“เป้ วงมายด์” ควงภรรยา “กร ษิภูตา” เข้าแจ้งความเกรียนคีย์บอร์ดคอมเมนต์ใช้คำหยาบคายกับลูกชายฝาแฝด ลั่นพูดจาแบบนี้กับเด็กได้ยังไง ตนและภรรยาไม่สามารถให้อภัยหรือยกเว้นได้ ไม่รับเป็นกระเช้าดอกไม้ เตรียมรอหมายศาลหน้าบ้านได้เลย
ทำเอาหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่เดือด เมื่อลูกชายฝาแฝด "น้องมิวสิค-น้องลีริคส์”ของคุณพ่อนักร้องดัง “เป้ บดินทร์ เจริญราษฎร์"หรือ “เป้ วงมายด์” และภรรยาสาว “กร ษิภูตา” ถูกคอมเมนต์ด่าทอจากเกรียนคีย์บอร์ดด้วยข้อความหยาบคาย จนเป้ ต้องออกมาโพสต์เดือดผ่านโซเชียลไปเมื่อวันก่อน
วันนี้ (28 มิ.ย.65) เป้ และ กร ได้เดินทางไปแจ้งความที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม. และได้เปิดใจถึงเรื่องนี้กับสื่อมวลชนว่า….
เป้ : “วันนี้มาแจ้งความด้วยเรื่องของการทำ Sexual Harassment เป็นคอมเมนต์ที่ไม่เหมาะสมกับคนในครอบครัวของผม คือเราเข้าใจดีว่าสมัยนี้เรามีสิทธิและเสรีภาพในการที่จะคอมเมนต์ใดๆ ก็ได้ในพื้นที่สาธารณะ แต่ในขณะเดียวกันผมมองว่าจริงๆ แล้วทุกๆ เสรีภาพมันควรที่จะต้องมีขอบเขตที่ชัดเจน เราไม่ควรจะไปก้าวก่ายหรือล้ำเส้นในส่วนที่ไม่เหมาะสม อย่างในกรณีของผม เราอยู่ในวงการมานานพอสมควร เราจะเจอคอมเมนต์ที่ชอบเราและไม่ชอบเรามาโดยตลอด
แต่อันนี้มันล้ำเส้นกันไปนิดนึงตรงที่เขามาคอมเมนต์ในเชิงที่หยาบคายกับลูกของผมทั้งสองคน ซึ่งผมมองว่าการกระทำแบบนี้ คำพูดคำจาแบบนี้ มาพูดใส่เด็ก เด็กยังอายุไม่ถึงขวบเลย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ไม่ควร ผมเลยรู้สึกว่าวันนี้อยากจะยกเรื่องนี้เป็นประเด็นให้กับสังคมดูว่านี่คือตัวอย่างของการที่เราไม่ควรจะต้องมายอมกับการที่จะมาพูดอะไรก็ได้บนพื้นที่ของเรา ซึ่งทำให้เราเสื่อมเสีย
ผมมองไปถึงอนาคตว่าถ้าลูกผมเกิดเติบโตขึ้นมา คอมเมนต์ต่างๆ ก็ยังคงจะลอยอยู่ในโซเชียลมีเดีย เมื่อเขาโตขึ้นและเข้าใจมากขึ้นมันอาจจะเป็นแผลให้กับเขาก็ได้ เราในฐานะที่เป็นพ่อแม่ของเขาก็ควรจะทำหน้าที่ผู้ปกครองที่ดีโดยการมาปกป้องสิทธิครอบครัวของเรา”
เห็นข้อความแล้วตกใจมือไม้สั่น ใช้คำพูดที่ล้ำเส้นกันเกินไป
กร : “เรื่องราวมันเกิดขึ้นในไอจีของกร ตกใจมากที่เขามาคอมเมนต์หยาบคาย และรุนแรงมากๆ ในวิดีโอของลูกทั้งคู่เลย ตอนนั้นมือสั่นไปหมด พยายามรวบรวมสติและพูดกับพี่เป้ว่าใจเย็นๆ นะ มีอะไรจะให้ดู แล้วเราไม่รู้จะต้องจัดการกับสิ่งนี้ยังไง ก็เลยแคปแล้วส่งให้พี่เป้ดู”
เป้ : “ผมรู้สึกว่าแบบนี้มันล้ำเส้นกันไป มันเป็นคำพูดที่หยาบคาย ขนาดผู้ใหญ่ด้วยกันฟังแล้วยังรับไม่ได้เลย นี่ไม่ใช้คำพูดที่ควรจะพูดกับใครเลย แบบนี้มันเกินไป คนแบบนี้ไม่ว่าเขาจะปกติหรือไม่ปกติ เขาควรจะได้รับการดูแลที่ถูกต้อง”
กร : “เพิ่งจะทราบค่ะว่าการฟ้องร้องมันจะต้องหลังจากวันที่เจอภายใน 3 เดือน อันเก่าๆ ก็เลยอายุความไปแล้ว ก็มีเคสนี่แหละที่อัปเดตล่าสุด เขาเป็นไอจีอวตาร ซึ่งเราไม่รู้อยู่แล้วว่าตัวตนเขาคือใคร”
หลังจากที่เห็นได้มีการทักแชตอินบ็อกซ์ไปหาอีกฝ่าย แต่ไม่มีการตอบกลับมา
เป้ : “ก็มีโอกาสได้ทักเข้าไปในอินบ็อกซ์ของเขา แต่เขาไม่ได้ตอบกลับมา ได้ปรึกษากับทนาย ก็ได้คำแนะนำว่าให้มาแจ้งที่นี่ ก็ตัดสินใจดำเนินการให้เร็วที่สุด ยิ่งช้ามันจะยิ่งตามยาก เลยรีบจัดการ”
กร : “เห็นเขามีลบไป 1 คอมเมนต์ เหมือนมีแฟนคลับจำนวนนึงเข้าไปถล่มในไอจีอวตารของเขา แต่ว่าเขาไม่มีการเคลื่อนไหวอีกเลย ตอนที่เห็นมันมีคำถามว่าทำไม หัวอกคนเป็นพ่อแม่รู้สึกว่าถ้าโดนที่ตัวเราไม่เป็นไรเลย เราแข็งแรงพอ แต่พอเป็นเด็ก เขาใสสะอาดเกินไปที่จะต้องมาเจออะไรแบบนี้ น้องยังเดินไม่ได้เลย ทำไมถึงหยาบคายกับเด็กได้ขนาดนี้ ใจร้ายจัง”
ถือเป็นเคสที่แรงสุด ไม่สามารถให้อภัยหรือยกเว้นได้
เป้ : “อะไรพวกนี้มันก็มีเกิดขึ้นกับตัวผมเอง ซึ่งผมโตพอที่จะเข้าใจได้ว่ามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด การกระทำของเราไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องสำหรับทุกคนอยู่แล้ว แต่นี่บังเอิญดันมาเป็นลูกของผม ซึ่งลูกของผมไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเลย เขาเป็นคนที่ให้ความสุข เวลาที่โพสต์รูปของเด็กๆ ลงไป เรามักจะได้เห็นรอยยิ้มของคนที่ติดตามเรา เขาไม่ได้ทำร้ายใครเลย และเขาก็ไม่ควรจะถูกใครทำร้ายด้วย ผมเลยรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่สามารถที่จะให้อภัยหรือยกเว้นได้”
ด้านทนาย “สรวุฒิ เจริญราษฏร์” ได้เผยเคสนี้สามารถดำเนินการฟ้องร้องในกรณีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
ทนาย : “ตอนนี้เรายังไม่ทราบว่าผู้กระทำความผิดคือใคร เราถึงต้องมาที่นี่ เดี๋ยวพนักงานสอบสวนเขาก็จะดำเนินการสืบ เบื้องต้นเข้าข่ายข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ส่วนเรื่องค่าเสียหายเดี๋ยวให้พนักงานสอบสวนเขารู้ตัวก่อน ถ้าเกิดว่ารวบรวมเอกสารส่งให้อัยการส่งฟ้องศาลก็จะเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมแล้วก็ค่อยเรียกค่าเสียหายเข้ามาอีกส่วนนึง ส่วนจะเป็นเงินเท่าไหร่เดี๋ยวต้องตกลงกับเป้อีกครั้งนึง”
ไม่รับเป็นกระเช้า ยอมรับเผื่อใจไว้เหมือนกันว่าอาจจะตามตัวไม่เจอ แต่ก็เชื่อในฝีมือตำรวจไทย
เป้ : “ผมว่ากระเช้าไม่ทำให้ลูกชายของผมรู้สึกดีขึ้น ผมไม่ได้มองว่าจำนวนเงินมันเป็นสิ่งสำคัญแต่ผมมองว่าอยากให้กรณีนี้เป็นบทเรียนให้กับคนที่ใช้โซเชียลมีเดียทุกคนว่าจริงๆ แล้วเราควรจะเคารพสิทธิและเสรีภาพของทุกคนจริงๆ แต่มันไม่ควรจะต้องมาล้ำเส้นกัน ทุกๆคนควรที่จะต้องมีพื้นที่ส่วนตัวที่อยากจะเก็บไว้เป็นสิ่งสำคัญของตัวเราไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าทุกๆ การคอมเมนต์เราสามารถที่จะคอมเมนต์ดีๆ ได้ บนเสรีภาพที่เรามีในโซเชียลมีเดียที่มันเท่าเทียมกัน มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะต้องออกมาพูดในสิ่งที่เราเก็บเอาไว้ในใจก็ได้ ถ้าไม่ชอบก็แค่เลื่อนผ่านครับ ไม่ชอบก็แค่ไม่ดู เท่านั้นเอง ไม่จำเป็นที่จะต้องมาพูดอะไรที่มันไม่ดีเพื่อจะมาทำร้ายจิตใจคนที่เป็นเจ้าของคอนเทนต์ต่างๆ เหล่านั้น ส่วนคนที่ทำก็รอรับหมายศาล รอรับหมายเรียกแล้วกันครับ
(กังวลจะตามตัวไม่ได้?) ผมค่อนข้างจะเข้าใจถึงขั้นตอนในการติดตามตัว มีทำใจไว้บ้างว่าอาจจะเจอหรืออาจจะไม่เจอ ผมก็เชื่อในฝีมือของตำรวจไทย เขาน่าจะทำให้เต็มที่แน่นอน หวังว่าเราจะได้เจอตัวเจอหน้าคนๆ นั้น ผมคงไม่ทำอะไรเขาหรอก ผมว่าผมกับเขาคงจะอยู่กันคนละที่แน่ๆ เราไม่ได้อยู่ในที่เดียวกับเขาแน่นอน ถ้าเขามีจิตใจขนาดนี้ เราอาจจะคุยกันไม่รู้เรื่องก็ได้ ให้กฎหมายเป็นคนดูแลเขาแล้วกัน ก็รอให้ตำรวจเขาจัดการดู ถ้าเจอก็ดีครับ แต่ถ้าไม่เจอถือว่าเป็นบทเรียนแล้วกันว่าอย่างน้อยที่สุดเราก็ไม่ได้ยอมกับสิ่งที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้นในสังคม เราไม่ได้นิ่งเฉย”