“เฮงเฮง เชิญยิ้ม” เล่า “โป๊งเหน่ง” ต่อสู้โรคร้ายรุมเร้าอย่างเต็มที่ เล่านาทีพ่อร่ำลาแม่ ยิ้มทั้งน้ำตา บอกพ่อห่วงที่สุดคือแม่ ป่วยหนักแค่ไหนก็ต้องถามว่าแม่กินข้าวหรือยัง พร้อมสั่งให้ตนไปหาข้าวให้แม่กิน ยกพ่อเป็นต้นแบบในชีวิตทุกด้าน โดยเฉพาะความรักภรรยา น้อยใจพ่อตลอดไม่เคยชมว่าตนเก่ง จนมาได้รู้วันนี้จากแม่ว่าพ่อชมและภูมิใจในตัวตน
วันนี้ (11 ก.ค.65) ที่ศาลาสามัคคีธรรม วัดช้างใหญ่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ทางครอบครัวได้นำร่างของดาราตลกชื่อดัง “โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม” หรือ “วลัชณัฏฐ์ ก้องภพฐิตารีย์” อายุ 57 ปี ตั้งบำเพ็ญกุศล ท่ามกลางคนบันเทิงที่เดินทางมาร่วมอาลัย โดย "เฮงเฮง เชิญยิ้ม” ลูกชายได้เปิดใจเล่าให้สื่อมวลชนฟังถึงการต่อสู้ของพ่อ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่มีหลายโรครุมเร้าทั้งน้ำตา
“2-3 ปีที่ผ่านมาพ่อสู้อย่างเต็มที่ ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคไตวาย ไตเหลือไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ หมอบอกว่าถ้าอยากจะหายควรต้องมีอย่างน้อยๆ 50 ถึงจะมีสิทธิ์หาย แต่พ่อมีอยู่แค่10 เปอร์เซ็นต์เต็ม100 เขาก็รักษามาตลอด ฟอกไตวันเว้นวัน เราทำการรักษาตามที่คุณหมอแนะนำมาตลอด แต่ด้วยความที่ไม่ได้มีแค่เรื่องของไตอย่างเดียว มันมีอีกหลายๆอย่างมารวมกัน ทั้งความดัน เบาหวาน พอมาทำการรักษาไตเหมือนร่างกายมันถูกใช้งานหนักมากๆ เส้นเลือดที่จะไปเลี้ยงหัวใจมันเลยตีบ 3 เส้น มันไม่ไหลลงไปเลี้ยงร่างกาย
จุดที่เช็กได้คือขา เส้นเลือดมันไม่ไหลลงไปเลี้ยงแล้ว ทำให้พ่อไม่มีแรงที่ขา จะลุกเดินเองเป็นปกติได้ ประจวบเหมาะกับที่พ่อแกไปโดนอะไรมาก็ไม่รู้โดยที่แกไม่รู้ตัว ทำให้แกเป็นแผลที่ขา คนเป็นเบาหวาน แล้วเลือดมันไม่เดินไปอีก มันทำให้แผลเกิดเป็นเนื้อตาย หมอวินิจฉัยต้องตัดขา แต่ด้วยพ่อเขามีหลายโรครวมกัน พอจะผ่าตัดขาก็ไม่ได้เพราะกลัวจะไปสะเทือนหัวใจ พอจะทำบายพาสหัวใจก็ทำไม่ได้ เพราะกลัวจะทนพิษบาดแผลผ่าตัดครั้งใหญ่ไม่ได้ มันเลยทำอะไรไม่ได้เลยเพราะมันจะกระทบกันไปหมด”
ครอบครัวทำตามที่หมอแนะนำทุกอย่าง โดยหมอแจ้งว่าพ่ออาจจะไปทุกเมื่อได้มา 2-3 เดือนแล้ว แต่ตนประเมินว่าพ่อยังไหว
“เราก็ทำตามที่คุณหมอแนะนำทุกอย่างเท่าที่เราจะทำได้ แต่คุณหมอได้แจ้งเรามาประมาณ 2-3 เดือนแล้วว่าคุณพ่ออาจจะหยุดหายใจ หรือไปได้ตลอดเวลานะ เราก็ฟัง แต่จากที่เราดูอาการพ่อมา 2-3 เดือนเราก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ เรามองว่ามันยังโอเคอยู่นะ ดูไม่ได้มีอะไร จนเราลืมคำนั้นของหมอไปแล้ว จนเมื่อช่วงเช้าวันที่ 9 ก.ค. ผมจะออกไปทำงาน ออกมาได้แป๊บเดียวน้องกับแม่พิมพ์มาบอกว่ารีบกลับมานะ เหมือนพ่อหายใจไม่ออก เหมือนพ่อจะไปแล้ว ผมก็รีบขับรถกลับมาหาพ่อ ถามว่าพ่อไหวไหม เดี๋ยวจะโทรหาโรงพยาบาลให้ส่งรถมารับ พ่อก็บอกว่าไหวอยู่ ยังไม่เป็นอะไร
เราก็ประเมินสถานการณ์แล้วเขาไม่ไหว แต่ก็บอกเขาว่าพ่อไม่ไหวต้องบอกนะ เขาบอกว่าไหวแต่เราดูแล้วเขาไม่ไหว เพราะลูกตาพ่อเขาลอยแล้ว ผมรู้จากนิสัยของเขาผมรู้ว่าเขาอยากจะไปที่นี่ ให้เห็นลูกกับเมียอยู่ด้วย เขาไม่อยากโดนส่งตัวไปที่โรงพยาบาลแล้วไปอยู่คนเดียว พอรถใกล้จะถึงเขาก็เฮือกๆ แล้ว กระสับกระส่าย ตาเหลือง ก็บอกเขาทุกคนอยู่ตรงนี้นะ จนขึ้นรถโรงพยาบาลไปเข้าห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลบอกน้ำตาลต่ำ ก็ให้น้ำตาล แล้วเขาบอกว่าพ่ออาจจะเจ็บแผล เราอาจจะต้องฉีดมอร์ฟีนให้พ่อทุก 6 ชั่วโมง เขาจะได้ไม่ทรมาน เราก็โอเคฉีดก็ฉีด”
หลังจากออกจากห้องฉุกเฉิน “โป๊งเหน่ง” อาการเหมือนจะดีขึ้น
“หลังจากที่ออกมาจากห้องฉุกเฉิน คุณพ่อก็เหมือนคนนอนหลับ ไม่รู้สึกตัวอะไร แต่หายใจด้วยตัวเองได้ จนวันที่ 10 ช่วงเช้า น้องพิมพ์มาบอกว่าพ่อลืมตาแล้วนะ แล้วพ่อก็พยักหน้าตอบ รู้สึกตัวแล้ว ตอบเป็นคำ เราก็คิดว่าแกดีขึ้นแล้ว ช่วงบ่ายผมว่างก็ไปเยี่ยมพ่อ อาการแกก็ดีขึ้นจริงๆ ลืมตาเห็น พ่อจำเฮงได้ไหม มองเห็นผมหรือเปล่าเขาก็พยักหน้า เขาบอกเขาพูดไม่ค่อยได้ เขาเหนื่อย เขาพูดได้น้อยนะ เราก็โอเคๆ แค่นี้ก็ดีแล้ว เดี๋ยวก็หาย ผมก็กลับเพราะผมต้องไปทำงานตอนเย็นต่อ”
ที่ผ่านมาไม่เคยให้แม่ “หมู สมญา” มาเยี่ยมพ่อ “โป๊งเหน่ง” เลย เพราะรับไม่ได้ที่พ่อมีสายเต็มตัว แต่ครั้งนี้แม่มา พ่อได้ร่ำลาแม่ ยิ้มทั้งน้ำตา บอกรักกัน
“แล้วแม่เขาจะไม่มาเยี่ยมพ่ออยู่แล้ว ไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อป่วยแม่ก็จะไม่มาอยู่แล้ว เขารับไม่ได้ที่พ่อนอนใส่สาย พ่อกับแม่รักกันมาก ถ้าพ่อเป็นอะไรเขาก็เหมือนเชื่อมใจเหมือนเขาเป็นเหมือนกัน ผมก็เลยไม่ให้แม่มา แต่ก็ไม่รู้ยังไงพี่สาวดันแวะไปบ้าน พูดยังไงก็ไม่รู้แม่ยอมมาแต่สวนกับผม ก็เห็นรถพี่สาวสวนมาตรงโรงพยาบาล ผมก็รีบไปทำงานต่อก็โทร.บอกเขาว่าเยี่ยมพ่อเลยนะผมต้องไปทำงาน
ซึ่งน้องก็โทร.มาบอกว่าพ่อมีความสุขนะ ยิ้ม น้ำตาไหลดีใจที่แม่มาเยี่ยม แม่ก็จากที่ไม่เคยพูดอะไร บอกรักพ่อเขาก็บอกรัก พูดไปว่า 19 ก.ค.นี้ รีบหายนะเพราะเป็นวันเกิดพ่อ เขาก็คุยกันสองคนว่าถ้าหายจะได้ไปกินข้าวกัน คือวันเกิด วาเลนไทน์ เขาก็จะไปกินข้าวด้วยกัน ก็ปกติดีจนแม่กลับประมาณช่วง 3 ทุ่มกว่า พอกลับไปถึงบ้านไม่ถึง 10 นาที
น้องก็โทร.มาบอกว่าให้ทุกคนรีบมาที่โรงพยาบาลด่วน เพราะพยาบาลแจ้งว่าชีพจรพ่อต่ำมาก หัวใจเต้นจาก 60 ครั้ง / นาที เหลือประมาณ 36 ครั้ง / นาที ซึ่งมันเต้นช้ามาก แล้วก็มีหยุดหายใจเป็นพักๆ หยุดหายใจไปนาทีนึงแล้วก็กลับมา เพราะฉะนั้นให้รีบกลับมา ผมก็ทิ้งงานแล้วรีบกลับมาหาพ่อ แต่ผมก็บอกพี่สาวให้ส่งแม่ก่อน เพราะรู้ว่าถ้าแม่มาไม่ไหวแน่ แม่อยู่ไม่ได้แน่ เลยตัดสินใจให้พี่สาวส่งแม่ก่อน พี่น้อง 6 คนก็มารวมตัวกันที่พ่อ ผมมาถึงประมาณ 4 ทุ่ม ทางโรงพยาบาลก็บอกให้สั่งเสียคุณพ่อได้เลย เรารู้แล้วแหละ เราก็พูด ให้น้องพูด หลักๆทุกคนยังเหมือนเดิม”
พ่อห่วงแม่ที่สุด ร่ำไห้เล่าป่วยหนักขนาดไหนก็ต้องถามตนแม่กินข้าวหรือยังและให้ตนไปซื้อข้าวให้แม่กินก่อน ทั้งที่สภาพตัวเองป่วยหนักมากแล้ว
“สิ่งที่เขาห่วงที่สุดคือแม่ เพราะไม่ว่าเขาป่วยหนักขนาดไหนคำแรกที่เขาเจอหน้าผมคำแรกที่เขาต้องถามคือ แม่กินข้าวหรือยัง (ร้องไห้) ทั้งๆ ที่สภาพเขาหนักมาก เขาไม่ค่อยห่วงตัวเอง เขาจะต้องห่วงแม่ตลอดว่าซื้อข้าวให้แม่กินหรือยัง ผมก็บอกว่าไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวดูแม่เอง ก็เลยคุยกับเขาว่าได้ยินพวกผมไหม เขาก็พยักหน้าว่าเขาได้ยินอยู่ตอนที่เขายังไม่ไป ตอน 4 ทุ่ม บอกไม่ต้องห่วงแม่นะ พวกเฮงจะดูแลแม่เอง
พ่อก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะ เดี๋ยวถ้าได้เป็นตลกจะได้ดังแบบพ่อนะ พ่อคอยส่งพลังตลกมาให้เฮงนะ จะได้มีคนจ้าง จะได้มีเงินมาดูแลแม่นะ เพราะในบรรดาลูกทั้งหมดคนที่อยู่ในวงการคือผมคนเดียว ผมเป็น เฮงเอง เชิญยิ้ม ตลกรุ่นสุดท้ายที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เชิญยิ้ม เขาก็ฝากความหวังกับผมไว้มาก เขารู้ว่าเขาจะไม่อยู่แล้ว เขาก็บอกผมตลอดว่าดูแลแม่นะทำอะไรก็แล้วแต่อย่างทิ้งแม่นะ คอยดูแลให้ดีที่สุดเหมือนที่พ่อดูแลไว้”
แม่ทำใจไม่ได้ รู้เป็นคนสุดท้ายว่าพ่อสิ้นแล้ว
“ก็ทำให้ดีที่สุดครับ ตั้งแต่เมื่อวานไม่ให้คุณแม่เล่นมือถือเลย ไม่ให้เล่นโซเชียลอะไร พยายามอ่านแต่สิ่งดีๆ พูดแต่สิ่งดีๆ ให้คุณแม่ฟังเกี่ยวกับเรื่องกำลังใจ พี่ๆ สื่อมวลชนถามถึงแม่ตลอดนะ พวกแฟนคลับถามหานะ ส่งข้อความมาหาให้กำลังใจตลอดนะ แม่ต้องอยู่ให้ได้นะ ก็ใช้เป็นคำพูดแล้วบอกเอา กอดเขา
เพราะว่าเมื่อคืนนี้ทั้งคืน ตอนที่ตัดสินใจไปบอกแม่ แม่ไม่รู้อยู่คนเดียว เพราะรู้ว่าถ้าแม่รู้หนักแน่ ผมโทร.บอกพี่ๆนักข่าว โทร.บอกน้าๆ ตลก ก็เคลียร์ตรงพ่อให้เสร็จจนเข้าห้องดับจิตไปแล้ว ก็กลับไปบอกแม่ ผมเป็นคนบอก ก็บอกเขาว่า แม่..พ่อไปแล้วนะ ผมสงสารแม่มาก แม่เขากอดผมไว้แน่นเหมือนตอนเขารดน้ำพ่อ เขาบอกว่าไม่อยากได้คำนี้เลย แม่ทำใจไม่ได้แล้วแม่จะอยู่ยังไงไม่มีพ่อแล้วใครจะดูแม่ เขาก็กอดผมไว้แน่น เขาก็ร้องไห้กอดผมตลอดเหมือนจะเป็นลม ผมก็บอกให้แม่ใจเย็นๆ พ่อเขาไปสบาย ข้อดีอย่างนึงคือตอนพ่อเขาไปเขาหลับไป ดีที่เขาไม่ทรมานอะไรเลย ลูกสั่งเสีย เขาก็ค่อยๆ ชีพจรเบาลง หัวใจเต้นช้าลง เขาก็หลับไปเลยไม่มีการกระตุกเลย เขาไปสบายจริงๆ”
ยกพ่อเป็นต้นแบบในชีวิตทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องรักภรรยา บอกน้อยใจพ่อตลอดมาไม่เคยชมว่าตนเก่ง จนมาได้รู้วันนี้จากแม่ว่าพ่อชมและภูมิใจในตัวตน
“เขาห่วงอย่างเดียวก็คือแม่ เพราะเขารักกันมาก เขารักกันจริงๆ ผมไม่รู้ว่าจะมีผู้ชายคนไหนรักภรรยาได้เท่าพ่ออีก (เสียงสั่น) ผมมีเขาเป็นต้นแบบตลอดในชีวิตก็คือ เรื่องการเป็นตลก การเป็นนักแสดง และการที่จะมีครอบครัว เราเห็นเขารักกันมาแบบนี้ตลอด หอม กอดกันตลอด ต่อให้แม่จะเปลี่ยนจากผอมมาอ้วนเขาก็ยังรักเมียเขาที่สุด ผมหวังว่าถ้ามีแฟนหรือภรรยาก็จะรักแบบนี้ และพ่อเป็นไอดอลในทุกๆ เรื่อง
จากที่ผมรู้มาจากแม่ แม่บอกว่าเขาตั้งความหวังกับผมไว้เยอะ แต่เขาไม่ค่อยพูด บอกตรงๆ ว่าผมกับพ่อไม่ค่อยได้พูดกันเท่าไหร่ เขาจะไม่ค่อยชม ไม่ค่อยพูดกับผม จะโดนว่า โดนด่าด้วยซ้ำ คนที่ดูจะบอกผมเก่ง ผมตลกแล้ว แต่ถึงพ่อทีไรผมอยากได้รับคำชมที่สุดกลับไม่เคยชมผมเลย เขาจะบอกว่ายังไม่ได้ เป็นลูกโป๊งเหน่งต้องเก่งกว่านี้ ต้องขำกว่านี้ ต้องตลกกว่านี้ (ร้องไห้)
ซึ่งตอนนั้นเราก็น้อยใจที่พ่อไม่เคยชมเราเลย แต่มารู้ทีหลังจากแม่เขาบอกว่าพ่อชมนะ เขารู้ว่าเก่ง ทำได้ แต่เขาไม่อยากชมเดี๋ยวผมหยุดพัฒนา ก็เลยต้องคอยว่า คอยกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา เขาภูมิใจในตัวเฮงนะ ผมมารู้จากแม่เพราะไม่เคยได้ฟังจากปากเขาเลย เขาไม่เคยพูดจนทุกวันนี้ อย่างที่ผมบอกให้เขาคอยส่งพลัง ความตลก ความฮาของพ่อ จากข้างบนลงมาให้เฮงแล้วกัน ไปทำงานอะไรก็ขอเขา ขอให้ตลก ขอให้คนชอบ”