญาตและให้ทำมาโดยตลอด สัญญายอมรับว่ามีระบุไว้จริงแต่ในทางปฏิบัติไม่เคยมีที่เราไม่ยอมให้ทำหรือปิดกั้น โดยในตอนแรกเข้าใจว่าพอร์สเล่นเปิดหมวก คนวางเงินให้โดยไม่มีการพีอาร์หรือโปรโมตสินค้าใดๆ เรามองว่าเราไม่ได้รับผลกระทบและน้องเกิดรายได้และได้พัฒนาศักยภาพด้วย แต่เราห้ามในเรื่องของภาคธุรกิจเพราะมันคือสิ่งเดียวกับที่เราจะทำ มันอาจจะเกิดการทับซ้อน เราห้ามแต่เว้นแต่จะได้รับเป็นลายลักษณ์อักษรจากเรา นั่นคือเนื้อหาในสัญญาที่น้องอาจจะมองว่าจำกัดสิทธิ์ของเขา แต่ในทางปฏิบัติจะเห็นได้ว่าเหมือนเขาฉีกสัญญาไปกลายๆ อยู่แล้ว แต่เรายอมรับได้เพราะยังไม่ได้เกิดงานให้เขา ยังอยู่ในช่วงการผลิต เรายืดหยุ่นให้เสมอ”
จากนั้นมีดังสยามแตกในฐานะวง Yes Indeed วันที่ 4 มิ.ย. ก็ได้มีการก่อตั้ง เพจ Yes Indeed และคุณพ่อของ “พอร์ส” ก็โทรศัพท์มายกเลิกสัญญากับทางค่าย
ศรายุทธ ผู้จัดการทั่วไป : “คุณพ่อของพอร์สได้โทร.มาเพื่อขอเข้ามาพูดคุยเรื่องการยกเลิกสัญญาเป็นครั้งแรก และได้ทำนัดเพื่อพูดคุยในวันที่ 8 มิถุนายน พูดคุยกับทีมดูแลศิลปินว่าอยากยกเลิกสัญญา ว่าหากยังไม่มีการลงทุนให้เราแยกทางกันตรงนี้ไหม ซึ่งทางบริษัทก็ได้ชี้แจงถึงแผนงานการทำงาน และสรุปว่าไม่มีการยกเลิกสัญญาและอนุญาตให้ดำเนินงานต่อ หลังจากนั้น มีทีมงานทั้งครีเอทีฟ โปรดักชั่น พีอาร์ คุยกับน้องพอร์สถึงคอนเซ็ปต์เอ็มวี สเต็ปการพัฒนาศิลปิน ไปเรียนการพัฒนาบุคลิกภาพต่างๆ
วันที่ 9 มิถุนายน ได้มีการโอนเงินค่าเพลง 50% ให้คุณเอก เรามีการลงทุนกับเขา มีการจ้างโปรดิวเซอร์ที่ไม่ใช่ระดับกระจอก โดยเพลงตั้งใจออกเดือนสิงหาคมตามแพลนแรก ก็ยอมรับว่าการที่น้องสยามแตกเป็นเหตุให้เรากลับมาเอาเพลงเดิม ไม่ทำใหม่ คนอาจจะมองว่าเกาะกระแสแต่มันคือความจริง แต่เราขอความเป็นธรรมว่าการทำงานของเราทำมาก่อนสยามแตก ในแชตก็ยังมีการคุยงานกับน้องพอร์สเรื่อยๆ วันที่ 14-21 มิถุนายน ก็ยังทำงานกันต่อ สรุปงานกับน้องพอร์ส
วันที่ 16 มิถุนายน น้องขอแคนเซิลนัดทั้งหมด แล้วเปลี่ยนเป็นขอนัดให้คุณพ่อเข้ามาคุยที่บริษัทวันที่ 21 มิถุนายน แทน จากเดิมที่ต้องไปอัดเพลง พอถามเหตุผลในการแคนเซิลงาน น้องก็แชตตอบกลับมาว่า ‘อยู่ในระหว่างการคุยเรื่องสัญญาครับ ขอคุยให้เสร็จก่อน’ อันนี้เป็นครั้งแรกที่น้องพูดเรื่องสัญญาขึ้นมา ทุกอย่างเกิดขึ้นจากสยามแตก
จากนั้นมีข่าวออกมาว่า วง Yes Indeed ถูกทาบทามจากค่ายใหญ่ ซึ่งทางค่ายก็ยื่นข้อเสนอที่จะทำงานร่วมกันแบบคู่ขนานไป
ศรายุทธ ผู้จัดการทั่วไป : “วันที่ 21 มิถุนายน พอร์สและพ่อได้เดินทางมาที่บริษัทเพื่อพูดคุยกัน พร้อมผู้บริหาร ทนาย และพาร์ตเนอร์ ทางค่ายก็ได้ชี้แจงแผนงานให้ฟังอีกครั้งและแสดงเจตจำนงว่ายินดีที่จะร่วมงานกับค่ายอื่นได้เพราะตอนนั้นมีการแจ้งมาว่า วง Yes Indeed ถูกทาบทามจากค่ายใหญ่ เสนอไปว่าให้อีกค่ายมาคุยกับทางเราเพื่อให้น้องและวงไปต่อได้ และตอนนั้นก็มีงานติดต่อมาที่บริษัทและงานที่ทำไว้แล้วด้วย เลยมีการขอคิวน้องจากทางคุณพ่อเพื่อทำงานต่อ และขอใช้สิทธิ์การเป็นต้นสังกัดเสนอ 2 ตัวเลือกว่า ถ้าอยากเล่นเป็นวง เราทำเพลงเป็นวงให้เอาไหม ซึ่งเขาก็ไม่เอา หรือถ้าคนอื่นในวงไม่อยากอยู่ค่ายเล็กแบบเรา เขาจะไปสังกัดอื่นได้ แต่ขอให้ทางโน้นมาคุยเรื่องงานกับเรา ซึ่งทางเลือกนี้เขาก็ไม่เอา
รวมถึงพูดเรื่องงานต่างๆ ที่พ่อรับมาเองโดยไม่ผ่านค่าย เรายืนยันว่าไม่เป็นไรและไม่รับส่วนแบ่ง แต่บทสรุปคือแค่ขอให้บอกเราหน่อยน้องเล่นที่ไหนยังไง เพื่อรู้วันว่างของน้อง และรับงานไม่ชนกัน และวันนั้น 21 ก็ยังไม่ได้ยกเลิกสัญญา เดินหน้าต่อไป โดยเย็นวันนั้นน้องก็ยังมาขอสนับสนุนเอียร์มอนิเตอร์ ซึ่งเราก็ยินดีสนับสนุนด้วย จนวันที่ 22 มิถุนายน มีการคอนเฟิร์มนัดในวันที่ 23 มิถุนายน คิวโฟโต้ชู้ต สุดท้ายน้องพอร์สไม่ได้มา มีพ่อกับแม่มาเพื่อบอกเลิกสัญญาอีกครั้ง ซึ่งวันนั้นก็ได้มีการโพสต์โปรโมตซิงเกิ้ลใหม่ของพอร์สไว้ด้วย และที่เป็นรูปเก่าไม่ได้หมายความเราไม่ทำอะไรกับน้องจนไม่มีรูป ทำอะไรลวกๆ เพื่อมาเกาะกระแสน้องนั้นไม่เป็นความจริง”
จากนั้นทางบริษัทได้รับหนังสือยกเลิกสัญญา และทางบริษัทก็ได้ตอบปฏิเสธการยกเลิกสัญญาไป
ทนายนิด้า : “วันที่ 24 มิถุนายน ได้มีการส่งหนังสือยกเลิกสัญญามา ลงชื่อน้องพอร์ส ต่อมาวันที่ 29 มิถุนายน บริษัทตอบปฏิเสธการยกเลิกสัญญาขอให้ปฏิบัติตามสัญญาไป จากนั้นวันที่ 15 กรกฎาคม บริษัทออกประกาศว่าน้องพอร์สเป็นศิลปินในค่ายของเรา เหตุผลที่ออกประกาศเพราะหลังจากที่คุณพ่อมาบอกเลิกสัญญาเราก็เกลี้ยกล่อมเพราะเราไม่ได้ทำผิดอะไร เราอยากทำงานให้ลุล่วงตามสัญญา
สุดท้ายจบกันไปที่ว่าปล่อยให้ทำ แล้วงานที่เราเคยบอกว่าจะรับงานอะไรตามหลักสัญญาให้มาขออนุญาตได้รับความยินยอมจากเราก่อนไม่ต้องแล้วก็ได้ รับเลย หลักฐานตัวนี้เราก็มี ว่ารับเลย แต่ขอให้แจ้งเราหน่อยว่ารับงานอะไรบ้าง เมื่อไหร่ เพราะเมื่อซิงเกิ้ลน้องออก ทางเราเองก็ต้องรับงานเหมือนกัน เรากลัวว่างานเขากับงานเราจะมาชนกัน เขาก็รับปากว่าจะลิสต์คิวมาให้ แต่ก็ไม่ทำมาให้ เราก็ทวงเขาเรื่อยมา จนเราไม่มีทางเลือกจนต้องติดต่อไปที่คนว่าจ้างน้องแทน เราจำเป็นที่จะต้องออกประกาศเพื่อแสดงตัวตนว่าเราเป็นเจ้าของสัญญา”
โต้ ค่าย EXP Entertainment เก็บเงินค่าตัวของ “พอร์ส” กับห้างดัง 30,000 บาท
ทนายนิด้า : “ถามว่าเราทราบได้ยังไงว่ามีงาน เราทราบจากกลุ่มแฟนคลับของวง Yes Indeed ในโอเพ่นแชต แล้วเราก็โทร.ไล่ไป หนึ่งในนั้นคือห้างดังที่เราถูกกล่าวหาว่าเราไปเก็บเงินเขามา 30,000 บาท เราก็บอกว่าคุณคะศิลปินที่คุณจ้างหนึ่งในนั้นเป็นศิลปินที่อยู่ภายใต้บริษัทเรา ทางการจ้างจะต้องขออนุญาตผ่านทางเราก่อน เขาก็ตกใจ เขาก็ถามถึงค่าตัวน้อง เราก็บอกเรตไปว่าอยู่ที่ 30,000 บาท ทางเจ้าหน้าที่บริษัทก็เอาข้อมูลนี้กลับมาคุยกับเจ้าของค่าย ซึ่งเจ้าของค่ายก็บอกว่าไม่รับ อย่าไปรับเงินเขาเลยไม่อยากมีปัญหา ซึ่งเรามีหลักฐานตรงนี้อยู่
ทางคุณท็อปให้คนเข้าพิมพ์ไปบอกว่า งานวันนี้ที่ห้าง...ทางค่าย exp อนุญาตให้น้องพอร์สขึ้นเล่นนะครับ ทางนั้นพิมพ์กลับมาว่าโดยไม่มีค่าใช้จ่ายทุกกรณีใช่ไหมเฉพาะสาขานี้นะ ทางเราก็ตอบกลับไปว่าจ่ายกับทางวงได้เลย แล้วตรงไหนที่บอกไปเก็บเงิน 30,000 บาท นี่คือการใส่ความ เป็นข้อเท็จจริงที่เรายังไม่ได้รู้ชัด เขามีสิทธิ์เข้าใจผิดได้แต่เขาไม่ควรพูด ถ้ามีหลักฐานในการจ่ายเอามา นิด้าจะขอถอนตัวจากการเป็นทนายความคดีนี้จริงๆ”
ไม่ขอชี้นำประเด็นที่ชาวเน็ตมองว่า “พอร์ส” ดังแล้วค่ายอยากเกาะกระแส หรือ พอ “พอร์ส” ดังแล้วอยากแยกวง แต่อยากให้มองจากข้อมูลจริงที่วันนี้ทางค่ายได้แจ้งไป
ทนายนิด้า : “ขอไม่ชี้นำใดๆ ทั้งสิ้น เราต้องการออกมาเล่าไทม์ไลน์ที่แท้จริงให้ได้ทราบกัน ส่วนคนจะเห็นอย่างไรมองได้ทั้งหมด มองได้ทุกอย่างเลยว่าน้องสยามแตกแล้วค่ายไปเกาะกระแสก็ได้ หรือจะมองว่าน้องดังแล้วฉีกสัญญา มันมองได้หมด แต่การที่มองแล้วตัดสินใจเชื่ออย่างไรก็ต้องมองอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง วันนี้เรามาเล่าถึงข้อเท็จจริงให้ฟังว่าเราทำอะไรกับน้องบ้าง ให้สังคมบอกว่าเราทำน้อยไป หรือมากไปสำหรับน้อง สังคมจะเป็นคนตัดสิน ถ้าถามในมุมเราเราไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ถ้าสังคมจะมองว่ามาเกาะอยู่ดีก็แล้วแต่สังคมจะมอง”
ย้ำทาง EXP Entertainment ไม่ยกเลิกสัญญา ฉะนั้น “พอร์ส” ยังเป็นศิลปินของทางค่ายอยู่ ไม่ใช่ศิลปินอิสระ
ทนายนิด้า : “สัญญาก็ต้องเป็นสัญญา ในวันที่เราเข้ามาทำสัญญากันเราก็ทำกันด้วยความสมัครใจ ในวันที่เราเลิกสัญญากันก็ควรจะเลิกกันโดยสมัครใจ ถ้าเขามองว่าสัญญามันไม่เป็นธรรมมันก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่เขาจะบอกเลิกเรา แต่ในวันนี้เราดูแล้วว่าเราไม่ได้กระทำผิดในสัญญาตรงไหน การที่ศิลปินในทุกค่ายที่มีสัญญา ทางค่ายต้องการคอนโทรลอันนี้ปฎิเสธไม่ได้ แต่ถ้าอยากจะทำอะไรก็ได้ทั้งหมด ก็เป็นฟรีแลนซ์ไป
เราไม่รู้ว่าเราจะยกเลิกสัญญากับเขาทำไม เพราะเราก็มีงานที่เราเตรียมมาแล้ว เรามีเพลงที่เราจ่ายเงินค่าจ้างในการทำไปแล้ว แล้วน้องมีน กับน้องรีวอร์ดอีกสองคนที่รอทำเพลง รอร่วมวงด้วยกันอยู่อีก ก็อยากให้น้องเห็นใจทางเราด้วยที่เราก็ได้มีการลงทุนลงแรงไปแล้วทั้งหมด ในส่วนที่เขาบอกว่าเขาต้องการยกเลิกสัญญา เราก็ต้องบอกว่าเราขอปฏิเสธในการบอกเลิกสัญญานั้น ซึ่งน้องก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าน้องจะต้องทำยังไงในเมื่อเรามีสัญญากันอยู่ เราเองก็ยืดหยุ่นมาตลอด น้องอยากไปเล่นกับวงเราก็ไม่ว่า จะไปรับงานอะไร ขอให้บอกเพื่อที่จะได้ไม่ทับซ้อน เราถอยขนาดนี้แล้วน้องยังไม่เอาเราก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”
เมื่อถามว่า ในทางจิตใจหาก “พอร์ส” หมดใจแล้ว มันจะไปต่อได้ไหม “ทนายนิด้า” ตอบว่า….
ทนายนิดา : “เอาจริงๆ เราก็จนปัญญาที่จะให้คำตอบกับลูกความ เราไม่รู้ว่าเราจะต้องทำยังไง เขาอยากให้น้องกลับมาทำงาน เพราะเงินจ่ายค่ามัดจำไปแล้ว 50% แล้วจะต้องจ่ายส่วนที่เหลืออีก โปรเจกต์ก็รออยู่ เราก็ยืนยันว่าเราปฏิเสธการยกเลิกสัญญา ถ้าเขาไม่มาจะทำยังไง จะไปลากคอมันก็ไม่ใช่วิถีทางตามกฎหมายอยู่แล้ว ถามว่าเรามีสิทธิ์ฟ้องไหม เรามีสิทธิ์ฟ้องเขามานานแล้ว แต่เราไม่ได้มีแนวทางแบบนั้น มันแสดงให้เห็นว่าเรายืดหยุ่นกับเขามากที่สุดแล้ว”
“ท็อป วงศพันธ์” เคลียร์จะไม่ปล่อยพอร์ชไปแน่นอน
ท็อป วงศพัทธ์ : “ไม่ถูกเสียทีเดียว เรามาคุยกันแบบผู้ใหญ่ดีกว่า ในเมื่อตอนนี้สัญญาไม่เคลียร์ ยังไม่ได้ข้อสรุปว่ายังไง ก็เข้ามาคุยกันดีกว่า ตรงกลางสำหรับเราทั้งคู่คือตรงไหน แล้วเราจะไปต่อกันได้ยังไง เพราะสุดท้ายแล้ววงการมันอยู่กันแค่นี้ เรายังต้องเจอกันอีก มันไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องมาจบกันแบบนี้ ผมยังจะได้เจอกันอีกในงานต่างๆ เราอยากเห็นน้องเติบโตในเส้นทางนี้ มันก็คนกันเองกันทั้งนั้น ผมคิดว่ามาเคลียร์กันให้เรียบร้อยดีกว่า ผมว่ามันเคลียร์กันได้ครับ เราพยายามติดต่อให้เขามาเคลียร์กับเราเรื่อยๆ แต่เขาก็เงียบ ครั้งสุดท้ายที่เขาติดต่อกลับมาคือวันที่ 29 มิ.ย. ทางไลน์”
ทำใจยอมรับสภาพหากออกมาชี้แจง ประชาชนยังไม่เชื่อก็ตาม ย้ำที่ออกมาแถงข่าวเพราะอยากให้สังคมรู้ว่าทางค่ายได้เตรียมการอะไรไว้ให้ “พอร์ส” บ้างไม่ได้จะมาชุบมือเปิบเอาตอนน้องดัง
ทนายนิด้า : “ก็ต้องยอมรับสภาพ มันไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าเราไม่พูดกลับเราก็จะต้องเสียหายไปแบบเต็ม 100% เราออกมาพูดบ้างก็น่าจะมีคนที่เข้าใจเรา แต่ถ้ายังมองเราผิดอยู่ดีก็ต้องเข้าใจว่านี่มันคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงๆ ถ้าจะมองว่าเราไม่ดีก็อยากให้มองอยู่ในสตอรี่ที่มันถูกต้อง แต่ถ้าเขาจะฟ้องเรา เราก็ต้องก้มหน้ารับกรรมไป เราก็ต้องสู้คดีกันไป
วันนี้ที่เราอยากออกมาพูด เพราะเราไม่อยากให้สังคมเข้าใจเราผิดว่าก่อนหน้านี้เราไม่ได้ทำอะไรกับน้องเลย เพิ่งเห็นว่าน้องมีตัวตนเริ่มมาทำอะไรกับน้องในวันที่น้องดังเป็นพลุแตกในวันที่ 3 มิ.ย. อันนี้เป็นข้อความที่ใจร้ายเหลือเกิน ซึ่งจริงๆเราทำมาตลอด มันเป็นเรื่องของความบังเอิญจริงๆ ที่เราก็เตรียมทำงานมาอยู่แล้ว และน้องก็เกิดมาดังพอดี แล้วเราก็ยังต้องทำตรงนี้ต่อไป ถ้าบอกว่าเรามาเกาะน้องดังมันก็มองได้อีกแง่นึงเหมือนกัน หรือว่าน้องดังแล้วต้องการฉีกสัญญามันมองได้ทั้งหมด มองมุมไหนก็ทำร้ายทั้งคู่อยู่ดี
ตัวน้องพอร์ชเองก็ยังเป็นเยาวชน เราไม่อยากออกมาพูดอะไรให้มันกระทบน้องไปมากกว่านี้ แต่มันอาจจะมีบางข้อเท็จจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทำให้น้องได้รับผลกระทบ แต่นั่นมันคือสิ่งจำเป็นเพราะเราเองก็ยังต้องมีหน้าที่ทำมาหากินต่อไป ยังมีหน้าที่บริหารค่าย ดูแลพนักงานบริษัท มีศิลปินในค่ายคนอื่นต้องดูแล”
รับค่ายกระทบ กับประเด็นที่อีกฝ่ายออกมาพูดว่าเป็นสัญญาทาส แจง “พอร์ช” มีสัญญา 3 ปี ตอนนี้เหลือ 2 ปี แถมทำงานได้เงิน 80%
ทนายนิดา : “การออกมาพูดแบบนี้มันทำให้อนาคตวันนึงที่เรามีโอกาสปั้นศิลปินอื่นๆ การมีคำพูดแบบนี้ออกมา มันอาจจะทำให้เราเสียโอกาสในการที่ใครจะเข้ามาร่วมงานกับเรา อันนี้เราก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินการ หากมีการพูดถึงเราในทางที่บิดเบือน โดยเฉพาะในเรื่องของการรับเงิน การที่น้องวง Yes Indeed ไปรับงานแล้วเรายังไปเรียกเก็บเงินเขา นิด้ากล้าพูดว่าข้อความนี้เป็นข้อความที่ใส่ความ นิด้ากล้ายืนยันว่าไม่มีการเรียกเก็บเงินใดๆ นิด้ารีเช็กหมดแล้ว”
ท็อป วงศพัทธ์ : “น้องเซ็นสัญญากับเรา 3 ปี ตอนนี้เหลืออีก 2 ปี”
ทนายนิด้า : “ในส่วนของผลตอบแทน ทุกอย่างที่เข้ามาในนามบริษัท น้องได้ 80% บริษัทได้ 20%”
เคลียร์กรณีบ็อกเซอร์ไม่ได้บังคับให้ใส่
ทนายนิด้า : “เรายอมรับว่ามีการให้ถือจริงๆ เพราะบ็อกเซอร์เป็นสปอนเซอร์ในคลิป มคร เราไม่ได้บังคับแม้กระทั่งให้ใส่ เรามีคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ไปแล้วในวันที่ 26 เม.ย. ทางคุณพ่อและพอร์ชไม่เคยมีการต่อว่าหรือกล่าวว่าไม่พอใจแต่อย่างใด ส่วนบ็อกเซอร์ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ของทางค่ายเป็นของสปอนเซอร์สนับสนุนมาเพื่อให้เราทำเทปต่างๆ เราก็ถือให้เขาเพื่อเป็นการโปรโมต
ในส่วนของคลิปมีทั้งหมด 3 คน คือมีน พอร์ช รีวอร์ด เราขอให้น้องๆ ช่วยถือและเชียร์ขายของ น้องก็ถือกันคนละตัว แล้วก็ตามสเต็ปของน้องเลย ฟรีสไตล์ มีมีน กับ พอร์ชเอาไปใส่ รีวอร์ดไม่ได้ใส่ ถ้าเราบังคับก็ต้องจับใส่ทั้ง 3 คน แต่นี่เราไม่ได้บังคับ แล้วต้องแยกแยะนะ บอกว่าเราไม่ผิดเราไม่ได้พูดอย่างนั้น เราแค่แก้ตัวก่อนว่าเราไม่ได้บังคับ แต่ต่อให้ไม่บังคับแล้วเหมาะสมหรือไม่ อันนี้เราน้อมรับ โอเคหากมองว่าไม่เหมาะสมทางค่ายอาจจะไม่ได้มองเรื่องนี้ แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีการบังคับให้ใส่ แต่ขอให้ช่วยถือโปรโมต ซึ่งเรามีไฟล์ที่เห็นตั้งแต่ก่อนถ่าย ที่น้องใส่เอง ตามฟีลของน้อง
เราไม่ได้พูดว่าเขาบิดเบือนนะ สิ่งที่เขาพูดมันเป็นความจริงว่าเราขอให้น้องถือขายของ แต่สิ่งที่ไม่จริงก็คือเราไม่ได้บังคับ ถ้าน้องยืนยันอีกว่าเราบังคับ เราก็คงจะต้องขออนุญาตน้องที่จะเปิดเทปที่เรามี แล้วเขาไม่ได้ใส่บ็อกเซอร์ตัวเดียว เขาใส่ทับเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่”
“ท็อป วงศพัทธ์” ย้ำ อยากให้มาเคลียร์เพื่อหาทางออกร่วมกัน ไม่ควรเลือกจบกันด้วยวิธีนี้
ท็อป วงศพัทธ์ : “จริงๆ การทำงานทุกอย่างมันคุยกันได้ ตอนนี้พอร์สโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว รูปแบบในการทำงานมันไม่ได้ฟิกซ์ว่าทำที่นี่แล้วจะทำที่นั่นไม่ได้ บริษัทเดี๋ยวนี้เขามีบริษัทพาร์ตเนอร์อยู่หลายบริษัทที่เซ็นด้วยกันแล้วร่วมกันทำงาน ผมว่าท้ายสุดแล้ว ก็คือการผลักดันและส่งเสริมให้เขาไปข้างหน้า มีผลงานที่ดีออกมา มีแฟนคลับ คือมันทำงานส่งเสริมกันได้
การที่เขาจะมาจบแบบนี้มันไม่ควรเลย โดยเฉพาะเขาเองเป็นคนที่เพื่อนผมฝากมาด้วย ไม่มีเหตุผลเลยที่ผมจะไม่ส่งเสริมและผลักดันเขา เราคือคนกันเอง ผมอยากให้เขาคุยกันแบบผู้ใหญ่คุยกันดีกว่า อยากทำเพลงอะไร ตอนที่เขาเข้ามาผมยอมเขาทุกอย่าง แต่เพื่อนไม่อยากมาที่นี่ งั้นให้บริษัทเพลงอีกทีนึงมาคุยกับผม ให้บริษัทมาคุยกันมันจะได้หาจุดที่ทำงานด้วยกันได้ เราหาทางออกเสมอเพื่อให้ทุกอย่างไปต่อได้ แต่คราวนี้ก็อยู่ที่ผู้ใหญ่ด้วยว่าจะสนับสนุนขนาดไหน ต่อให้เด็กมาแต่ผู้ใหญ่ไม่โอเค แทนที่จะเป็นทางออกร่วมกันมันก็จะเป็นความแตกหักอย่างนี้ ฉะนั้นเข้ามาคุยกันดีๆ ดีกว่า ผมอยากให้ทุกอย่างราบรื่น
ผมอยากเห็นเขาโตขึ้น เขาให้สัมภาษณ์บอกว่าเขามีความฝัน ผมเองและทุกคนที่นี่ก็มีความฝัน ผมก็อยากจะพาทุกคนไปข้างหน้าเหมือนกัน”
จากที่ชาวเน็ตคอมเมนต์ว่าคดีนี้เป็นศึกช้างชนช้างระหว่างทนายด้วยกันด้วย “ท็อป วงศพัทธ์” บอกไม่ได้ตั้งใจเอามาชนกัน
ท็อป วงศพัทธ์ : “ไม่ได้ตั้งใจจะเอามาชน คิดว่าทนายนิด้าเหมาะสมที่สุดกับเรา เราไม่ได้จะไปท้าชนใคร ครั้งแรกที่เจอก็เอาข้อมูลจริงมาคุยกัน เขาถามผมเยอะมาก”
ทนายนิด้า : “ขยี้เขาจนเหมือนเขาเป็นผู้ต้องหา สิ่งที่พูดมามีหลักฐานอะไรซัปพอร์ตบ้าง สนับสนุนบ้าง แชตทั้งหมดไปปริ้นต์มา ปริ้นต์ทุกหน้าอย่าให้ขาดตกบกพร่อง ไฟล์แผนการทำงานทั้งหมด ดูทุกอย่างจริงๆ เพราะเราไม่อยากพลาดในข้อเท็จจริงที่มันยังไม่นิ่ง เรายังไม่รู้จริง เพราะมันอาจจะก่อให้คนอื่นได้รับความเสียหายได้ แค่อาจจะก็ไม่อยากทำแล้ว เพราะเราไปแก้ไขอะไรให้เขาไม่ได้ นิด้าก็จะพยายามระมัดระวังตัวในตรงนี้มากๆ ทุกวันนี้สังคมอาจจะตราหน้าบริษัทไปแล้วถึงขนาดว่าเป็นบริษัทปลิง แมงดา เกาะน้อง สมมติถ้าวันนึงเราขึ้นศาล แล้วเราพิสูจน์ได้ว่าเราไม่ได้เป็นแบบนั้น เราเอาผลของศาลที่พิสูจน์เราแล้วว่าเราไม่ใช่ ถึงวันนั้นคนก็ไม่สนใจแล้ว คนไม่ได้สนใจข่าวดี คนสนใจข่าวร้าย มันเลยจำเป็นมากที่เราจะต้องออกมาพูดในวันนี้เพื่อชี้แจงไทม์ไลน์ให้ชัดเจน”