เอาจริงเลยนะ!?!
ผู้เขียนไม่ได้เป็นแฟนคลับ ‘แบทแมน’ แต่ก็ดูหนังของชายผู้นี้ที่โลดแล่นอยู่บนจอเกือบทุกภาค แต่ละภาคก็มีความรู้สึกว่าสนุก ต่อจากนั้นก็จำอะไรซึ่งเป็นความประทับใจเกือบไม่ได้เลย เว้นเสียแต่อุปกรณ์ทันสมัย ล้ำยุคที่คนปกติธรรมดาเพียงแค่ว่าเป็นมหาเศรษฐีจะสร้างสรรค์ขึ้นมาให้เหนือกว่าคนอื่นๆ ได้
ครั้นพอได้ดูหนัง The Battmam ที่กำลังฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์บ้านเราในช่วงโควิคกำลังจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น บอกได้ทันทีเลยว่า The Battmam ตราตรึงซึ้งใจผู้เขียนมากที่สุดในบรรดา ‘บุรุษรัตติกาล’ ที่เคยผ่านตามา
เอาเป็นว่าถ้าพอมีตังต์ มีเวลาว่าง ต้องหาโอกาสไปดูภาคนี้กันให้ได้ เหตุผลง่ายๆ แต่หลายคนอาจไม่เห็นคล้อยตามก็คือ The Battmam ภาคนี้เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ในแบบฉบับที่ ‘คลุกวงใน’ กับอารมณ์ความรู้สึกของผู้เขียนมากถึงมากที่สุด
โดยเฉพาะการดำเนินเรื่อง หรือพูดอีกแบบอาจเรียกได้ว่าบทภาพยนตร์ที่หนังเรื่องนี้มีความยาวเหยียดเฉียด 3 ชั่ว หากแต่เป็นความยาวที่ตัดทอนไม่ได้เลย ทุกฉาก ทุกซีนเชื่อมร้อยและเป็นเหตุเป็นผลจนยกดาวหลายดวงให้
เหนือยิ่งสิ่งใดได้แก่ The Battmam สร้างความแปลกใหม่ คือไม้ได้ล่องหน เหินหาวเหมือนภาคก่อนหน้านี้ แต่บุรุษรัตติกาลใน The Battmam กลายเป็นฮีโรภาคพื้นดินมากกว่าจะอยู่บนตึกสูงระฟ้า แถมยังมีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนผู้คนปกติธรรมดาทั่วไปใน ‘ปม’ อดีตของตัวเองและครอบครัว ยิ่งได้นักแสดงนำที่สามารถ ‘เข้าถึง’ หัวใจของเรื่อง จึงยิ่งทำให้หนังเรื่องนี้ ‘เอาอยู่’ ตั้งแต่ต้นจนจบว่ากันอย่างนั้นเลย
ขออนุญาตเล่าคร่าวๆ สักเล็กน้อยว่าตลอดเวลาที่จ้องดูหนังเรื่องนี้ ทั้งผู้กำกับและคนเขียนบท ทำให้ผู้เขียน ‘หลอน’ ในอารมณ์ความรู้สึกจนราวกับตกอยู่สถานการณ์การบังคับ – วางแผน ของหนุ่มโรคจิตเช่นเดียวกับนักแสดงทุกคนของเรื่อง เมื่อผนวกกับฉากและโทนสีของหนังซึ่งอึมครึม หม่นมัว ยิ่งรู้สึกว่า เฮ้ย ! กูก็กลัวเว้ยมึง (555)
แม้อันที่จริงอารมณ์หลอนในระหว่างดู The Battmam
จะเคยเกิดขึ้นมากับหนังบางเรื่องในอดีต แต่เมื่อผู้กำกับและคนเขียนบทสามารถทำให้ผู้เขียนตกอยู่ในความพรั่นพรึ่งได้ ก็ต้องให้ 8 เต็ม 10 แหละครับ
