แม้จะเสียไปชีวิตไปนานถึง 13 ปีแล้ว
ทว่า “ชื่อ” และ “เสียง” รวมถึง “บทเพลง” ของเขา ก็ยังคงเป็นที่จดจำ และถูกพูดถึงอยู่อย่างต่อเนื่อง เสมือนราวกับว่าเขาไม่เคยจากโลกนี้ไปไหน
“ไมเคิล แจ็คสัน” ราชาเพลงป๊อป ผู้เป็นตำนานบทยิ่งใหญ่ของวงการเพลงระดับโลก
นักร้องนักแต่งเพลงเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน เจ้าของภาพจำที่แฟนเพลงไม่เคยลืม ไม่ว่าจะเป็นท่าเต้นลูบเป้า ท่าเต้นมูนวอล์ก หมายรวมถึงท่าเต้นต้านแรงโน้มถ่วง และผู้เป็นเจ้าของเพลงบทฮิตมากมายที่คนร้องตามได้ทั่วโลก เสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจวายเฉียบพลันเมื่อ วันที่ 25 มิถุนายน 2009 ด้วยวัยเพียง 50 ปี ก่อนจะถึงคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต “This Is It” ซึ่งมีแผนจะจัดขึ้นที่ โอทู อารีนา กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จำนวนทั้งสิ้น 50 รอบ และทำลายสถิติการขายบัตรคอนเสิร์ตมากกว่า 1 ล้านใบภายในเวลาไม่ถึง 2 ชม. เพียงไม่กี่วัน ซึ่งถ้าเขามีชีวิตอยู่จนถึงเดือนสิงหาคมปีนี้ เขาก็จะมีอายุ 64 ปีเต็ม
อย่างไรก็ตาม ในฐานะราชาเพลงป๊อปที่ทั่วโลกขนานนามให้นั้น ไมเคิล แจ็คสัน ได้สร้างสถิติอันยิ่งใหญ่ไว้ในโลกแห่งเสียงเพลงมากมาย
โดยเฉพาะในวันเวลาที่ชีวิตการเป็นนักร้องของเขาพุ่งสู่จุดสูงสุด จากอัลบั้มชุด “Thriller” ผลงานอัลบั้มลำดับที่ 6 ออกจำหน่ายในปี 1982
เป็นอัลบั้มเดียวของโลกที่มียอดขายมากกว่า 110 ล้านชุด !!!!
และยังได้รับการบันทึกสถิติไว้ใน กินเนสส์บุ๊ก ในปี 2006 ในฐานะมิวสิกวิดีโอที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดที่เคยมีมา
ความสำเร็จยังคงยืนยาวและต่อเนื่อง ก่อนจะปิดตำนานแห่งราชาเพลงป๊อป เมื่อเดินทางมาถึงอัลบั้มลำดับที่ 10 “Invincible” อัลบั้มชุดสุดท้ายในชีวิต ที่วางจำหน่ายในปี 2001
แม้กระทั่งภายหลังการเสียชีวิตที่ช็อกหัวใจคนทั้งโลกของ ไมเคิล แจ็คสัน ก็ยังคงมีผลงานอัลบั้ม “This Is It” วางจำหน่ายในเดือนตุลาคม 2009 และในเดือนเดียวกันนั้น ก็ยังมีการฉายภาพยนตร์สารคดี Michael Jackson’s This Is It ที่นับเป็นภาพยนตร์สารคดีคอนเสิร์ตที่ทำรายได้มากที่สุดตลอดกาล ด้วยรายได้มากกว่า 252 ล้านเหรียญทั่วโลก
และในอีก 5 ปีต่อมา ก็มีปล่อยผลงานชุด “Xscape” ที่เป็นอัลบั้มที่รวมเพลงของราชาเพลงป๊อปที่ไม่เคยวางจำหน่าย
ไมเคิล แจ็คสัน จึงได้รับการจดบันทึกว่าเป็นศิลปินป๊อปชายที่มียอดขายอัลบั้มมากที่สุดในโลก รวมถึงเป็นศิลปินที่มีรายได้สูงสุดหลังเสียชีวิตในแต่ละปี นับตั้งแต่วันที่เสียชีวิต
และอีกหนึ่งบทบาทที่สำคัญก็คือ การเป็นแรงบันดาลใจผู้มีอิทธิพลต่อศิลปินระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น มาดอนน่า, บริตนีย์ สเปียร์ส, บรูโน่ มาร์ส, คริส บราวน์, บียอนเซ่ ฯลฯ รวมถึงศิลปินไทยอย่าง เบิร์ด-ธงไชย, บี้ - สุกฤษฎิ์, เจมส์ - เรืองศักดิ์, เจ - เจตริน, ทาทา ยัง, ใหม่ เจริญปุระ ฯลฯ
ใครจะเชื่อว่า......
ภายหลังการเสียชีวิตไปกว่า 1 ทศวรรษ จะมีบทเพลงของราชาเพลงป๊อปที่ถูกลบออกจากระบบบริการสตรีมมิง ไม่ว่าจะเป็น Spotify, Apple Music และ YouTube Music
ด้วยข้อกล่าวหาว่า ไมเคิล แจ็คสัน ไม่ได้เป็นคนร้องเพลงเหล่านี้เอง
โดยเป็น 3 เพลงจาก 10 เพลงในอัลบั้ม “Michael” ที่ออกจำหน่ายหลังการเสียชีวิตของเขาในปี 2010
นั่นก็คือ “Monster” (feat. 50 Cent) , “Keep Your Head Up” และ “Breaking News” ซึ่งที่ผ่านมา ก็เป็นส่วนหนึ่งของคดีฟ้องร้องอย่างต่อเนื่องต่อผู้ดูแลทรัพย์สินและทางโซนี่ มิวสิก (Sony Music)
ปฐมบทการฟ้องร้องดังกล่าว เริ่มต้นขึ้นในปี 2014 โดย “เวรา เซโรวา” (Vera Serova) ซึ่งเป็นหนึ่งในแฟนคลับของ ไมเคิล แจ็คสัน ระบุว่า 3 ใน 10 เพลงที่กล่าวในข้างต้น เป็น “ส่วนหนึ่งของการฉ้อโกงทางศิลปะที่ซับซ้อน” ซึ่งผู้ร่วมกระบวนการ คือ “เอ็ดเวิร์ด คาสซิโอ” (Edward Cascio) และ “เจมส์ พอร์ต” (James Porte) ในฐานะที่เป็นนักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์ ได้ขาย แทร็กดังกล่าวให้กับผู้ดูแลทรัพย์สินของ ไมเคิล แจ็คสัน ในมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ ภายหลังจากการเสียชีวิตของราชาเพลงป๊อปในปี 2009
กระทั่งในเดือนสิงหาคม ปี 2018 ศาลอุทธรณ์ ก็ได้มีการตัดสินให้ผู้ดูแลทรัพย์สินและโซนี่ รอดพ้นจากการฟ้องร้อง เพราะยังไม่มีหลักฐานชี้ชัด ว่า ไมเคิล แจ็คสัน ไม่ได้เป็นผู้ร้องเพลงทั้งสามนี้เอง กระนั้นก็ยังมีการยื่นฟ้องต่อในปี 2020 ซึ่งปัจจุบันคดีนี้ ก็ยังคงอยู่ในศาลฎีกาแคลิฟอร์เนีย
อย่างไรก็ตาม มีการระบุในเครดิตของทั้ง 3 เพลงนี้ ว่าบันทึกเสียงไว้ตั้งแต่ปี 2007 โดยนักแต่งเพลง/โปรดิวเซอร์ เอ็ดเวิร์ด คาสซิโอ และ เจมส์ พอร์ต ซึ่งบรรดาแฟน ๆ ก็ยกมือสนับสนุนว่าเป็นเสียงร้องของราชาเพลงป๊อปจริง ๆ ตรงกันข้ามกับความเห็นของคนในครอบครัวของ ไมเคิล แจ็คสัน ที่เห็นต่าง
แม้วันนี้คดีจะยังไม่สิ้นสุด และข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏ แต่ทั้ง 3 เพลงดังกล่าว ก็ได้รับการพิพากษาโดยการถูกลบออกจากสตรีมมิงไปเรียบร้อยแล้ว
ผู้จัดการ 360 องศาสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9-15 กรกฎาคม 2565