ย้อนไปสักสิบห้าปี – ยี่สิบปีก่อน...
ตอนนั้นตลกคาเฟ่เกิดขึ้นมากมายหลายคณะ ตระเวนเล่นทั้งในกรุงเทพฯ ฝั่งธนฯ ปริมณฑล รวมถึงตามเมืองใหญ่อย่างพัทยา บรรดาตลกทั้งคณะเล็กคณะใหญ่เดินสายไปเรียกเสียงฮาเป็นว่าเล่น
ผู้เขียนในอีกสถานะหนึ่งซึ่งเป็นประเภทเดินสายเที่ยวคาเฟ่จึงผ่านตากับประดาตลกคาเฟ่ที่บางคนจากดินกลายเป็นดาว และบางรายจากดาวกลับกลายเป็นชีพวายไปเสียแล้ว
กล่าวสำหรับตลกคาเฟ่ที่พอได้ดูเขาเล่นเพียงครั้งเดียวแต่กลับทำให้จดจำและทำนายทายทักว่าหมอนี่คือซูเปอร์สตาร์แห่งวงการบันเทิงไทยโดยไม่จำกัดเฉพาะ ‘ตลก’ อย่างเดียวแน่นอน เขาผู้นั้นคือ ‘หนู เชิญยิ้ม’
ตอนดูหนู เชิญยิ้ม เล่นตลกที่คาเฟ่แห่งหนึ่งย่านปิ่นเกล้า ผู้เขียนยังเห็นลูกวงของเขาคนหนึ่ง จำอะไรไม่ค่อยได้นัก นอกจากสุ้มเสียงห้าวหาญของเขา
เดาว่าเขาน่าจะเล่นลิเกมาก่อน
จนวันเวลาผ่านไปจึงได้มีโอกาสเห็นตลกเสียงผู้ร้ายในจอทีวีกับรายการ ‘ก่อนบ่ายคลายเครียด’ ซึ่งมักรับบทเป็นผู้ร้าย ซึ่งเขาสามารถทำให้คนดูเริ่มจดจำ ว่าเขาคือ ‘โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม’
โดยส่วนตัว ผู้เขียนเห็นว่าโป๊งเหน่งมาจากดิน คือไม่โด่งดัง หรือเป็นที่จดจำในครั้งแรกๆ ที่ได้ดูเขาเล่นตลก จนกระดูกของเขาค่อยๆ สะสมความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สถานะจากดินจึงกลายเป็นดาวที่แขวนดวงไว้กับราวฟ้าอย่างชนิดไม่มีวันตก
มีเรื่องตลกฝรั่งที่ผู้เขียนอ่านจากหนังสือ ว่าในคุกแห่งหนึ่งมีนักโทษคนหนึ่งจะลุกขึ้นเล่านิทานให้เพื่อนนักโทษทั้งแดนขังฟังหลังจากอาหารมื้อเช้า เรื่องที่เขาเล่าทุกวันก็คือเรื่องเดียวเรื่องเดิม ทว่าก็เรียกเสียงฮาลั่นสนั่นคุก
จนวันหนึ่งเขาป่วย เพื่อนนักโทษอีกคนขันอาสาเล่านิทานเรื่องเดิมแทน ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีเสียงหัวเราะแม้สักแอะ ทำให้นักโทษน้องใหม่ถามรุ่นพี่ ไหงเป็นงั้น?
คำตอบที่ได้คือ มันไม่ได้อยู่ที่เรื่อง มันอยู่ที่คนเล่า
ย้อนกลับมาที่โป๊งเหน่ง เขาเป็นคนประเภทนั้นเช่นกัน มีเรื่องเล่าอยู่สองเรื่องที่เชื่อว่าตลกบางคนในเมืองไทยเคยเล่น – เคยเล่า แต่รับประกันไม่มีใครเล่าสองเรื่องนี้ได้ฮาตรึมเหมือนโป๊งเหน่งแน่นอน
เรื่องตลกสองเรื่องคือผัวจะยิงเมียโดยเล็งไปที่หัวนม กับอีกเรื่องคือพาเมียไปเที่ยวฟาร์มจระเข้
ตลกหลายคนในเมืองไทยที่โด่งดัง บางทีบางครั้งคิดแก๊กมาล่วงหน้า บางรายใช้หน้าตา อุปกรณ์ แต่โป๊งเหน่งใช้คำพูด วิธีเล่าเรื่องนำพาดวงเองสู่ความเป็นดาวตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ขอบคุณที่ทำให้หัวเราะจนน้ำตาไหลในหลายๆ ครั้งครับโป๊งเหน่ง