“ไบร์ท นรภัทร” ทำไม? ช่วงนี้ดังจัง เปิดชีวิตกว่าจะเป็นพระเอกช่องวัน ทั้งเกเร ยกพวกตีกัน หวิดถูกแทงกลางห้างดัง ลาออกจาก “วิศวะ” มุ่งมั่นมาเป็นดารา แม้ชีวิตจะสุดดิ่ง แต่ก็ยังสอบได้ที่ 1 เหตุเพราะไม่ยอมให้ใครว่าต่ำกว่ามาตรฐาน
เรียกได้ว่านาทีนี้ผู้หัวสีกำลังมา เพราะแค่เงยหน้าขึ้นมาหลายคนก็ละลายกลายเป็นทาสของเขาไปแล้ว กับผู้ชายที่ชื่อว่า “ไบร์ท นรภัทร วิไลพันธุ์” ที่ต้องยอมรับว่าโด่งดังมาจากบทบาทร้ายได้ใจจาก “ใต้หล้า” ละครฟอร์มยักษ์แห่งปีจากช่องวัน 31 ที่บอกเลยว่าตอนนี้ความดังของผู้ชายลุคแบบแบดบอยกำลังถูกแชร์ไปในทุกๆ แพลตฟอร์ม และกว่าจะมีวันนี้ได้ เรียกได้ว่าสู้ชีวิต แต่บางทีชีวิตก็สู้กลับจนมืดมนหาทางออกในเส้นทางของการเป็นดาราแทบไม่ได้
“กดดัน กังวล คาดหวัง” 3 คำ “พัง” ไม่เป็นท่า!
“ใช่ครับส่วนมากได้เล่นแต่ละครดรามา คือเรากำลังคิดว่าภาพในหัวเรา เราคิดว่าละครมันมีแต่แบบนี้ แต่พอเรามาดูจริงๆ มันมีหลายแบบมาก ผมบังเอิญได้เล่นแต่แบบนี้ ก็เป็นแบบฝึกหัดที่ดีนะครับ ผมว่ามันยากสุดแล้วอันนี้ มันเป็นแบบฝึกหัดที่ดี คือแรกๆ มันอาจจะยากแล้วก็ท้อมากที่มันทำไม่ได้ แต่พอผ่านไปสักพักนึง พอเราเริ่มเข้าใจและทำได้ มันก็ง่ายแล้ว
อย่างก่อนหน้านี้กดดัน กังวล คาดหวัง 3 อย่างนี้ตัวทำพังเลย ตัวแย่เลย แต่มันก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ครับ คือผมอยู่มา 5 ปีใช่ไหม 3 ปีแรกคือ 3 ปีที่ผมเจออะไรก็ไม่รู้ ไม่ดีเลย คือเหมือนเราหาทางไม่เจอว่าจะไปทางไหน เหมือนเจอทางแยก 10 ทาง และทางไหนคือทางที่ถูก เราก็ต้องมั่วไปเลย แล้วเรามั่วอยู่นานด้วย มันไม่ถูกสักที แต่ปัจจุบันนี้ เวลานี้ที่ผมเจอทางที่ใช่แล้วที่จะต้องต่อทำต่อ ก็แค่ทำมันไปเรื่อยๆ ต่อไปแค่นั้น
การลองผิดลองถูก คือเรียนแอ็กติ้ง แบบเรียนก็ไม่เห็นเข้าใจเลยว่ามันคืออะไร มันกังวลมากๆ นึกออกไหม สมมติว่าเราได้โอกาสเหมือนโอกาสสุดท้ายในโปรเจกต์นึง เราก็เล่นไปโดยที่เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่ เล่นไป เล่นพอเอารอด แต่ถามว่าถูกต้องหรือมันใช่ไหม คือมันไม่ใช่ มันคือการทำงานที่ไม่ค่อยมีความสุขเลย แบบเฮ้ย...จะมีเรื่องหน้าไหม
แล้วบางทีผมจบเรื่องนี้แล้ว ผมว่างอยู่ 6 เดือน กว่าจะเล่นอีกเรื่อง และผมก็คิดว่าจะมีอีกไหม แต่มันก็ดีที่มันผ่านมาได้ ไม่อยากกลับไปแล้ว เพราะจากคนตื่นเช้าทุกวัน กลายว่ามันไม่มีไรทำเลย ว่างไปหมด แต่ก็เอาเวลานั้นให้เป็นประโยชน์ ผมก็ยังเชื่อว่าเขายังจะให้โอกาสในตอนนั้น ผมก็พยายามศึกษาเท่าที่ทำได้ มันได้ผลจริงๆ
ไม่น่าเชื่อว่าอยู่บ้านก็ทำให้เราเก่งขึ้นได้ จนผมเริ่มปลดล็อกอะไรบางอย่าง เราเริ่มเข้าใจมากขึ้น และประกอบกับเจอครูสอนแอ็กติ้งที่บังเอิญมันคลิกกันด้วย แล้วอยู่ดีๆ มันก็ได้ขึ้นมาเลย
สิ่งที่ทำให้ผมไม่ท้อ ผมต้องขอบคุณแฟนคลับนะที่ให้กำลังใจเรา โอ๋เรา ชมเรา แต่คือเราก็รู้แหละว่าเรายังไม่ได้เก่ง เขาก็พูดให้เราสบายใจ แต่มันก็เป็นพลังบวกที่ดีมากเหมือนกัน อย่างน้อยก็มีคนที่คิดจะสนับสนุนเราอยู่ มีคนที่เขาชื่นชอบเราอยู่ เขาอยากเห็นเราก้าวหน้าไป จากที่คิดว่าชีวิตนี้กับวงการบันเทิงคงไม่เหลืออะไรแล้ว ทำให้เราคิดว่ามันต้องได้ ยังไงก็ต้องได้ เพราะหลังจาก 6 เดือนหลังผ่านไป ผมเชื่อว่าผมต้องไปต่อ”
ย้อนชีวิตวัยเรียน! ลาออกจาก “วิศวะ” ตัดสินใจสู้ชีวิตในวงการบันเทิง
“เรื่องมันประมาณว่าสมัยเรียน เริ่มแรกตอนผมเรียนมหาวิทยาลัย ผมเรียนวิศวะอินเตอร์ ธรรมศาสตร์ แล้วผมก็เข้าวงการมาด้วยพร้อมกันเลย แล้วมันเรียนยากมากๆ แล้วงานตรงนี้ยังไม่ลงรอย มาเซ็นสัญญาปีนึงแล้วไม่เห็นมีอะไรทำ มันมั่วสุดๆ ซึ่งช่องมีออดิชั่นละคร ออดิชั่นก็ไม่ผ่าน เล่นก็ไม่ได้ การแสดงก็ไม่เข้าใจ ต้องเอาเวลามาศึกษาเรื่องการแสดง และพอไปเรียนหนังสือ ก็ไม่ค่อยเข้า เพราะต้องมาทำงาน มาถ่ายละคร
ผมไม่สามารถบริหารจัดการทั้งสองอย่างได้พร้อมกัน มันเหมือนจะพังทั้งคู่ เรียนก็จะแย่ งานวงการก็จะแย่ ผมรู้เลยว่า ผมต้องเลือกตอนนั้น มันจะได้ไม่มีข้ออ้างว่า อุ้ย...ฉันเล่นไม่ได้เพราะว่าฉันต้องไปเรียนไง ผมเลยคิดว่าผมต้องเลือกแหละ ว่าผมอินกับอะไรสักอย่างนึง จะมากั๊กสองอย่างไม่ได้และตอนนั้นลังเลอยู่มาก เพราะว่าวิศวะจบไป ผมก็ไม่อดตาย แต่ว่าตอนนี้มันดูไม่มีทรงไปถึงตรงนั้นเลย
สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะลาออกที่วิศวะและก็มาโฟกัสตรงนี้เต็มที่ เพราะผมมองว่าการแสดงปลายทางมันไกลกว่าวิศวะ แม้วิศวะจะมีเงินเดือน มีธุรกิจ มันสามารถรวยได้แต่มันก็ไม่ได้หมูๆ เพราะเราก็ฟังจากพ่อเรามา พ่อก็เป็นวิศวะ เส้นทางมันก็ไม่ได้สวยหรู แต่ในเส้นทางการแสดงถ้าผมพยายาม ถ้าผมเก่งจริง ผมก็ยิ่งรวย ผมคิดอย่างนั้นไว้
คนอาจจะมองว่าผมชอบอะไรที่ท้าทาย คือผมเป็นคนค่อนข้างทะเยอทะยาน จริงๆ คือถ้าจะเอาให้ได้กับสิ่งนี้ หรือจะทำสิ่งนี้ให้ได้ คือมันต้องมั่นใจด้วย แต่ไม่ใช่เป็นการมั่นใจในตัวเองแบบกล้าพูดกล้าเต้นกล้าเล่นอะไรอย่างนี้ แต่ลึกๆ แล้ว ถ้าเอาจริง มันก็ได้อยู่แล้ว ผมคิดอย่างนี้กับทุกอย่างเลย เพราะถ้าผมเอาจริงขึ้นมา ผมไม่กลัวสักเรื่องเลย แต่มันยากตรงเอาจริงนี่แหละ และพอเลือกทางนี้เสร็จ ซึ่งตอนนั้นมันปีที่ 2 ปี 3 มั้ง ก็ยังเคว้งอยู่ดี เหมือนข้างหน้าเป็นทางเดินมืดๆ ผมก็ต้องสุ่มเดินมืดๆ เข้าไป แต่ว่าผมก็ขอบคุณตัวเองนะครับที่เลือกทางนี้ เพราะวันนี้ก็ถือว่านับ 1 มาถูกร่องถูกรอยแล้ว
ตอนพ่อรู้ว่าเราไม่เรียนวิศวะ ก็หน้าเจื่อนๆ ครับ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ห้ามเรา ผมก็บอกว่าผมเลือกแล้ว จะเอาแบบนี้แหละ บวกกับตอนนั้นเราถ่ายละครอยู่ ผมก็เชื่อว่ามันไปต่อได้ ซึ่งผมว่ามันจะดีที่สุดสำหรับตัวผม เอาจริงๆ ครอบครัวผมค่อนข้างตามใจ แม่คือตามใจเลย สปอยเต็มที่ แม่เป็นคนไม่บังคับ คือจะแนะนำนะ แต่ลูกจะฟัง ไม่ฟังก็เรื่องของลูก ลูกโตแล้ว เพราะฉะนั้นแม่เป็นอย่างนี้ ผมเลยพูดกับแม่ได้ทุกเรื่อง เล่าเรื่องที่ทำตัวไม่ดีมากๆ แม่ก็ไม่ด่าเพราะว่าเราพูดความจริง ไม่เคยปิดบัง แต่พ่อปิดบังนะ แต่พอย้ายมาเรียนนิเทศ ก็ 3 ปีจบนะ แม้ผมจะเกเรมาก ตั้งแต่เด็ก แต่ผมไม่เคยทิ้งการเรียนเลย”
แม้จะเกเรจนเกือบถูกแทงกลางห้างดัง แต่ก็ยังสอบได้ที่ 1 เพราะเป็นคนไม่ยอมต่ำกว่ามาตรฐาน
“เรื่องเกเร ส่วนใหญ่จะออกเป็นแนวต่อยตี ในตอนมัธยมครับ ฟังดูแล้วผมดูสุดทุกทางเนอะ ตอนเรียนผมก็ No.1 เหมือนกัน เรื่องเกเรก็ที่หนึ่งไม่ต่างกัน มีเรื่องถึงขั้นผมเคยจะโดนแทงกลางห้าง คือผมไม่ได้เป็นคนขยัน แต่ผมเรียนดี ผมเรียนพิเศษเยอะสมัยเด็ก ผมมีปมอย่างนึง คือไม่ชอบเป็นคนโง่ ไม่ชอบเป็นคนที่อยู่ต่ำกว่ามาตรฐาน คือต่อให้เรียนผมไม่ได้มุ่งมั่นจะเอาที่ 1 แต่ผมแค่ดูว่าห้องนี้สมมุติมี 40 คนผมต้องดีกว่า 20 ผมคิดอย่างนี้ทุกเรื่อง ตอนมัธยมผมอยู่ห้องกิฟต์เต็ดเลยนะ ยิ่งกว่าห้องคิงอีก ห้องที่เขาเรียกว่าห้องพรสวรรค์วิทย์คณิต
อีกอย่างเป็นคนไม่ชอบทำการบ้าน แต่เวลาสอบได้คะแนนเต็ม คือเราไม่ได้เป็นคนขยัน แต่แค่รู้สึกอายเวลาทำไม่ได้ แต่รู้สึกเท่มาก เวลาโดนครูด่าและการบ้านไม่ทำ และให้ไปทำบนนั้น แล้วเราทำถูกหมดทุกข้ออะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) แต่เพื่อนกลุ่มเดียวกันก็รอด เรียนจบทุกคนนะ คือเพื่อนก็ไม่ได้ว่าเลวนะ แต่ผมว่ามันก็คือช่วงชีวิตนึง มันไปให้สุด เพื่อนผมที่ต่อยตีมาด้วยกัน ตอนนี้ก็ได้ดีกันเยอะ เกินครึ่งนะ แต่คนไม่รอดก็เยอะ (หัวเราะ)
ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็ไม่ได้อยากแก้ไขอะไร อยากให้มันเป็นแบบนี้แหละ ทำเหมือนเดิม ถ้าผมย้อนเวลากลับไปอายุ 15-16 ปี ผมก็ยังไล่ต่อยคนเหมือนเดิม คือทุกอย่างที่ผมเจอมันหล่อหลอมให้ผมเป็นแบบนี้ และผมก็ว่าผมก็เป็นคนที่ค่อนข้างยูนีกนะ หมายถึงคาแรกเตอร์ของผมก็ไม่เห็นคนอื่นเขาจะเป็นกัน ทุกอย่างมันประกอบให้เราเป็นแบบนี้และผมก็เชื่อว่าผมทำได้ หมายถึงว่าพาตัวเองไปถึงฝั่งฝันได้”
“อย่าหยุด หย่าเผลอ อย่าเหลิง” ไม่งั้นจบชีวิตความเป็น “ดารา”
“ทุกวันนี้ ผมว่าวิธีเดียวที่เราจะรักษาโอกาสตรงนี้เอาไว้ให้ได้ คือทำมันต่อไปเรื่อยๆ อย่าหยุด อย่าเผลอ อย่าเหลิง คือถ้าแบบเราว่า ‘กูเป็นพระเอกชั้นนำแล้วเว้ย’, ‘ตัวท็อปแล้วเว้ย’ แล้วปล่อยปละละเลย เชื่อผมดิ เผลอแป๊ปเดียว ปีเดียวรุ่นน้องแซงกันหมดเลย แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่าเผลอเลย ผมก็พัฒนาตัวเองตลอด แบบเวลามีปัญหา ผมจะคุยกับครูแอ็กติ้ง เจอปุ๊บทักเลย เนี่ยครูเป็นอย่างนี้ๆ แก้ยังไงๆ ก็หยุดเรียนรู้ไม่ได้ครับ หยุดเรียนรู้ก็คือ โดนคนอื่นแซง ไม่อยากโดนแซง ไม่ชอบ (ยิ้ม)
ผมก็ไม่ได้คิดว่าเราเป็นพระเอกเลยนะ ผมก็เป็นตัวเอง ผมไม่สามารถประดิษฐ์ได้จริงๆ ผมเป็นคนอย่างนี้ เป็นมาตั้งแต่แรกด้วย ไม่สามารถประดิษฐ์สวยหรูให้มันดูดี หรือสร้างภาพให้มันเป็นพระเอก ดูดีมีชาติตระกูลคือมันทำไม่ได้จริงๆ ทำไม่ได้คือพยายามทำและนึกไม่ออกว่าทำยังไง แล้วถ้าคนไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แต่นี่คือตัวของผมจริงๆ ถ้าคุณไม่ชอบก็ว่าไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้าคนที่ชอบ เขาก็ชอบเราไปตลอดเพราะเราเป็นตัวเรา
ซึ่งในชีวิตจริงๆ ผมเป็นคนค่อนข้างจริงจังกับชีวิตนะ เป็นคนซีเรียสนะ ไม่ค่อยไร้สาระ คือเป็นคนชอบคุยกับคน แต่ว่าไม่กล้าคุย ผมอยากคุยกับทุกคนนะ แต่ผมแค่แบบไม่รู้จะเริ่มยังไง แบบไม่รู้ว่าต้องคุยแบบไหน อยากคุยมาก เป็นคนขี้อายนิดนึง แต่สมัยนี้ดีขึ้นแล้ว
คนมองว่าขี้เก๊กไหม ชินตั้งแต่เกิดแล้ว หลายคนแล้วที่มารู้จักกันทีหลัง ก็จะบอกว่าตอนแรกคิดว่าเป็นอย่างนั้นเลยไม่กล้าคุย คือว่าหน้าตาไม่รับแขก เมื่อก่อนหนักกว่านี้อีก คือหน้านิ่งคิ้วขมวด มันเป็นเองนะ ไม่ได้ทำ แต่พอเรามาอยู่ในสังคมที่เจอคนเยอะๆ เราก็ต้องปรับตัว แต่ก็ยังเป็นตัวเองอยู่ แต่ก็เรียนรู้ไป พยายามทำตัวให้น่าคบมากขึ้น ซึ่งมันดีกับตัวเราและมันก็ดีกับคนรอบข้างด้วย”
