“ฉอด สายทิพย์” แจงกรณีถูกวิพากษ์วิจารณ์ ให้ “แพรวา” มาแฉ “หน่อง ธนา” ในรายการคลับฟรายเดย์ว่า เป็นแค่การพูดคุยในอีกมุมมองหนึ่ง ไม่มีถูกผิด และไม่ได้ต้องการแฉใคร แต่แขกรับเชิญไว้วางใจที่จะเล่า ขอให้ดูอย่างวิเคราะห์และเก็บสิ่งที่เป็นประโยชน์ไปใช้กับชีวิต
กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เลยทีเดียว หลังจากที่ “แพรวา ณิชาภัทร ฉัตรชัยพลรัตน์”มาออกรายการคลับฟรายเดย์ เล่าถึงความรักที่เลิกรากันไปว่า มีปัญหาเรื่องที่ฝ่ายชายรับอดีตไม่ได้ มีเรื่องหึงหวง และการที่ต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อให้เป็นไปในแบบที่ฝ่ายชายต้องการ ซึ่งฝ่ายชายที่ว่านี้หลายๆ คนก็คาดว่าจะเป็น “หน่อง ธนา ฉัตรบริรักษ์”ที่พึ่งจะเลิกรากับแพรวาไปนั่นเอง ซึ่ง “ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา”พิธีกรและผู้ผลิตรายการก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ไม่ได้มีเจตนาจะมาแฉใคร ขอให้ตั้งใจดูในสิ่งที่ต้องการนำเสนอและสิ่งที่ทุกคนจะได้ประโยชน์นำกลับไปใช้กับชีวิตตนเอง ยันไม่มีการนอกสคริปต์ ทุกอย่างเป็นความไว้วางใจที่แขกรับเชิญอยากจะเล่า ไม่มีใครถูกผิด
“ดูที่วัตถุประสงค์เริ่มต้นของรายการก่อนเนอะ กับสิ่งที่เราทำ กับสิ่งที่เรานำเสนอ ตั้งแต่คลับฟรายเดย์ที่เป็นคนธรรมดา หรือตัวต่อตัวที่เราทำ เกี่ยวกับปัญหาความรัก เป้าหมายของเราจริงๆ เราได้เรียนรู้วิธีคิดจากชีวิตคนอื่น สิ่งที่เราได้คุยกัน อยากให้คนได้จับเอาประเด็นที่เป็นประโยชน์นำไปใช้ รายการ เราไม่ได้มีวัตถุประสงค์ใดๆ ที่จะเอามาแฉ
ถามว่าคำนึงถึงผลกระทบที่มันจะถึงคนอื่นไหม เราก็คิดเสมอ แต่ว่าไม่รู้ว่าโชคดีหรือว่าโชคร้าย แขกรับเชิญที่มาในรายการเรา มักจะไว้วางใจ และเราต้องเข้าใจก่อนว่าเรื่องความรักมันจะมีแล้วแต่มุมของใคร เราเชื่อว่าเราทุกคนก็เป็นพระเอกนางเอกในชีวิตของตนเองทุกคน หรือบางทีเราอาจจะเป็นผู้ร้ายในชีวิตคนอื่นอยู่ก็เป็นได้ มันอยู่ที่ความตั้งใจของรายการ มันอาจจะพลาดพลั้งเกินเลย มันก็เป็นไปได้เพราะมันเป็นเรื่องละเอียดละอ่อนอยู่
แต่รายการไม่ได้มีความตั้งใจแบบนั้น และที่ผ่านมาตั้งแต่ทำรายการมา และในกรณีที่เกิดขึ้นจริงๆ มีไม่กี่เทปถ้าเทียบการการที่รายการออนแอร์มาอย่างยาวนาน ถ้ามีใครที่หาทางสรุปว่าถ้ามีอะไรไม่ดี แล้วมาบอกว่ารายการไม่ดี ในที่สุดรายการมันก็ไม่ดี แต่อีกหลายๆ ตอนก็เป็นประโยชน์ดีงาม ก็อยากจะพูดเหมือนทุกครั้งว่าขอให้ดูจริงๆ ก่อน ดูไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ว่ารายการนี้ให้อะไร
และมิชชั่นเราจบไปตั้งแต่การถ่ายทำเสร็จสิ้น เพราะแขกรับเชิญเขาตั้งใจมาพูด รายการนี้ไม่มีการถามนอกสคริปต์ ไม่เคยมีการคุ้ยแคะแกะเกา ไม่ได้มีความตั้งใจที่อยากจะได้ประเด็นอะไรแบบนั้น แต่แน่นอนเวลาพูดมันอาจจะพาดพิงถึงคนอื่น เป็นเรื่องที่ดูแลอยู่ เพราะเรื่องมันเป็นเรื่องของคนสองคน และถ้าได้ดูทั้งรายการ จะทราบว่าเป็นการเล่าผ่านมุมมองของคนๆ นึง ในมุมที่เขาเจอมา เราจะได้เห็นมุมมองฝั่งคนเล่า และถ้าคนที่ดูและแยกแยะวิเคราะห์เป็น เราก็จะดูและเก็บเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ไปใช้ในชีวิตของคนๆ นั้น"
ย้ำไม่ได้จับมาหวังชนกัน ทุกความสัมพันธ์ที่แยกกัน ไม่มีใครผิด
“ทุกอย่างในโลกนี้ต้องดูก่อนว่าเราตั้งใจให้อะไร ทำเพื่ออะไร และอย่างที่สองเวลารับ รับและไปใช้ประโยชน์เพื่ออะไร ความรักของคนคู่นึง ตั้งอยู่และดับไป มันย่อมมีเหตุและผลซึ่งกันและกัน แพรวาพูดถึงในสิ่งที่เขารู้สึก แน่นอนว่าอีกฝั่งไม่ได้พูด เราก็ไม่ควรจะไปจับประเด็นว่าน้องเป็นคนถูกคนเดียวและอีกฝั่งคือคนผิด และในวันนั้นพิธีกรก็พูดว่าการที่มาคุยกันในวันนี้ไม่ได้มาบอกว่าใครถูกใครผิด ซึ่งคนที่ดูก็จะได้เรียนรู้ว่า ถ้าเป็นตัวเองก็จะไม่ทำแบบนี้ แค่นั้นเอง ซึ่งถ้าอีกฝั่งอยากจะมาพูดในมุมของตัวเองก็ได้ แต่ไม่ได้เอาจับมาชนกันนะ เพราะทุกคนที่มีปัญหาเรื่องความรัก มันมีสารพัดเหตุผล มันสรุปไม่ได้หรอก ทุกๆ ความสัมพันธ์ที่แยกกัน ไม่มีใครผิดแต่เพียงผู้เดียว”
บอกแขกรับเชิญตั้งใจมาเล่าให้ฟัง เพื่อหาคำตอบจาก พี่อ้อย-พี่ฉอด
“บางทีเขาก็เพียงตั้งใจมาเล่า เพื่อต้องการคำตอบจากพี่อ้อยพี่ฉอด และบางทีก็มีคนมักจะชอบพูดว่า ถ้าสิ่งที่คนนั้นเล่ามาไม่ใช่เรื่องจริงล่ะ ถ้าเขาโกหกล่ะ ก็จะบอกว่าเราไม่ได้สนใจตรงนั้น เราไม่ได้มีหน้าที่ว่าจริงหรือไม่จริง แต่จะบอกว่านี่คือเคสหนึ่งเคส ถ้าเคสนี้เป็นอย่างนี้ พี่อ้อยพี่ฉอดจะแก้ปัญหายังไง แค่นั้นเอง ไม่ใช่ตำรวจที่จะชี้ว่าใครถูกใครผิด และการที่เขามาออกรายการ ทางเราก็ระวังอยู่แล้ว ไม่ได้รู้สึกว่าอยากให้ไปคุ้ยแคะใดๆ ทั้งสิ้น และบางทีสิ่งที่เขาพูดอาจจะเป็นสิ่งที่เขาระวังแล้วก็ได้
อย่างในมุมของคนทำงาน กับเคสของแพรวา หลังจากที่เราได้สัมภาษณ์ไปแล้ว เราได้รู้สึกว่าน้องเขาคือเด็กผู้หญิงคนนึง ที่เจอสิ่งเหล่านี้ ครอบครัวเขาพังมายังไง โรคซึมเศร้ายังไง มันก็มีส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตคนถ้าไม่จับประเด็นจนเป็นดรามา ซึ่งถามว่าดรามาที่เกิดขึ้นมันกระทบจิตใจคนทำงานไหม บังเอิญเราเป็นคนที่รู้ว่าทำอะไรอยู่เสมอ เพราะทุกครั้งที่ทำ มันคิดไปก่อนแล้ว ไม่ได้ทำไปแบบผ่านๆ ทุกอย่างผ่านกระบวนการคิดไปแล้ว และทุกอย่างถ้ามันมีอะไรมากระทบแบบนี้ เราก็จะรีเช็กก่อนว่ามันมีความผิดพลาดอะไรหรือเปล่า ถ้ารู้สึกว่ามีก็แก้ แต่ถ้าเกิดจากคอมเมนต์ที่ไม่ได้ดูคิดไปเอง วันนี้ที่สำคัญที่สุดเราเองก็ควรแยกแยะเหมือนกันว่า เราควรฟังใครหรือว่าเชื่อใคร เพราะเราคงไม่สามารถทำให้ถูกใจทุกคนได้
เรามองโลกจากความเป็นจริงและแก้ปัญหาจากความเป็นจริง อะไรที่ไม่จริง เราไม่ค่อยรู้สึกอะไร ไม่ดรามา เป็นคนไม่ดรามา มองจากความตั้งใจในการทำงานของตัวเอง และมีไหมสิ่งผิดพลาด คนเราเป็นมนุษย์คือมีอยู่แล้ว เราไม่ถูกหมดทุกอย่าง แต่ความตั้งใจดีเรามีครบ เคยคุยกับพี่อ้อยด้วยว่า การที่เราได้มาทำรายการนี้ มันเหมือนความมหัศจรรย์อะไรบางอย่าง เป็นที่ไว้วางใจของผู้คน และเขาอยากคุยกับเรา อยากตั้งคำถามกับเรา
เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราตอบกลับไปนั้น มันจะเป็นประโยชน์อะไรแค่ไหน แต่สิ่งที่เราทำทั้งหมด ถ้ามันเป็นประโยชน์กับชีวิตใครบ้าง อันนี้แหละคือความตั้งใจของเรา ไอ้สิ่งเหล่านี้มันแข็งแรงมากกว่าดรามาใดๆ ที่เราจะไปรู้สึก หวั่นไหวกับใดๆ ก็ตาม”
