“ต่อ ธนภพ” กับชีวิตการเติบโตในเส้นทางนักแสดง ก่อนหน้านี้เจอภาวะเปลี่ยนผ่านวัยนักแสดง หน้าไม่โตตามอายุจนเคว้ง แต่สู้บอกกับตัวเองต้องไปต่อได้ ระหว่างทางเจอปัญหาติดอารมณ์ตัวละคร แต่ดีที่ค้นพบการปล่อยวางทำให้วันนี้ใช้ชีวิตมีความสุขขึ้น ไม่อยากห่วยทั้งๆ ที่ไม่เก่ง ก็ต้องทำให้เยอะ อยากให้คนที่ติดตามภูมิใจในสิ่งที่ตนทำ “ใต้หล้า” ทำให้เป็นคนที่ดีขึ้น
ได้รับคำชมจนขึ้นแท่นเป็นนักแสดงคุณภาพตัวท็อปคนใหม่ของวงการบันเทิงไปแล้วสำหรับ “ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร” จากละครเรื่อง “ใต้หล้า” ที่เพิ่งจบไป หลายปีที่โลดแล่นอยู่ในวงการ ตั้งแต่ “ไผ่ ฮอร์โมน” จนถึง “ใต้หล้า” ในวันนี้ กว่าที่ต่อจะมีวันนี้ เขาพบเจอกับการเปลี่ยนผ่านจากนักแสดงเด็กที่ใส่ชุดนักเรียนก้าวมาเป็นนักแสดงที่ใส่สูท และอีกหลายๆ เรื่องที่ไม่เคยมีใครรู้
และในทุกๆ เรื่องที่ได้แสดง ต่อพบว่าตัวเองเติบโตขึ้นจากตัวละครเหล่านั้นมากมาย อย่างในเรื่อง “ใต้หล้า” ต่อบอกว่าทำให้ต่อเป็นคนที่ดีขึ้น
"ใต้หล้าทำผมอิน อินจริง ด้วยภาษาที่เรื่องนี้มันกล้าที่จะพูด มันมีหลายๆ สิ่งที่มันเหมือนเป็นคำพูดในใจเรามันมีหลายเรื่องที่ผมรู้สึกว่าคนดูก็สัมผัสมันได้ ไดอาล็อกเรื่องนี้พอตัดออกมาจริงๆ มันจะมีความรู้สึกเหมือนกับคำพูดของคนที่เขาคุยกันจริงๆ มันไม่ใช่ฟีลแบบบทประพันธ์ ไม่ใช่แค่ตัวผมเองนะ ไล่มาตั้งแต่ผู้กำกับ นักแสดง ทีมงานทุกคน เราอยากพูดอะไรคล้ายๆ กัน มันเลยอินไปพร้อมๆ กัน มันก็เลยออกมาแบบที่ทุกคนได้เห็น ผมรู้สึกพอใจกับสิ่งที่ได้เห็น พอใจมาก”
“ใต้หล้า” สอนให้ “ต่อ ธนภพ” เป็นคนคิดบวก เป็นตัวละครที่ชาเลนจ์ตัวเองสุด บอกตัวเองในใจว่าพลาดไม่ได้นะ
"ตัวใต้หล้าเองก็ให้อะไรกับผมเยอะ ผมว่าผมโพสิทีฟขึ้นนะ (หัวเราะ) ใต้หล้ามันเหมือนตัวแทนของพวกเรานี่แหละ เหมือนเราอยู่ในโลกเนกาทีฟ ไม่รู้ว่ามันใช้คำขนาดนั้นได้ไหมนะ แต่ว่าพยายามพูดให้ชัดว่าเราอยู่ในโลกที่เนกาทีฟแต่เราพยายามที่จะโพสิทีฟ เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตมันหนัก อย่างผมเคยอ่านฟีดแบ็กทุกคนจะพูดว่า ใต้หล้ามันสู้ชีวิตมากแต่ชีวิตมันสู้กลับ ซึ่งเราเจออะไรแบบนี้ทุกวัน
คือถ้าเราจะคิดว่ามันยากมันก็ยากนะ สุดท้ายแล้วทุกคนจะเห็นว่าเวลาใต้หล้ามันผ่านอะไรที่หนักมากๆ จนมันไม่ไหว วิธีการแก้ของคนอื่นอาจจะคิดว่ามันคือการเดินไปคุย แต่สำหรับผมใต้หล้านอนนะ นอนแล้วปล่อย แล้วเริ่มต้นเอาใหม่ ซึ่งก็จะได้เห็นหลายตอน เวลาที่มันผ่านอะไรที่ฮาร์ดมากๆ สุดท้ายแล้วมันคือเรื่องของคำว่าปล่อยวาง คนเรามันต้องรู้จักวางบ้างแต่ไม่ใช่ทิ้งไปเลย เช่น คิดๆๆ แล้วมันไม่ไหวจริงๆ เราต้องรู้ตัวเอง เราไม่ใช่เครื่องจักรทำงานตลอดไม่ได้ ถึงจุดนึงก็ต้องเจอกันพรุ่งนี้ เดี๋ยวว่ากัน
ใต้หล้าเป็นคนที่แก่นแข็งแรง เขาโดนหล่อหลอมมาจากครอบครัวที่ทัศนคติบวก ใต้หล้าทำให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้น สำหรับผมการเป็นใต้หล้ามันยากเพราะว่าหนึ่งคือมันต้องต่าง สองคือมันต้องเหมือน มันก็เลยเป็นเส้นบางๆ ที่ผมประคบประหงมใต้หล้ามาเยอะมากๆ จริงๆ ผมโอ๋เขา เหมือนตั้งแต่เด็กจนวันที่เรารอดูเขาสำเร็จ ใต้หล้าทำให้ผมเติบโตครับ มันชาเลนจ์ผมสุดๆ เลยที่ได้เล่นใน 4 ช่วงวัย ยิ่งผมทำละเอียดแค่ไหน มันจะมีคำในใจตลอดว่าอย่าพลาดนะ เพราะอุตส่าห์ทำมาขนาดนี้ ก็จะกลัว”
เล่าก่อนจะได้รับคำชมเป็นนักแสดงคุณภาพ ตนเคยเจอเรื่องที่ยากจากการเปลี่ยนผ่านช่วงวัย หน้าไม่โตตามอายุจนเคว้งไปช่วงนึง
“ตอนช่วงประมาณก่อนช่วงอายุ 25 ปี มันคือก่อนที่ผมจะมาเล่น หัวใจศิลา เป็นช่วงที่ผมไม่สามารถขึ้นมาเล่นบทโตได้ ไม่มีใครเชื่อผมเลย แล้วก็ไม่มีใครเชื่อให้เล่นเด็กอีก ช่วงนั้นเคว้งสุดๆ แล้วดูไปทางไหนก็ไม่ได้ เช่น กลับไปชุดนักเรียนก็ไม่ได้ ขึ้นไปโตเลยก็ไม่รอด รอบตัวผมบอกว่าผมไม่น่าจะได้รับความเชื่อแน่ๆ ด้วยหน้าเราที่ไม่ยอมโตด้วยในตอนนั้น แต่หลังจากเล่นหัวใจศิลาแล้วก็ปลอดล็อกว่า ผมโตแล้ว
ระหว่างนั้นผมเคว้งไปเลยไม่ได้รับงานปีนึง ตอนนั้นผมหายไปเลย หายไปแบบงงๆ ไม่มีงานแสดงเลย ไม่ใช่ว่าไม่รับนะ แต่เขาไม่รู้ว่าจะเอาผมไปทำอะไร ผมก็คิดว่าแล้วตัวเองจะทำอะไร มันเป็นช่วงวัยที่มันจะขยับ ตอนนั้นก็อดทน ผมรู้สึกกลัวตกงาน เพิ่งเข้าใจว่าคนตกงานรู้สึกแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ จะไปยังไง จากที่เคยเห็นภาพมาทุกวันอยู่ๆ ไม่เห็น ไปไม่เป็นเหมือนกัน หรือคนที่เคยต้องตื่นเช้ามืดออกจากบ้านไปกองทุกวัน อยู่ๆ มันไม่ต้องไปมานานมาก ก็จะเคว้งๆ”
แล้วก็ได้รับบท “พี่ยิม” จาก “ซีรีส์ Side by Side” มาตอบคำถามตัวเองว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้กับอาชีพนักแสดง
“ตอนนั้นคือรู้สึกว่าตัวเองจะไม่ไปต่อแล้ว ผมว่ายุคนี้ไม่เหมือนยุครุ่นพี่ที่จะมีคำว่า ติดลมบน ยุคนี้ผมว่ามันไม่มีแล้ว ทุกอย่างมันเร็ว แต่ผมก็ได้กลับมาจากบทบาท พี่ยิม(ซีรีส์ Side by Side) เป็นการปลดล็อกรอบครั้งสำคัญเพราะว่าโปรเจกต์เป็นโปรเจกต์สุดท้ายที่ผมยังเล่นในช่วงตัวละครวัยรุ่น แล้วก็เป็นโปรเจกต์ที่ถามตัวเองครั้งสุดท้ายว่านี่ยังเป็นที่ของเราอยู่ไหม
ช่วงปีที่ผมนอยด์ ผมไปไล่ดู ผมไม่ค่อยเห็นคนที่เริ่มจากวัยรุ่นแล้วไปถึงนักแสดงโตเลย แล้วก็เริ่มรู้สึกคิดตามแล้วว่า อ๋อ! ถึงเวลาแล้ว เข้าใจที่พี่ๆ เข้าพูดแล้ว แต่มันก็ยังมีความคิดเล็กๆ ว่าตัวเองดื้อขึ้นมาว่าในเมื่อไม่ค่อยมี แล้วทำไมเราจะเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ค่อยมีไม่ได้ แล้วก็ลองสู้อีกสักตั้ง ตอนนั้นก็คิดวนๆ ผมว่ามันชัดสุดที่เป็นคำตอบนะ ไม่ใช่ตอนที่ออนแอร์ด้วย มันชัดสุดตอนที่ผมรับ รางวัลนาฏราช ตัวแรกจากบท พี่ยิม แล้วเป็นไม่กี่เรื่องที่ไม่ได้มาจากช่องกระแสหลัก แล้วมันก็บอกอะไรหลายๆ อย่างว่าถ้าลองกล้าที่จะไปเจออะไรที่มากกว่าเดิมมากขึ้น”
ปลดล็อคตัวเองรับบทใส่สูทครั้งแรกในเรื่อง “หัวใจศิลา” กระแสตอบรับทำให้มั่นใจที่จะไปต่อ
“เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมลองเล่นหัวใจศิลา ตอนนั้นยอมรับว่าผมกังวลมาก เป็นเรื่องแรกที่ผมจะสลัดชุดนักเรียนและเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเจอ แล้วก็เล่นไม่เป็น ไม่เคยผ่านมา ไม่รู้ว่าจะเข้าได้ไหม ผมไม่เคยชัวร์กับอะไรเลย สิ่งที่ชัวร์คือเราจะเต็มที่ แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าวันข้างหน้าเราจะเป็นยังไง หัวใจศิลาก็ทำให้ผมปลดล็อกจากการใส่ชุดนักเรียนมาใส่สูท มันเป็นการใส่สูทเล่นครั้งแรกของผมเลย
แล้วกระแสทำให้ผมโล่งขึ้น จากที่ไม่แน่ใจว่าหน้าผมโตพอไหม ทำให้ผมรู้สึกว่าเรนจ์เรามันกว้างขึ้น นั่นแสดงว่าผมกลับไปใส่ชุดนักเรียนอีกก็ได้ด้วยเหมือนกัน แล้วทุกวันนี้มันก็เป็นแบบนั้น เพราะใต้หล้าก็ใช้วิธีนั้นเป็นนักเรียนแล้วกลับขึ้นมา ผมก็พยายามใช้สิ่งนี้ให้มันคุ้มก่อนในช่วงที่มันยังได้อยู่ (หัวเราะ)”
เล่าร่องรอยระหว่างทางการเป็นนักแสดง “ต่อ ธนภพ” เจอปัญหาติดความเป็นตัวละครมาใช้ในชีวิตจริง
“ที่ผ่านมาผมผ่านการติดตัวละครมาเยอะ (หัวเราะ) แล้วก็พยายามปกป้องตัวเองเยอะว่าอย่านะ ตัวฉันอยู่นี่ นี่ฉันนะ แล้วผมก็เปิดใจกับตัวเองว่าความยูนีกของตัวละครมันเกิดขึ้นได้ก็มาจากความเป็นเรานี่แหละ เพราะสุดท้ายแล้วตัวละครมันไม่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตสิ่งเดียวคือตัวเรา เพราะฉะนั้นสุดท้ายยังไงก็ต้องหยอดลงไปเพื่อให้มันกลม
ผมติดตัวละครครั้งแรกคือพี่ยิม เพราะผมพยายามกับมันมากๆ มันไม่สนุกเลยเพราะเราไม่รู้ตัวว่าเราติด มันเซ็งทุกครั้งที่เราโดนคนรอบข้างพูดว่า อีกแล้วๆๆ เหมือนเขาพยายามเตือนเพื่อให้เราหลุดออกมา แต่หลายๆ ครั้งที่เรารู้สึกว่าหลุดแล้ว แต่เราก็โดนเตือน เรื่องถัดๆ ไปเราก็พยายามพัฒนาขึ้น ตอนนั้นโชคดีตรงที่หลังพี่ยิมแล้วไปเลือดข้นคนจางเลยเลย เจอพ่อ (ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์) เฆี่ยนในกองแบบสุดๆ ไม่หลุดให้มันรู้ไป
ตอนนั้นติดเยอะ มันติดถึงมาเป็นสภาวะอารมณ์เคยมีวันนึงในห้องประชุมคนเยอะมากเลย ผมไม่รู้ตัวว่าทำอะไร คือรู้ตัวอีกทีผมตีโต๊ะ ปั๊ง! แล้ว เห้ย! เสียงดังออกมา ซึ่งมันไม่ใช่ผม ปกติเราไม่ทำแบบนี้ เป็นช็อตที่รู้ตัวอีกทีผมเห็นรีแอ็กทุกคนเป็นหน้าเหวอ ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ตอนนั้นมันไม่มีอะไร มันเหมือนกับร่างกายเรามันทำจนชินแล้วจนมันไม่รู้ตัว มันเป็นธรรมชาติไป"
ค้นพบการทำให้ตัวเองรู้จักปล่อยวางจากทุกสิ่งได้ จากระหว่างทางการเล่นหนัง “One for the road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ”
“เราเคยแบกอะไรไว้หนักๆ แต่ตอนนี้ได้ปล่อยวาง ที่ผ่านมาหลายคนจะรู้สึกว่าผมเป็นคนที่ไม่ปล่อยวางเลย แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว ใครพูดใส่หน้าผมว่าผมเป็นคนเครียด ผมจะ หึ! ไม่ได้เครียด ไม่จริง แล้ววันนึงก็ได้ไปรับความกดดัน จากกองในเรื่อง on for the road ที่นิวยอร์กมา มันเป็นความกดดันครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมรับไม่ไหว มันเยอะมาก ทั้งต่างที่ การทำงานกับทีมงานต่างประเทศ เวลาต่างๆ ค่าใช้จ่ายที่มันเกิดขึ้นทุกนาทีที่กำลังไหลอยู่ มันไม่ได้เลย ผมเล่นแล้วมันติดๆ ขัดๆ ไปหมด ผมเองก็ไม่รู้ทำไม มันเกิดอะไรขึ้นกับผมในตอนนั้น แล้วผมก็ระเบิดออกมา แต่อยู่ข้างในนะ แล้วผมก็เพิ่งเจอคำว่าช่างแม่-
คือคนที่มันไม่รู้ตัว มันจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเครียดอยู่ แต่พอมันถึงจุดนึงที่มันเดือดๆๆๆขึ้นมาจนมันไม่ไหว มันเริ่มออกมาข้างนอก แต่มันเป็นการเกิดขึ้นในห้องนอนกับผมแค่คนเดียว มันไม่ได้เกิดขึ้นในกอง พอมันโผล่ มันเป็นคำที่ผมไม่ได้คิด แต่มันว่าช่างแม่- ไม่เอาแล้ว มันก็ออกมาแล้วผมก็นอนเลย ผมรู้สึกไม่ไหวแล้ว แต่พอตื่นเช้ามา ผมกลับรู้สึกว่าผมได้สัมผัสกับปุยนุ่นอะไรบางอย่าง มันจริงๆ เลยนะ ตื่นมาแล้วมันเบา มันเป็นการปล่อยครั้งแรกที่เราค้นพบโดยบังเอิญ แล้วเราก็เริ่มคิดว่าหรือจริงๆ ที่ทุกคนพูดกันมันจะเป็นเรื่องจริงว่าเราไม่ปล่อยจนเราชิน จนเราไม่รู้ตัวว่านี่เราไม่ปล่อยอยู่ ปากบอกว่าปล่อยแต่จริงๆ แล้วไม่ปล่อยเลย ก็เริ่มรู้สึกว่าสิ่งนี้ดีจัง แล้วก็เริ่มทำให้มันเป็นนิสัย ก็ค่อยแก้ ปรากฎว่ามันส่งผลดีกับรอบตัวเรา”
พอรู้วิธีปล่อยวาง จัดการอารมณ์แล้วทำให้ทุกวันนี้ “ต่อ ธนภพ” ใช้ชีวิตมีความสุขขึ้น
“เมื่อก่อนที่ผมเล่นอะไรหนักๆ จะไม่ค่อยมีคนกล้าคุยอะไรกับเรา จะมีมวลบางอย่างที่เราโฮลไว้ แต่เดี๋ยวนี้มันก็เริ่มเปลี่ยนไป ก็คุยได้นิ เรารู้สึกว่าเราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขขึ้น เราเริ่มรู้จักลำดับความสำคัญ มันก็จัดการตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นการเติบโตระหว่างทางโดยที่เราไม่คิดว่าผมจะเจอมัน ตอนนี้มีความสุขมาก เพราะมันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ทุกวันนี้ก็บาลานซ์ตัวเองได้มากขึ้น
ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะมาได้ไกลในอาชีพนี้ ก็ได้คำพูดพี่ย้ง (ย้ง ทรงยศ) เขาก็เคยพูดกับผมว่าเชื่อใจเขาไหม ถ้าเชื่อใจก็ไปพร้อมเขา แล้ววันที่ผลมันออกแล้วประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นผมไม่มีคำถามเวลาแสดงเลย ผมเป็นคนที่ถ้าผมตัดสินใจเมื่อไหร่ผมพุ่งอย่างเดียว เพราะผมถือว่าผมเชื่อใจคนที่อยู่รอผม และก็อยากให้เขาสัมผัสได้และเชื่อใจผมเหมือนกัน”
เพราะเป็นคนที่พลาดเยอะมาก จึงบอกตัวเองไม่อยากห่วยทั้งๆ ที่ไม่เก่ง ก็ต้องทำให้เยอะ อยากให้คนที่ติดตามภูมิใจในสิ่งที่ตนทำ
“ผมไม่เคยบอกว่าตัวเองเก่ง หรือเจ๋ง เพราะจริงๆ ผมเป็นคนที่พลาดเยอะมาก พลาด ผิด มั่วไปหมด ผมแค่เป็นคนที่เวิร์กช็อปหนักมากๆ เพราะผมแค่อยากพลาดให้เยอะมากพอที่จะไม่พลาดอีกแล้ว ที่ทำแบบนั้นเพราะผมรู้สึกว่าอยากให้เกียรติคนที่ติดตามเรา ผมอยากให้คนที่ตามภูมิใจในตัวผมและภูมิใจกับสิ่งที่ผมทำ เลยทำให้ผมไม่อยากห่วย ไม่อยากห่วยทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้เก่ง ก็ต้องทำเยอะ ทางออกมีแค่นี้
มันเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมเชื่อว่าแฟนๆ หรือคนนอกเขาไม่เคยรู้หรอก เมื่อก่อนผมก็ไม่เคยคิดที่จะพูดด้วย เพราะผมรู้สึกว่าพูดไปไม่ได้อะไร เขาไม่ได้มาอยู่ตรงนั้นกับเรา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ และต่อให้เขารู้เราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะรู้สึกอะไร ผมก็เลยย่อให้เหลือแค่ว่าผมเต็มที่ แต่ความเต็มที่มันไม่ได้ถูกแงะออกมาว่ามันคืออะไรบ้าง ผมจริงจังกับงานเพราะนี่เป็นอาชีพของผม ไม่ใช่สิ่งที่ผมทำเล่นๆ เพราะผมเชื่อว่านักแสดงเป็นอาชีพได้”