“ทนายตั้ม” ยัน “พอร์ส yes indeed” เป็นอิสระแล้ว สัญญาค่าย EXP ไม่เป็นธรรม เอาเปรียบ ค่ายได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว ที่ผ่านมาไม่เคยส่งเสริม แต่พอดังสยามแตกเริ่มแสดงความเป็นเจ้าของ พ่อพอร์สรับไม่ได้ให้ถ่ายบ็อกเซอร์ถ่ายโฆษณา ขอยกเลิกสัญญา 6 รอบแต่ถูกปฏิเสธ ขณะที่คู่กรณีสวนทันควัน ซัดบิดเบือน เตรียมชี้แจงศุกร์นี้
กรณีที่ค่าย เอ็กซ์พีเรียนซ์ เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ หรือ EXP ร่อนแถลงจ่อฟ้อง “พอร์ส นรากร อิสระวรางกูล” นักร้องนำวง yes indeed band กรณียกเลิกสัญญา โดยระบุว่าผู้ปกครองเข้ามาขอยกเลิกสัญญากลางคัน หลังได้เซ็นสัญญาไว้มากกว่า 1 ปี แต่ภายหลังกลับรับงานเอง ไม่แจ้งต้นสังกัด ต่อมา “ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด” ได้รับเป็นทนายความให้ฝั่งพอร์ส และมีการแถลงข่าววันนี้ (20 ก.ค.) โดยทนายตั้มยืนยันว่าสัญญาไม่เป็นธรรมกับพอร์ส ตอนนี้อิสระแล้ว
ทนายตั้ม : “วันนี้ต้องแจ้งก่อนว่าผมมาเป็นทนายความผู้รับมอบอำนาจของน้องพอร์สและคุณพ่อ ในการที่จะดำเนินการตามกฎหมาย และแถลงข้อเท็จจริง คุณพ่อก็ทำหนังสือมอบอำนาจมาเกี่ยวกับเรื่องน้องพอร์สกับทางค่ายว่าจะเป็นยังไงต่อไป
น้องพอร์สได้เล่าให้ผมฟังก่อนจะมาแถลงข่าว ว่าน้องมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักร้องอาชีพ เขาก็ทำตามความฝันด้วยการไปร้องเพลงเปิดหมวกกับน้องสาวที่ชื่อน้องแพนเค้ก ไปหลายที่เลย ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย ทีค, เยาวราช, สยามสแควร์ ฯลฯ ตั้งแต่ปี 2563 และพอน้องเล่นเพลงไปเรื่อยๆ ก็มีเอฟซี มีคนติดตามเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็ในช่วง 21 ก.พ. 64 สามารถจัดมีตติ้งได้โดยมีเอฟซีมารวมกันในงานค่อนข้างจะเยอะ
พอประมาณมิ.ย.64 ลูกพี่ลูกน้องของคุณแม่มาบอกว่ามีเพื่อนทำงานอยู่ที่ค่าย EXP เขาต้องการให้น้องพอร์สไปออดิชั่น จากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ทางค่ายติดต่อมาว่าให้น้องเข้ามาเซ็นสัญญา ตอนนั้นน้องก็ไปเอาสัญญามา แต่ยังไม่ได้เซ็น เอามาปรึกษากับทางบ้านก่อน และคุณพ่อก็ได้มีการคุยกับทางค่าย
ทางค่ายก็รับปากอยู่หลายเรื่อง อย่างเรื่องว่าจะฝึกฝนน้องพอร์ส หาครูมาสอนร้องเพลง หรือพัฒนาบุคลิกภาพในการที่จะเป็นนักร้องนักดนตรีในอนาคต และช่วงนั้นน้องพอร์สกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยพอดี ก็กำลังหาที่เรียนที่สามารถจะทำกิจกรรมได้โดยไม่เสียการเรียน ทางค่ายก็รับปากกับคุณพ่อว่าจะเป็นคนจัดหาที่เรียนให้
คุณพ่อก็เลยคุยกับน้องพอร์ส และให้น้องพอร์สเซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 64 แต่หลังจากวันที่เซ็นสัญญาแล้ว 7-8 วัน ทางค่ายก็ให้น้องไปถ่ายชู้ตติ้งเพื่อเก็บโปรไฟล์ไว้ ก็คืออยู่ในช่วงเดือนมิ.ย.64 จากนั้นทางค่ายก็ได้มีการทำช่องยูทิวบ์ ก็จะมีน้องพอร์สกับเพื่อนอีก 2 คน เพื่อโปรโมตสินค้าของทางค่าย หรือไม่ทางค่ายก็จะไปรับรีวิว โดยให้น้องทั้ง 3 คนรีวิวสินค้าให้กับทางค่าย ครั้งนึงได้ค่าจ้างไม่กี่บาท วันนึงอาจจะถ่าย 2-3 เทป ให้ค่าจ้างน้องต่อครั้งที่ไปคนละ 1,000-1,500 แต่วันนึงไปต้องถ่ายได้ 2-3 เทปแน่นอน
ทีนี้พอทำยูทิวบ์แล้ว ติ๊กต๊อกของน้องตอนนั้นมีคนติดตามเยอะแล้ว ซึ่งติดตามมาก่อนที่จะมาเซ็นสัญญา มีคนติดตามเป็นแสนคน แต่ค่ายเขาก็มีติ๊กต๊อกของเขาเหมือนกัน แต่คนติดตามแค่หลักหมื่นต้นๆ ค่ายก็เลยขอให้น้องไปคอลแลปส์ระหว่างติ๊กต๊อกของน้องกับติ๊กต๊อกของค่ายเพื่อจะได้ดันยอด ให้คนติดตามค่ายเยอะขึ้น และทุกครั้งที่ไปทำติ๊กต๊อกให้ค่าย น้องก็ไม่เคยได้รับค่าตัวเลย โดยค่ายบอกว่าให้น้องทำไปก่อน ถ้ามีรายได้เข้ามาก็จะมีการแบ่งรายได้ให้ แต่ทำมาหลายครั้งก็ไม่เคยได้รับแบ่งรายได้
จากนั้นครอบครัวน้องพอร์สก็พยายามคุยว่าจะยกเลิกสัญญายังไง เพราะทางค่ายไม่ได้ทำตามที่ตกลงเลย ไม่ว่าจะเป็นการสมัครหาที่เรียนให้น้อง ก็ไม่ได้มีการไปติดต่อจนพ่อน้องต้องไปจัดการเองทั้งหมด และไม่มีใครมาฝึกฝนน้องด้วย ไม่มีการเทรน ไม่มีการโปรโมตน้องในช่องทางใดๆ เลย ครอบครัวก็เลยพยายามไปคุยกับทางค่าย เพื่อยกเลิกสัญญามานานแล้ว แต่ระหว่างนั้นน้องพอร์สก็ยังไปเล่นเพลงเปิดหมวกอยู่ จากตอนแรกมีแค่น้องแพนเค้กคนเดียว แต่ตอนหลังก็เริ่มมีเป็นวง มีน้องมังกร น้องทะเล และน้องตินที่เป็นน้องคนเล็กสุด ในชื่อวง yes indeed band ซึ่งทางค่ายก็ได้มีการให้น้องพอร์สโปรโมตสินค้าในช่องทางไอจีของน้องเอง
.
แต่ที่ครอบครัวไม่พอใจอย่างมากก็คือ ทางค่ายให้น้องไปโฆษณาเพื่อที่จะใส่กางเกงในบ็อกเซอร์ และอัดคลิปลงยูทิวบ์ แต่ตัวน้องไม่ยอม เพื่อนเขาก็เลยใส่แทน ก็คือเป็นกางเกงบ็อกเซอร์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ของทางค่าย ที่จะให้น้องทั้ง 3 คนใส่และถ่ายคลิป พ่อของน้องก็เห็นว่าคงไม่ไหวแล้ว ก็พยายามไปคุยกับทางค่ายว่าจะยกเลิกสัญญา คุยกันประมาณ 6 ครั้ง แต่ค่ายก็ปฏิเสธตลอด ไม่ขอยกเลิกสัญญา”
ลั่นตั้งแต่ทำสัญญาตั้งแต่มิ.ย. 64 - พ.ค. 65 ค่ายไม่เคยโปรโมตพอร์ส แต่พอพอร์สเริ่มดังก็เริ่มไปบอกสื่อว่าพอร์สเป็นศิลปินสังกัดตัวเอง
ทนายตั้ม : “คือน้องพอร์สทำสัญญากับค่ายเมื่อเดือนมิ.ย.64 จนถึงปลายพ.ค.65 แต่ทางค่ายไม่เคยมีการโปรโมตน้องพอร์สเลย ในไอจีของค่ายไม่เคยมีรูปน้องพอร์สเลย แต่มาโพสต์ครั้งแรกคือ 24 พ.ค. ก็คือเอาศิลปินของค่ายทั้งหมดมารวมกัน ก็ยังไม่มีรูปน้องพอร์สอีก
คือการที่น้องไปเล่นเพลงเรื่อยๆ คนติดตามก็เยอะขึ้น น้องก็ไปเล่นหลายที่ จนวันนึงไปเล่นที่สยามสแควร์ วันที่ 3 มิ.ย.65 วันนั้นคือวันที่เปลี่ยนชีวิตน้องเลย วันนั้นมีนักข่าวและคนที่ไปดูเยอะมาก วันนั้นรอบสยามรถติดหมดเลย ข่าวก็ลงว่าวันนั้นคือวันสยามแตก พอสื่อเริ่มจับจ้อง แสงก็เริ่มมา คนเริ่มสนใจว่าเด็กกลุ่มนี้เป็นใคร หลังจากวันนั้นทางค่ายก็เริ่มมีการพูดถึงน้องพอร์สขึ้นมา เริ่มมีการแชร์ข่าว เริ่มไปบอกกับสื่อหลายๆ สำนักว่าพอร์สเป็นศิลปินของค่ายตัวเอง ทั้งๆ ที่คุณพ่อไปขอยกเลิกหลายรอบแล้ว
ก่อนหน้านี้มีศิลปินดังคนนึงเขาแต่งเพลงให้พอร์ส แต่ทางค่ายปฏิเสธ อันนี้มีแชตไลน์เป็นหลักฐาน ศิลปินคนนี้บอกว่าได้ติดต่อทางค่าย แต่ทางค่ายไม่เอา แล้วเงินเขาก็ไม่ได้ แต่พอหลังวันที่ 3 มิ.ย.ค่ายกลับติดต่อเขา บอกว่าจะเอาเพลงและจ่ายเงินให้เขาเรียบร้อย
.
ทีนี้ทางค่ายรู้แล้วว่าคุณพ่อต้องการยกเลิกสัญญา และได้ไปบอกเลิกด้วยปากเปล่ามาหลายครั้ง โดยคุณพ่อให้เหตุผลว่าที่ต้องยกเลิกสัญญา เพราะทางค่ายไม่เคยส่งเสริมหรือต้องการที่จะปั้นพอร์สจริงๆ เพราะตลอดระยะเวลาเป็นปีไม่เคยมีการส่งเสริมอะไร พอค่ายรู้แบบนี้ก็เลยออกรูปที่น้องพอร์สถ่ายไว้ตั้งแต่ตอนที่ชู้ตติ้งเมื่อปีที่แล้ว เมื่อเดือนมิ.ย.64 แล้วหลังจากวันที่ 3 มิ.ย.65 ก็โพสต์ว่าเตรียมพบกับซิงเกิ้ลแรก เริ่มมาโปรโมตว่าน้องเป็นศิลปินของทางค่าย และอ้างว่ามีการเทรนมาแล้ว แต่จริงๆ คือไม่ได้มีการเทรนอะไรเลย”
แฉค่ายไม่เคยออกเงินสนับสนุนแม้แต่ครั้งเดียว
ทนายตั้ม : “ซึ่งก็มีค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้ทางน้องพอร์สมา ซึ่งผมได้คุยกับทางคุณพ่อคุณแม่แล้ว ปรากฏว่าไม่เป็นความจริงเลย จริงๆ แล้วค่ายไม่เคยเอาน้องไปฝึกเพื่อเป็นศิลปิน ไม่เคยเอาไปพัฒนาบุคลิกภาพ แม้แต่ตอนที่น้องไปเล่นเพลงเปิดหมวก ทำกิจกรรมดนตรีให้ค่าย หรือออกงานในนามค่าย ค่ายไม่เคยสนับสนุนอุปกรณ์ดนตรีเลยแม้แต่ครั้งเดียว เครื่องแต่งกายก็ไม่เคย มีแค่เคยแต่งหน้าทำผมให้ 2 ครั้ง สิ่งที่ค่ายมักจะทำก็คือให้น้องพอร์สกับเพื่อนๆ ไปถ่ายสินค้าเพื่อแลกกับเงิน 1,000-1,500 ต่อวัน ต่อครั้งที่ไป
เหตุการณ์หลังจากนี้ค่ายได้มีการโทร.ไปหาสปอนเซอร์หรือผู้สนับสนุนของวงน้องพอร์สนี่แหละ และอ้างว่าค่ายกับทางน้องพอร์สมีสัญญากันอยู่ จะติดต่องานอะไรจะต้องผ่านทางค่ายเท่านั้น และจะหักเปอร์เซ็นต์ทุกงานผ่านทางค่าย เก็บเปอร์เซ็นต์ทุกงานที่เกี่ยวข้องกับน้องพอร์สเลย บางทีไปเก็บของวงด้วยซ้ำ มีงานอยู่ที่ห้างนึงไปเก็บเงินเขา 30,000 บาท โดยที่คนที่รับงานคือวง ซึ่งไม่เกี่ยวกับน้องพอร์สโดยตรง”
ซัดสัญญาไม่เป็นธรรม ค่ายได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว
ทนายตั้ม : “จากนั้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาน้องพอร์สและครอบครัว รวมถึงเพื่อนๆ ในวงก็ได้มาปรึกษากับผม ผมได้เห็นสัญญาแล้ว แต่เนื้อหาของสัญญาได้ทำ คือทำตอนที่น้องพอร์สยังเป็นผู้เยาว์อยู่ จึงได้รับความยินยอมจากคุณพ่อ พอดูสัญญาอย่างละเอียดแล้ว ทาง EXP ได้ประโยชน์แต่เพียงผู้เดียวเลย เพราะสัญญานี้ไม่ได้ระบุเลยว่าทางค่ายจะให้สิทธิประโยชน์กับน้องพอร์สเท่าไหร่ เมื่อใด น้องพอร์สไม่อาจรู้ได้เลยว่าตัวเองจะมีรายได้ยังไงและไม่สามารถจะเรียกร้องให้ทางค่ายจ่ายเงินหรือผลประโยชน์ให้กับน้องได้เลย เพราะในสัญญาไม่เคยระบุเอาไว้
ทางค่ายไม่ได้ระบุว่าจะจัดหางานหรือจะจ่ายเงินเมื่อไหร่ ผมถือว่าสัญญานี้มีแต่ผลประโยชน์ของทางค่ายฝ่ายเดียวเลย กลับกันน้องพอร์สไม่ได้อะไรเลย แต่ทางค่ายได้ประโยชน์ตั้งแต่วันที่เซ็นสัญญาเลย แบบนี้ก็เข้าลักษณะของข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และเมื่อสัญญาลักษณะจำกัดสิทธิ ปิดกั้นโอกาส ทำให้น้องพอร์สเกิดความยากลำบากในการรับงานต่างๆ ที่ตนเองจะมีรายได้”
มองเอาเปรียบเด็กเกินไป
ทนายตั้ม : “จริงๆ แล้วน้องพอร์สโด่งดังมาจากผลงานของตัวเอง ไม่ได้เกิดจากการปั้นแต่งของทางค่ายอะไรเลย การที่ค่ายออกมาอ้างสัญญาต่างๆ ผมมองว่าเป็นลักษณะการเอาเปรียบเด็กนะ และมีเจตนาแต่จะมุ่งขอส่วนแบ่งรายได้จากน้องพอร์สเป็นหลักเลย จึงทำให้น้องพอร์สซึ่งเป็นผู้เยาว์เสื่อมเสีย เสียหาย และเสียโอกาส เสียรายได้ ทางกฎหมายเรียกว่า เป็นอุปสรรคต่อการเจริญก้าวหน้าในอาชีพนักดนตรี เข้าลักษณะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 27 วรรค 3 ซึ่งคุณพ่อที่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมสามารถบอกเลิกความยินยอม ในกรณีที่ผู้เยาว์ได้ทำสัญญาไปแล้วได้ และผมก็ได้ทำหนังสือไปให้กับทาง EXP ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และทาง EXP ก็ได้รับหนังสือแล้ว ผมถึงได้นัดผู้สื่อข่าวมาให้สัมภาษณ์หลังจากที่เขาได้รับหนังสือในวันนี้ พร้อมกับแสดงหลักฐานต่างๆ ให้ดูด้วย”
ขู่ฟ้องแพ่งและอาญา หากค่ายแถลงหรือให้ข่าวทำให้พอร์สและครอบครัวเสียหาย
ทนายตั้ม : “ทาง EXP ไม่ต้องมาบอกแล้วนะครับว่าไม่ยินยอมหรืออะไร อันนี้เป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ถ้าทางเด็กผู้เยาว์เสียเปรียบ คุณพ่อหรือผู้ปกครองสามารถจะบอกเลิกการให้ความยินยอมได้ตามกฎหมาย ฉะนั้นนับจากวันที่คุณได้รับหนังสือฉบับนี้ไปแล้ว คุณก็หมดสิทธิที่จะมาอ้างสัญญาแล้วล่ะ และประกาศไว้เลยนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากค่ายมีการแถลงข่าวหรือให้ข่าวในลักษณะที่ทำให้น้องพอร์สหรือครอบครัวเสียหาย ทางสำนักงาน Sittra Law Firm จะดำเนินการทั้งทางแพ่งและอาญากับคนที่แถลงและทางบริษัทให้หมดเลย
หนังสือฉบับนี้คือหนังสือบอกเลิกการให้ความยินยอมอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่เป็นการบอกเลิกสัญญา เพราะมีทนายก่อนหน้านี้เขาทำไปก่อนแล้ว หนังสือฉบับนี้คือมีผลเลยนับตั้งแต่ทางค่ายได้รับหนังสือบอกเลิก คือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การทำสัญญาเราผู้ใหญ่สามารถทำได้เลย ไม่ต้องมีคนให้ความยินยอม แต่เนื่องจากน้องพอร์สเป็นผู้เยาว์อยู่ เวลาที่เขาไปทำสัญญากับใครมันจะเป็นโมฆียะ ภาษากฎหมาย แต่ถ้าผู้ปกครองไปให้ความยินยอม สถานะก็คือสมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมาย แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 27 วรรค 3 บอกไว้ว่าถ้าสัญญาที่ทำให้ผู้เยาว์เสียเปรียบ เสียโอกาส เสียรายได้ ผู้ปกครองที่เคยให้ความยินยอมไปแล้วสามารถที่จะบอกเลิกการให้ความยินยอมได้
ซึ่งผมคิดว่าคงไม่เคยมีค่ายไหนที่จะโดนเรื่องนี้นะ อันนี้น่าจะเป็นค่ายแรกที่ผมใช้เรื่องนี้ในการบอกเลิกการให้ความยินยอม ก็ถือว่าสัญญาจบลงไปแล้ว”
มั่นใจชนะคดี 100 เปอร์เซ็นต์
ทนายตั้ม : “ตอนนี้ทางนั้นยังไม่ฟ้องอะไรครับ แต่เขาก็มีสิทธิที่จะฟ้องได้ วันนี้ที่ผมแถลงข่าวเขาก็มีสิทธิที่จะฟ้องได้ แต่เราเป็นผู้มีส่วนได้เสียอยู่แล้ว เพราะผมเป็นผู้รับมอบอำนาจจากทางคุณพ่อเขาให้มาแถลงข้อเท็จจริง สัญญาที่เซ็นไว้มีกำหนด 3 ปี (มั่นใจว่าเราชนะคดี 100 เปอร์เซ็นต์?) ตอนนี้เรียบร้อยแล้วครับ เป็นการยกเลิกสัญญาตามกฎหมายแล้ว เท่ากับว่าตอนนี้น้องพอร์สก็ไม่ได้ติดสัญญาอะไรแล้ว น้องพอร์สก็สามารถที่จะไปรับงานอะไรได้ตามสะดวกเลย สามารถสร้างรายได้ให้ตัวเองได้ ต้องบอกว่าบางคนอาจจะเข้าใจผิดว่าทางค่ายปั้นพอร์สมา แล้วทำไมทำแบบนี้ คือถ้าปั้นมาจริงๆ น้องพอร์สกับครอบครัวเขาก็คงอยากจะอยู่ต่อ แต่การกระทำต่างๆ ที่ผ่านมา เขาไม่เคยมาส่งเสริมหรือมาช่วยเหลืออะไร แต่พอหลังวันที่ 3 มิ.ย.65 หลังวันสยามแตก กลับเริ่มมาแสดงความเป็นเจ้าของ ทางครอบครัวก็รู้สึกว่ารับไม่ได้”
พอร์สพ้อก่อหน้านี้ไม่มีตัวตน แต่พอมีกระแส ก็รักตน
พอร์ส : “สำหรับผมก่อนหน้านี้เราเหมือนไม่มีตัวตนเท่าไหร่ แต่พอเราไปเล่นที่สยามกับเพื่อนและเกิดเป็นกระแส ก็รู้สึกว่าเขารักเรามากขึ้น เรื่องเพลงก็จะรีบเร่งทำให้เสร็จ ทุกอย่างไวมาก แต่ก่อนหน้านี้แทบจะไม่มีอะไรเลย มีแค่ช่องยูทิวบ์ที่พี่เขาทำให้ครับ หลังเป็นกระแสเขาก็พยายามหางานป้อนให้เหมือนกัน และจะรีบอัดเพลงให้เสร็จเลย”
ไม่ได้พลาด แต่เกิดจากความไม่รู้
พอร์ส : “ผมมองว่าไม่ได้พลาดหรอกครับ แต่มันเกิดจากการที่เราไม่รู้มากกว่า”
ทนายตั้ม : “คือทุกคนก็มีความฝันแหละ น้องก็ฝันอยากเป็นนักร้อง และคิดว่าทางค่ายจะช่วยได้ เขาเอาอะไรมาให้ก็เซ็นหมด”
พอร์ส : “ก็เซ็นสัญญาตอนอายุ 17 ครับ พ่อขอยกเลิกสัญญาเมื่อไหร่ ผมจำวันไม่ได้ แต่จำได้ว่าเป็นเพราะเรื่องเรียนครับ คือทางค่ายพูดไว้ว่าจะมีมหาวิทยาลัยให้ถ้าสมมติผมสอบที่ไหนไม่ได้ ก็จะมีให้แน่นอน แล้วพอเกรดผมมันไม่ถึง ทางค่ายก็บอกว่าต้องไปเรียนเอกชนเอานะ แล้วก็ทิ้งเลย พอพ่อบอกว่าช่วยดูให้หน่อยได้ไหม เขาก็เลยส่งพวกทุนอะไรมาให้ แต่เราก็ต้องไปทำเองทุกอย่าง เหมือนขายฝันเรา ตอนนั้นก็รู้สึกเฟล แต่พูดไม่ได้”
ขู่คนปั่น เมนต์ไม่ดีระวังเจอฟ้อง
ทนายตั้ม : “ก็ถ้าเกิดใครมาพูดถึงน้องไม่ดี ผมเข้าใจว่าทางไอโออะไรก็แล้วแต่นะครับ ที่จะพยายามพูดว่าเขาทำให้ดังแล้วมาทำแบบนี้ คือมันไม่เป็นความจริงนะครับ อันนี้ก็อาจจะถูกฟ้องได้เพราะข้อเท็จจริงวันนี้เราได้แถลงพร้อมหลักฐานหมดแล้ว ถ้าเกิดมีใครพยายามจะไปปั่นกระแสในเพจ เฟซบุ๊ก หรือคอมเมนต์ในทางที่เสียหาย เราก็สามารถดำเนินคดีได้
ผมฝากกับน้องๆ ทุกคนที่มีความฝันเลยดีกว่า ที่อยากจะเป็นนักแสดงหรืออะไร และไปเจอสัญญาในลักษณะของการเอาเปรียบในทุกๆ ทาง ไม่ได้บอกเลยว่าจะหางานอะไรให้เรา หรือฝึกฝนอะไรเรา แต่มาล็อกเราด้วยสัญญา แล้วพอวันนึงเราเกิดดังขึ้นมาได้เอง แล้วจะมาถือสิทธิตรงนี้ ผมสามารถที่จะช่วยได้นะครับ ไม่ได้จะไปยุยงให้คนแหกค่ายนะครับ แต่ถ้าอันไหนที่มันเห็นแก่ตัวหรือเอาเปรียบจริงๆ ผมก็พร้อมจะช่วยน้องๆ ครับ”
พอร์ส : “วันที่คุณพ่อพาไปเซ็นสัญญาน่าจะไม่ได้ปรึกษาใคร แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ตัวผมก็ไม่ได้อ่านเอกสารสัญญาด้วย เพราะคุณพ่อน่าจะได้อ่านบ้าง อันนี้ผมไม่แน่ใจ แต่ตัวผมไม่ได้อ่านครับ แต่ตอนนี้ตัวผมรู้สึกดีมากที่จะได้เป็นศิลปินแล้ว แต่อันนี้เป็นสัญญาของผมคนเดียว ไม่เกี่ยวกับน้องสาวครับ”
หลังจากมีข่าว ค่ายไม่เคยติดต่อ ตอนนี้ไม่มีสังกัด รับงานได้อิสระแล้ว
พอร์ส : “พอเป็นข่าว เขาไม่มีติดต่อเลยครับ”
ทนายตั้ม : “ตอนนี้น้องไม่มีสังกัดแล้วครับ ไม่มีตั้งแต่วันที่ผมส่งหนังสือไปให้ทางค่ายแล้ว แต่ต้องบอกว่าวง yes indeed ไม่ได้เกี่ยวกับค่ายอยู่แล้วคนที่เกี่ยวกับค่ายคือน้องพอร์สแค่คนเดียว แต่เพื่อความชัดเจนก็บอกเลยว่าตอนนี้น้องพอร์สสามารถรับงานได้อิสระแล้ว ถ้าเกิดทางค่ายไปพูดว่าพอร์สยังติดสัญญากับค่าย ทำให้น้องพอร์สเสียหาย เราก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย”
พอร์ส : “พออิสระก็รู้สึกสบายใจขึ้นครับ เพราะผมอยากทำสิ่งที่ผมรักต่อไปคือการร้องเพลง ได้เจอผู้คนเยอะๆ กัยเพื่อนๆ ครับ แต่ก็อาจจะมีกังวลบ้างครับ แต่มันเป็นเรื่องปกติในการที่เราจะเจอคอมเมนต์อะไรต่างๆ แต่ผมคิดว่าทุกคนต่างมีความคิดครับ เราไม่สามารถไปแบ่งแยกความคิดใครได้ หรือเลือกให้ใครมาเข้าข้างเรา เราก็ต้องยอมรับฟัง อะไรที่ผิดผมก็ขอโทษครับ”
เผยศิลปินดังแต่งเพลงให้พอร์ส แต่ค่ายไม่ชอบเพลง
ทนายตั้ม : “ขอไม่เอ่ยชื่อแล้วกันว่าเป็นศิลปินคนไหน แต่ว่าดังครับ”
พอร์ส : “คือค่ายนัดคุยกับพี่ศิลปินคนนี้แล้ว และพี่เขาแต่งเดโมเสร็จแล้ว แต่เหมือนค่ายไม่ชอบเพลงนี้ เขาก็เลยให้ไปแก้เนื้อ และผมมองว่ามันนานมากแล้ว ไม่แน่ใจว่าถึงเดือนไหม แต่ความรู้สึกผมคิดว่ามันนาน เพราะผมอยากอัดเพลงแล้ว ผมก็เลยทักหาพี่เขาส่วนตัว พี่เขาเลยบอกว่าค่ายบอกไม่เอา ยกเลิกไป และค่ายก็ไม่ได้จ่ายตังค์ให้พี่เขาด้วย พี่เขาก็มาบ่นๆ ให้ผมฟัง พอผ่านไปสักพักนึงค่ายนัดพวกเรา 3 คนเข้าไปคุยโปรเจกต์ ผมก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเขาไม่เอาแล้วจริงๆ เขาบอกขอเบรกไว้ก่อน แล้วก็มาทำเพลง 3 คน ซึ่งจริงๆ มันน่าจะถึงเวลาที่ผมต้องออกเพลงแล้ว”
ทนายตั้ม : “แต่หลังจากวันที่ 3 มิ.ย. 65 ทางค่ายก็โทร.กลับไปบอกศิลปินว่าจะเอาเพลงนี้ และจ่ายเงินค่าเพลงด้วย คือเขาปฏิเสธเมื่อวันที่ 31 พ.ค.”
พอร์ส : “จริงๆ ที่คุยแรกๆ เลยคือเขาจะปั้นเป็นศิลปินเดี่ยวครับ แต่พอทำไปทำมาพอทำช่องยูทิวบ์เขาก็เหมือนจะขายเป็น 3 คน เพราะในช่องยูทิวบ์มีพี่ศิลปินคนอื่นอีก 2 คนรวมผมก็เป็น 3 คนครับ ส่วนโอกาสออกซิงเกิ้ลไม่แน่ใจนะครับ แต่น่าจะส.ค.ครับ แต่ยังไม่ได้อัดเลยนะครับ มีแค่ตัวเดโม แล้วเขามานัดอัดทีหลัง แต่ผมไม่ว่าง”
จะร้องเพลงต่อไป
พอร์ส : “ผมยืนยันว่าอยากเป็นนักร้องอยู่แล้ว อยากเป็นศิลปิน ผมก็จะร้องเพลงต่อไปครับ จะตั้งใจทำงานตรงหน้าให้ดีที่สุดครับ ก็จะทำกับเพื่อนๆ ในวงนี่แหละครับ ส่วนถ้าค่ายอื่นเสนอให้เซ็นสัญญา อันนี้ผมมองว่าน่าจะเป็นเรื่องของอนาคตครับ แต่ที่เป็นความสุขของผมตอนนี้คือทำกับเพื่อนๆ ในวง yes indeed ครับ”
ทนายตั้ม : “ก็ถ้าเกิดมีค่ายดังมาติดต่อก็สามารถติดต่อได้ เพราะตอนนี้น้องเขาฟรีแล้ว เขาก็สามารถรับได้ทุกที่ จะร้องเองเปิดหมวกหรือจะอยู่ค่ายก็ได้แล้วครับ”
พอร์ส : “ต่อไปก็จะให้ทนายตั้มดูสัญญาให้แน่นอนครับ (หัวเราะ)”
ทนายตั้ม : “ก็คงจะดูให้น้องครับต่อจากนี้”
วงเป็นห่วงที่ตนต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
พอร์ส : “เขาก็เป็นห่วงผมครับ แต่สัญญากับค่ายมีผมแค่คนเดียวครับ เพื่อนๆ ไม่เกี่ยว”
ขณะที่ค่าย EXP ก็ได้ร่อนแถลงสวนทันควัน ยันสิ่งที่ทนายตั้มแถลงเป็นข้อมูลที่บิดเบือนความจริง ส่งผลให้บริษัทฯ เกิดภาพลักษณ์ในทางลบ พร้อมนัดสื่อมวลชนชี้แจง วันศุกร์ที่ 22 ก.ค. เวลา 13.30 น. ที่บริษัทเอ็กซ์พีเรียนซ์ เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ โดยจะแถลงพร้อมทนายนิด้า ศรันยา หวังสุขเจริญ
