สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสวฺ.) เดินหน้าลุยมาตรการ “SME ปัง ตังได้คืน” ภายใต้โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS หรือ Business Development Service อัดฉีดงบกว่า 400 ล้านบาท ให้เอสเอ็มอีใช้บริการพัฒนาธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ BDS (https://bds.sme.go.th/) ตั้งเป้าปี 2565 ช่วยเอสเอ็มอีให้ได้กว่า 6,000 ราย
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ ให้มีโอกาสเข้าถึงบริการสนับสนุนด้านการพัฒนาธุรกิจในรูปแบบใหม่ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถเลือกประเภทของบริการที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจตัวเองได้ เรียกว่า Business Development Service หรือ BDS โดย สสว. จะอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการพัฒนาให้แก่ผู้ประกอบการ แบบร่วมด้วยช่วยจ่ายในสัดส่วนร้อยละ 50 – 80 ตามขนาดของธุรกิจ สูงสุดถึงรายละ 200,000 บาท มุ่งเน้นการอุดหนุนพัฒนาใน 3 ด้าน คือ การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้าและบริการ การพัฒนาช่องทางการจำหน่ายและการตลาด และการพัฒนาการตลาดต่างประเทศ
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสวฺ.) กล่าวว่า แนวคิดหลักของมาตรการใหม่ล่าสุดของ สสว. ที่มีชื่อว่า SME ปัง ตังได้คืน คือ ต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้พลิกฟื้นและพัฒนาธุรกิจให้ก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเบื้องต้น สสว. พิจารณาผู้ประกอบการใน 4 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ 1. กลุ่มท่องเที่ยว (Restart) เช่น โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร บริการเพื่อสุขภาพ นำเที่ยวหรือจำหน่ายของที่ระลึก เพื่อพลิกธุรกิจขานรับนโยบายเปิดประเทศ 2. กลุ่มผลิตอาหารและเครื่องดื่ม (Food) รวมไปถึงการผลิตยาและสมุนไพร 3. กลุ่มอุตสาหกรรม New S-Curve เช่น อุตสาหกรรมการบิน อากาศยานและเครื่องมือแพทย์ และ 4. กลุ่ม BCG เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว กลุ่มเกษตรแปรรูป และการค้าและบริการอื่น ๆ
“ข้อดีของมาตรการ SME ปัง ตังได้คืน คือ นอกจากเอสเอ็มอีจะโตขึ้นจากการพัฒนาบริการด้านมาตรฐานจนทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้น จนปังแล้ว เอสเอ็มอีก็ต้องได้ตังคืนด้วย ซึ่งมองว่าได้ตังคืนสองต่อ คือ ตังได้คืน ต่อที่ 1 จากการที่เอสเอ็มอีพัฒนาเสร็จสิ้นแล้ว จะได้เงินคืนจาก สสว. 50 – 80% ไม่เกิน 200,000 บาท และตังได้คืน ต่อที่ 2 คือ หลังจากที่เอสเอ็มอีได้รับการพัฒนาธุรกิจจากการที่ได้รับมาตรฐานต่างๆ และได้กำไรกลับมาให้สู่ธุรกิจ” ผอ.สสว. ระบุ
โดยขณะนี้มีจำนวนกว่า 80 หน่วยงาน และขึ้นบริการบนระบบแล้ว 100 บริการ ซึ่งบริการที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ บริการการจัดทำฉลากโภชนาการ บริการเตรียมความพร้อมเพื่อรับรองเครื่องหมายทางเลือกสุขภาพ บริการขออนุญาต อย. และบริการให้คำปรึกษาการจัดทำระบบมาตรฐานฮาลาล เป็นต้น ซึ่งคาดว่า หลังจากนี้ สสว. จะสร้างให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานผู้ให้บริการทางธุรกิจ ที่มีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างโอกาสและสร้างการเติบโตให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทย
ด้านคุณสมบัติของผู้ประกอบการ. ที่ประสงค์ขอรับบริการตามมาตรการ " SME ปัง! ตังได้คืน... ภายใต้โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS เพื่อรับการอุดหนุนค่าใช้จ่ายร้อยละ 50-80 นั้นจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. เป็น SME ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงที่ออกตาม พรบ.ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ.2543 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และเป็นกลุ่มสาขาตามที่ สสว. กำหนดได้ขึ้นทะเบียนไว้กับ สสว.
2. ยื่นชำระภาษีตามกฎหมาย (มีสำเนารายการยื่นภาษีปี 2562) ได้แก่ ภงด.50, ภงด.90 ปี 2562
3. กรณีบุคคลธรรมดาต้องมีสัญชาติไทย/กรณีนิติบุคคลต้องมีจำนวนหุ้นของบุคคลสัญชาติไทยถืออยู่เกินกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด
หลักฐานประกอบการสมัคร จะต้องเตรียมเป็นไฟล์เป็น PDF ขนาด ไม่เกิน 20 MB. โดยกรณีเป็นนิติบุคคล จะต้องเตรียมสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนฯ ที่จดทะเบียนตั้งแต่ปี 2562 หรือก่อนหน้า สำเนาเอกสารการยื่นชำระภาษี (ภ.ง.ด. 50 ปี 2562) สำเนาบัตรประชาชนผู้มีอำนาจลงนาม หากเป็นบุคคลธรรมดาจะต้องเตรียมสำเนาเอกสารการจดทะเบียนพาณิชย์/ทะเบียนวิสาหกิจชุมชน/ทะเบียนที่จดกับหน่วยราชการอื่นที่แสดงถึงการประกอบธุรกิจตั้งแต่ปี 2562 หรือปีก่อนหน้า สำเนาเอกสารการยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90 ปี 2562) และสำเนาบัตรประชาชน
สามารถสมัครและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bds.sme.go.th/Sme ผู้ประกอบการ SME สามารถดูขั้นตอนการสมัคร และยื่นข้อเสนอการพัฒนา ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ และพัฒนาจนเสร็จสิ้นได้ถึง 30 กันยายน 2565 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1301 หรือศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจร OSS ทุกจังหวัด เพียงเท่านี้ ผู้ประกอบการ SME ก็จะได้รับการพัฒนาธุรกิจแบบ "SME ปัง ตังได้คืน”