“ปุ๊ย ผอูน” ยิ้มรับฉายา “ผู้กำกับสูติ” ชอบเปิดซิงนักแสดงรุ่นใหม่ มีความสุขทุกครั้งที่ได้ปลุกปั้น ตอบคำถามว่าทำไม? ละครไทยยังวนอยู่กับเรื่องผัวๆ เมียๆ ยอมรับว่าถูกใจคนดู แต่ก็ต้องมีพล็อตใหม่ๆ แต่อย่าล้ำและไม่ซ้ำ เข้ากับรสนิยมคนรุ่นใหม่
“ปุ๊ย ผอูน จันทรศิริ”ชื่อนี้มีแต่คนรู้จัก เพราะนอกจากลือเลืองเรื่องการกำกับละครแล้ว ในอีกมุมนึงเขาคือครูผู้ปลุกปั้นนักแสดงภายใต้แบรนด์ช่องวัน 31 ให้ได้เติบโตเป็นพระเอก นางเอกแห่งยุคมาก็มากหน้าหลายตา รวมไปถึงละครเรื่องล่าสุด “รักสุดท้ายยัยจอมเหวี่ยง”ที่เป็นการจับเอา “บี น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์”มาเจอกับพระเอกลูกรักที่ฟูมฟักมาเองอย่าง “หมอเน๋ง ศรัณย์ นราประเสริฐกุล” รวมไปถึงกับคำถามที่หลายคนสงสัยว่า ทำไม? ละครไทยถึงวนๆ เวียนๆ กับ “ผัวๆ เมียๆ” และบั้นปลายชีวิตว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้กับหน้าที่ของผู้กำกับ
"รักสุดท้ายยัยจอมเหวี่ยง จะเรียกว่าเป็นรักต่างวัยก็ได้ คือจริงๆ แล้วละครเรื่องนี้ เราคิดว่ามันน่าจะมาในช่วงที่ผู้คนค่อนข้างเครียด มันเป็นแนวพาฝันเหมือนกันนะ เป็นเรื่องของแป๊ดผู้หญิงคนนึงที่ผิดหวังมีแผลในชีวิต ผิดหวังกับความรักถูกเจ้าบ่าวทิ้งไปในวันแต่งงาน เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนนี้จะแผลลึกเลย ทำให้คนธรรมดาคนนึงหมดความมั่นใจคิดว่าตัวเองไม่มีค่า เขาทิ้งไปโดยไม่มีคำกล่าวลาใดๆ แล้วก็ไม่บอกล่วงหน้า
แต่ตัวนางเอกเขามีความสั่นไหวข้างใน ให้ความเจ็บปวดนั้นออกทางบ้าพลัง มาเอาดีทางงาน ตั้งใจทำงานให้สำเร็จเพื่อที่จะได้ลืมเสียงนินทานั้น และผลของการที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานคนที่จริงจังมากจะเหวี่ยง เพื่อให้ทุกอย่างมันเป็นไปได้อย่างที่คิด ในยุคนี้ผู้ชายผู้หญิงมีความคล้ายๆ กันคือเพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์ แล้วเขาก็ไม่คิดถึงความรักอีกแล้วจนวัยที่ล่วงเลยไป ประสบความสำเร็จหน้าที่การงานขึ้นทุกทีๆ
วันนึงมีเด็กคนนึงเข้ามาในชีวิตของเขามาเป็นลูกน้องที่ดูแล จริงๆ ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เป็นหัวหน้างานจะไม่กล้าสนิทสนมกับลูกน้องผู้ชายฉันท์ชู้สาวเพราะว่ามันง่ายมากต่อการถูกนินทา แต่วันนึงไอ้เด็กคนนี้มันไม่กลัวอะไรเลย ทั้งๆ แป๊ดเป็นคนที่คนกลัวทั้งออฟฟิศสามารถก้าวเข้ามาเป็นที่ปรึกษาทางความคิดกับหัวหน้างานได้ ทั้งที่อายุต่างกันถึง 12 ปี พี่ถึงบอกว่าเรื่องนี้มันพาฝัน มันตอบโจทย์ เชื่อว่ามีผู้หญิงหลายคนเป็นแบบนี้ แม้กระทั่งเรา ทำงานๆ แล้วพอวันนึงมันมีเรื่องชุ่มชื้นหัวใจ
แต่ไม่ได้เป็นแรงบันดาลให้สาวออฟฟิศว่าจะไปตามหาหรือเปล่า เป็นการสร้างกำลังใจว่าความรักดีๆ ยังมีอยู่ ไม่ได้สิ้นหวัง อย่าไปปิดโอกาสตัวเอง มันมีคำพูดของพระเอกที่ว่า อายุต่างกันแล้วยังไง จริงๆ เราฟังเพลงเดียวกันแต่คนละเวอร์ชั่นนะพี่ฟังพี่เบิร์ด (ธงไชย แมคอินไตน์) ผมฟังบอดี้สแลม หรือแม้กระทั่ง พีพี-บิวกิ้น เอาเพลงเก่ามาโคฟเวอร์ จริงๆ แล้วเรื่องนี้สิ่งที่อยากจะบอกคือความรักมันไม่มีวัยไม่มีเพศ ไม่มีขอบเขตอะไรทั้งนั้นในความเป็นจริง ซึ่งถามว่าเป็นชีวิตจริงของคนยุคนี้ไหม มันก็จริงนะ ยิ่งยุคนี้ยิ่งไม่ค่อยแปลก แต่ถ้า 10 ปีที่แล้วอาจจะแปลกนิดนึง แต่ตอนนี้เราว่าเกือบจะเป็นเทรนด์ด้วยซ้ำ แม้แต่ในละครที่มีอยู่ๆ ก็พระเอกเด็กนางเอกแก่กว่าก็มีออกมาเรื่อยๆ ซึ่งแต่ก่อนไม่มี"
แจงกรณีคนติดภาพว่าเป็นผู้กำกับที่ชอบเปิดซิงนักแสดงรุ่นใหม่ คนไหนอยากให้ดังต้องผ่านมือตน
"ไม่ถึงกับขนาดนั้น เพียงแต่ว่าพอหลังๆ อาจจะด้วยวัย เรารู้สึกว่าเรามีความเอ็นดู เราค้นพบว่าการปั้นเด็ก มันโคตรสนุกเลย มันเป็นอะไรที่เราไม่ค่อยเห็น เพราะภาพซ้ำเขาจะน้อย ยิ่งเด็กรุ่นใหม่เขาจะมีวิธีการแสดงแบบใหม่ที่เราจะงงว่า คนสมัยก่อนรู้สึกอย่างนี้ ก็จะแสดงออกคล้ายๆ กัน
แต่เด็กสมัยนี้เมื่อรู้สึกรีแอ็กเขาจากประหลาดแต่มันได้ผลเดียวกัน แล้วเราจะรู้สึกว่า แจ๋วว่ะ มันเลยเป็นความสนุกในการทำงานกับเด็กรุ่นใหม่ ที่คนอื่นเขาไม่ทำ ที่ไม่ทำ ไม่ใช่อะไรนะ เพราะมันเหนื่อย บางทีมันไม่ได้ดั่งใจ แต่บางทีเรากลับไปบ้านแล้ว เราถามตัวเองว่าที่ต้องการให้มันลงร่องนี้ อยากให้เป็นแบบนี้เพราะเราคิดอย่างแต่ก่อนซ้ำๆ หรือเปล่า เดี๋ยวนี้มันไม่ได้จำเป็นว่า 2 + 2 เป็น 4 มันมีวิธีคิดอีกเยอะแยะให้ได้ 4
มันมีหลายวิธีที่จะไปตรงนั้น เราก็ได้เจอจากพวกเด็กๆ มันเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เราทำได้ และพยายามจะทำ เราพยายามจะให้นักแสดง แสดงในสิ่งที่ตัวเองเตรียมมา และเราก็จะบอกเขาไปว่าสิ่งที่เขาแสดงมาเราเห็นอะไรบ้าง เห็นในสิ่งเดียวกันไหม และน้องเขาจะไปในสิ่งที่เราเห็นเหมือนกันไหม ด้วยวิธีของน้องเอง เราไม่เกี่ยงกระบวนการ แต่ปลายทางต้องเหมือนกัน เรารู้สึกว่ามันสนุกดี
ถามว่าเด็กคนไหนดื้อสุด คือเราโชคดีที่ไม่ได้เจอเด็กดื้อ อาจจะด้วยความอายุมากกว่า เหมือนเราเป็นแม่ เด็กก็เลยไม่ได้ฤทธิ์เยอะ เด็กน่ารักและเขาก็พยายามทำทุกอย่าง เพราะเขามองเราเป็นแม่ หวังดีกับเขา บางคนก็น้อยใจ เสียใจ ทำไหมต้องดุผมคนเดียว อาทิ ตรี (ภรภัทร ศรีขจรเดชา) กับตงตง (กฤษกร กนกธร) เขาไปปรึกษากันจนไม่กินข้าว แต่ตรี คือเขาโกรธมาก จนเขาร้องไห้ เพราะเราดุเหมือนแม่ดุลูกเลย ดุแบบตะโกนลั่นบ้าน เด็กพวกนี้เสียใจเพราะพ่อแม่ไม่เคยดูอะไรประมาณนี้ไง เขาคงเสียใจว่าไม่เคยโดนด่าแบบนี้
เราก็บอกกลับไปว่าฉันก็ไม่เคยด่าใครแบบนี้เหมือนกัน (หัวเราะ) ผ่านไปอีกวันก็หาย เพราะเขาก็จะรู้ว่าเราทำไปเพราะอะไร แต่วันนี้ยิ่งเห็นว่าเขาไปในทางที่สวยงาม เห็นลูกศิษย์ไปได้ดี (นอกจากการแสดงแล้ว ยังสอนวินัยการเป็นนักแสดง?) ถ้าเรารักและเอ็นดูเหมือนลูกหลาน เราจะไม่ยุ่งกับใคร ถ้าเขาคนนั้นไม่เปิดรับ แต่กับเด็กพวกนี้มันเป็นน้อง มันเป็นลูก เวลาเราสอนเขาและพูดออกไปเหมือนแม่เรากำลังพูดอยู่ในหู (หัวเราะ)”
แม้จะเลี่ยงละคร “ผัวๆ เมียๆ” แต่ยังเป็นทาร์เก็ตคนดู เน้นพล็อตใหม่ ไม่ล้ำ แต่ก็อย่าซ้ำ
“ในส่วนของละครพีเรียด ถ้าเรื่องมันสนุกเราก็อยากจะทำ บางเรื่องที่มันเป็นเรื่องสมัยใหม่ แต่พอมันเป็นแนวคิดที่ไม่ใช่สมัยนี้ เราต้องทำเป็นพีเรียด เพราะคนสมัยนี้ไม่คิดแบบนี้ อย่างเรื่องดงดอกเหมย มีเซเว่นฯ แต่แนวคิดที่ครอบครัวคนจีนต้องมีลูกผู้ชาย โอเคสมัยนี้มันอาจจะมี แต่ไม่ได้รุนแรงเหมือนเมื่อก่อน ก็ขอทำเป็นพีเรียด เราไม่เชื่อว่าคนจะยอมมีลูกถึง 8 คนเพื่อรอลูกคนที่ 9 เป็นลูกชายสำหรับยุคนี้ และลดปัญหาในการถกเถียง หรือการคลุมถุงชนหรือการเหยียด การแก้ปัญหาอย่างนึงคือการทำพีเรียด เพราะคนในยุคนั้นคนคิดแบบนี้ แต่มาลัยสามชายหรือสายรักสายสวาทมันมาเป็นพีเรียดเลย แนวคิดในยุคนี้ทุกคนมีแนวคิดเป็นของตัวเอง ในบริบทต่างๆ มาทำเป็นละคร เขาจะคิดว่าเชย เบื่อ ไม่เชื่อ
มันทำให้เรายากในการเลือกบทมาผลิตเป็นละคร ยากมากๆ แม้กระทั่งพูดถึงละครแย่งผัวแย่งเมีย ตอนนี้มันต้องเลี่ยงเป็นอย่างอื่น เพราะคนรุ่นใหม่เขารู้สึกว่าไม่เห็นต้องแย่งเลย หาใหม่สิ แต่สิ่งเดียวที่เป็นพ้อยต์คือกูไม่ยอมแพ้มึง ไม่ใช่ว่าจะเอาผู้ชายมานะ มันคือการที่ผู้หญิงสองคนไม่ยอมกันมากกว่า คนยุคนี้ชอบการเอาชนะกัน ผู้ชายไม่ใช่คำตอบ แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่รายละเอียด
พูดง่ายๆ เลย คนเดี๋ยวนี้ชอบเกาหลี แทบทุกเรื่อง เส้นเรื่องมันคือเรื่องรัก แต่มันจะอยู่ในแพ็กเกจห่อหุ้มแบบไหน การขยันคิดพล็อตล้ำๆ แต่ความรักและจุดประสงค์ของมันยังอยู่ เพราะคนจะชอบเรื่องความรัก เล่ายังไงไม่ซ้ำ เส้นเรื่องก็ยังคิดว่าเป็นความรัก ก็ยังได้อยู่ ซึ่งถามว่าละครแนวผัวๆ เมียๆ ก็เป็นทาร์เก็ตของคนดูคนไทยเลยไหม ลักษณะก็คือยังชอบอยู่ แต่คิดว่าต้องทำหลายแนว เริ่มมีคนจำนวนมากเบื่อแล้ว มันต้องหาบาลานซ์กับรสนิยม ถ้าสมัยใหม่แล้วหนัก ก็ไม่มีคนดู ทำยังไงให้สนุก ไม่ต้องเครียดมากเพราะด้วยยุคสมัยเครียด”
บั้นปลายชีวิตของ “ผู้กำกับ” จะไปต่อ หรือพอแค่นี้ ....
“ก็ด้วยวัยด้วย ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง พอไหม กลัวเส้นเลือดแตก เพราะเราทุ่มเท จริงจังกับงาน แต่ลึกๆ แล้ว ขอยอมรับการทำละครมันสนุก แม้จะบ่นว่าเหนื่อย ได้พักไม่ถึงเดือน อยากทำอีกแล้ว แต่ที่พูดว่าจะไปเป็นเกษตรกร ก็พูดไปเรื่อย (หัวเราะ) ใครจะไปทำได้ แต่ก็ปลูกต้นไม้มาเรื่อยๆ เราจะพูดมาโดยตลอดว่าอิจฉาคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงาน แต่ที่บ้านก็มีที่ทาง บั้นปลายชีวิต
ถ้าสมมติว่าเราเหน็ดเหนื่อยกับการแข่งขันการใช้ชีวิต การใช้สตางค์เยอะๆ กลับไปใช้ชีวิสบายๆ อยากกินอะไรก็ไปเด็ดมา อันนี้คือมองโลกสวย เพราะก่อนจะเด็ดมาได้ ก็ต้องลงแรงปลูกก่อน บางทีที่เราเหนื่อยจากอาชีพนี้ เราแค่คิดว่าถ้าอะไรที่หยุดทำ และเรายังอยู่ต่อไปได้ ไม่อดตาย ตอนนี้ก็ได้แต่ทำงาน ได้เงินมาจะได้ไม่อดตาย ซึ่งเราก็คงทำตรงนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างกายมันจะบอกเองว่าไม่ไหว”
