“เต้ ปิยะรัฐ” ลั่นเบื่อ โลก LGBTQ เขาไปถึงไหนกันแล้ว แต่ของเมืองไทยยังลีลาไม่เลิก ลั่นสู้เพื่อ LGBTQ ในแบบฉบับของตัวเองมาตลอด พยายามสอดแทรกเข้ารายการ ใฝ่ฝันอยากเป็นนักการเมือง เล่นละครในรอบ 20 ปีกังวลเรื่องภาพลักษณ์ เครียดประกบเจนใหม่
ถึงแม้จะเป็นถึงผู้บริหาร แต่การได้กลับมาเล่นละครในรอบ 20 ปี ก็ต้องเข้าไปแคสติ้งเหมือนนักแสดงทั่วไป สำหรับ “เต้ ปิยะรัฐ กัลย์จาฤกษ์” โดยในงานแถลงข่าวเปิดตัวซีรีส์วายรับปี 2023 เรื่อง PARTNER IN CRIME อาชญากรรมรัก นักกฎหมาย ณ สตูดิโอ กันตนา รัชดาภิเษก เจ้าตัวเผยว่าสิ่งที่เหลืออยู่คือสัญชาตญาณ ส่วนเหตุผลที่กลับมาแสดงนั้น เพราะอดีตใฝ่ฝันอยากเป็นนักการเมืองที่สู้เพื่อ LGBTQ ส่วนกรณี พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมผ่านเข้าสภาก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ยังต้องสู้กันต่อไป และยังไม่วางใจ
“20 ปี นานจังเลย (หัวเราะ) ก็เป็นนักแสดงน้องใหม่นะครับ ขอฝากตัวไว้กับน้องๆ ด้วย เพราะไม่ได้แสดงนานมาก คือไม่เหลืออะไรเลยกับวิชาที่สั่งสมมาตลอดชีวิต เหลือแต่สัญชาตญาณที่ยังเหลืออยู่ เพราะฉะนั้นก็ต้องเคาะสนิมกันเยอะมากครับ แต่ทางทีมงานเขาจะมีเวิร์กช็อปกับน้องๆ ก็ค่อนข้างจะเบาใจขึ้นมาหน่อย
เหตุผลที่กลับมาแสดง หลักๆ เลยมันตรงกับหลายๆ อย่างที่คิดเอาไว้ และเต้เป็นนักสู้อยู่แล้วตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่กลับมาจากต่างประเทศก็สู้เรื่องนี้มาตลอด แต่สู้ในทางของตัวเองคือจะสอดแทรกเข้าไปในรายการต่างๆ ถ้าย้อนกลับไปดูจะเห็นและเห็นชัดด้วย และเคยให้สัมภาษณ์ไปหลายครั้ง และเคยใฝ่ฝันว่าวันนึงอยากจะเป็นนักการเมือง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ เพราะยังมีอีกหลายๆ อย่างที่อยากจะทำก่อน และถึงจุดนั้นเราอาจจะยังสั่งสมบารมีไม่พอ
แต่พอบทนี้มันเข้ามา 1.คือบทนี้เป็นนักการเมืองและเป็น LGBTQ ที่สู้เพื่อ LGBTQ ความเท่าเทียม สู้เพื่อสมรสเท่าเทียม และสิทธิความเท่าเทียมของมนุษย์และที่สำคัญที่สุดคือเขาแคสตัวเต้ ซึ่งเต้เป็น LGBTQ เต้เป็น G และมาเล่นเป็น G ในเรื่องจริงๆ อันนี้ทำให้เต้ตอบรับทันที เพราะเขาไม่ได้เอาคาแรกเตอร์ผู้ชายแท้ๆ มาเล่นเป็น LGBTQ ซึ่งอันนี้มันทำให้คนสับสนมาก ในต่างประเทศเป็นหัวข้อที่คุยกันค่อนข้างเยอะ
และเป็นหัวข้อที่ควรจะต้องเปลี่ยน representation (การเป็นตัวแทน) ในประเทศเราให้เยอะเลย ในประเทศไทยยังมี representation ของ LGBTQ+ ที่เป็นโปรเฟสชั่นแนลน้อยอยู่พอสมควร เรายังเห็น LGBTQ+ ที่ representation ยังเป็นตลก หรือเป็นแดร็กควีน หรือไม่ใช่เป็นโปรเฟสชั่นแนล เพราะฉะนั้นเราต้องการโปรเฟสชั่นแนลเหล่านี้ ที่เป็นตัวจริงๆ ไม่ใช่หลอกๆ กันเยอะมากขึ้นเพื่อให้คนรุ่นหลังเข้าใจพวกเรามากขึ้น และมองเข้ามาและมีไอดอล เข้าใจว่ามีคนแบบเขาอยู่ และไม่ใช่สิ่งที่เอามาล้อเล่นกัน นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจได้ทันทีเลย”
ถึงเป็นระดับผู้บริหารแต่ก็ต้องเข้าไปแคสติ้งเพื่อเล่นบทนี้
“เขาก็แคส (หัวเราะ) เขาก็เรียกเราไปเทสต์ดูความเหมาะสมกับคู่ของเราด้วยครับ เพราะเรามีคู่ไง เราร้องมีแฟน เพราะเราก็เป็นคนที่ไม่มีแฟนมาหลายปีแล้วนะ (หัวเราะ) เขาก็งงๆ อยู่ว่าเราทำงานเยอะขนาดนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องความรักนะครับ เขาก็มองว่าถ้าเต้จะมีแฟนมันจะเป็นยังไง หน้าตาความรักของเต้จะเป็นยังไง หาแฟนอยู่นานมากเลยว่าใครจะมาเป็นแฟนเต้
ถามว่าเลือกเองไหม ก็พยายามอยู่ แต่เขาไม่ให้เลือก (หัวเราะ) เพราะไม่ถูกใจทีมงานเขาครับ และเคมีมันไม่ได้ คนที่เต้เลือกก็เลยไม่ได้”
เครียดประกบเจนใหม่ กังวลเรื่องภาพลักษณ์ตัวเอง
“เต้เครียดมากเลย เพราะปีนี้เต้ก็ 43 แล้ว อายุก็ไม่ได้ถอยลง มีแต่จะเพิ่มขึ้น แต่มันก็เหมาะกับสถานการณ์และเหมาะกับบท เต้ว่ารวมๆ แล้วถึงแม้ว่าเต้จะอายุมากสุด แต่เต้ก็ยังลุยได้อยู่ อายุไม่ใช่อุปสรรค อุปสรรคคือการแสดงแล้วล่ะตอนนี้ ต้องเคาะสนิมกันเล็กน้อยครับ
เต้กังวลเรื่องภาพลักษณ์นิดนึงครับ เพราะ 15 ปีที่เต้กลับมาอยู่ประเทศไทย แล้วไม่ได้กลับไปต่างประเทศเลย ตั้งแต่ทำรายการมา The Face, Drag Race, Gossip Girl, Ugly Betty, ET Thailand หลายๆ รายการที่ทำมา คนก็จะเห็นเต้ในภาพลักษณ์ที่หลากหลาย เดี๋ยวก็ผมสีชมพู เดี๋ยวผมสีขาว เดี๋ยวผมยาว เดี๋ยวก็ถอดเสื้อ เดี๋ยวนู้ด เดี๋ยวออกกำลังกายอะไรแบบนี้ มันก็จะมีภาพลักษณ์ของเต้ที่ค่อนข้างจะหลากหลายอยู่เหมือนกัน พอมาคราวนี้เราต้องเป็นนักการเมืองที่ค่อนข้างภูมิฐาน เราจะสามารถตีความออกมาให้คนดูเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน โดยที่ไม่ติดภาพเดิมของเรามากไป หรือให้เขาเข้าในเต้ทั้งสองภาพได้ก็ดี เต้ก็เป็นห่วงแค่ตรงนั้น”
ไม่กังวลซีรีส์เสียดสีสังคม
“เต้ไม่กังวล เต้มีเรื่องจะพูดเยอะ เต้ว่าอันนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้เต้พูดมากกว่า และหลังๆ นี้เขาจะมาสนใจเรื่องนี้กันเยอะ เต้ว่าอยู่ดีๆ มันไม่ใช่ว่าตื่นมาแล้วเขาสนใจ มันต้องมีอะไรที่ทำให้เขาสนใจ แต่ขอบคุณมากนะครับ (ยกมือไหว้) ที่สนใจเรา ทำให้เรามีตัวตนขึ้นมา เราขอบคุณมากๆ เลย ตอนนี้ก็มาให้ใช้แล้ว ก็ใช้ให้ถูกคนนะครับ”
ไม่หวั่นดรามา ลั่นเบื่อแล้ว โลกไปถึงไหนกันแล้ว
“ไม่กลัว อยากจะให้มี ก็เบื่อแล้ว เบื่อเรื่องนี้มากเลย เขาไปถึงไหนกันแล้ว ก็เข้าใจว่าต้องลีลากันอีกสักพักนึง คือได้อะไรมาง่ายๆ มันก็ไม่ดี และถ้าได้มาแล้วมันอยู่ถาวรอย่างตอนนี้ที่อเมริกาเป็นเรื่องเศร้ามากสำหรับมนุษย์ที่ถูกพรากเอาสิทธิไปเฉยๆ ในการตื่นมาวันนึง ทั้งๆ ที่ถูกให้มาแล้วเป็น 100 ปี ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น อย่าให้เราเอาคืนนะ (หัวเราะ) และวางรากฐานให้ดีเลย เพราะมันจะส่งให้ลูกให้หลานของพวกเราต่อไป คือมันไม่ใช่ LGBTQ อย่างเดียว มันเป็นของผู้หญิงด้วย สิทธิของผู้หญิงก็ต้องเท่าผู้ชายแล้วตอนนี้ เราต้องสู้ เรายังอยู่ในยุคที่เราต้องสู้กันต่อไป
และหวังว่าสิ่งต่างๆ ที่เราสู้ในแบบของเรา เรามีภาพยนตร์ เรามีละคร เรามีซีรีส์แบบนี้ออกมาให้ดู มันจะสะท้อนให้ถึงคนมากขึ้น ให้คนเข้าใจมากขึ้นว่าสิทธิของตัวเองคืออะไร และได้ไปแล้วเอาไปทำอะไร รู้ไหมว่าได้ไปแล้วเอาไปทำอะไร เพราะถ้าได้ไปแล้วมันจะมีประโยชน์กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งมันจะมีคนมาเที่ยวที่เราเยอะมากขึ้น มีคนมาแต่งงานที่เรามากขึ้น อเมซิ่งไทยแลนด์ คนจะผูกพันกับประเทศไทยชั่วลูกชั่วหลาน ชั่วกัลปาวสาน จะมากันเรื่อยๆ เศรษฐกิจจะดีมากขึ้น
แล้วคนของประเทศไทยจะเป็นยังไง และมันจะดีกับสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ยังไงมากกว่า การศึกษาในโรงเรียน ไปช่วยน้องๆ ที่อยู่ตามต่างจังหวัดหน่อย เขายังโดนบูลลี่อยู่หรือเปล่า สุขภาพจิตของน้อง คุณครูที่สอนน้องๆ เข้าใจแค่ไหน และไปสอนน้องๆ ต่อ หรือตอนนี้น้องๆ อาจจะหาข้อมูลได้เยอะกว่าคุณครูแล้ว กว่ารุ่นเราแล้ว เขาไปข้างหน้ากว่าเราแล้ว มันมีเรื่องให้คุยอีกตั้งเยอะแยะกว่าเรื่องการสมรสเท่าเทียม และสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่ตอนนี้เรายังอยู่ตรงนี้อยู่ ก็ดีแล้ว ก็มีเรื่องให้คุยอีกเยอะ และยังวางใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้