“กระติ๊บ ชวัลกร” เผยเส้นทางกว่าจะเป็นช่างสักมือรางวัล เคยเป็นเด็กสมาธิสั้นจนพ่อจับไปเรียนศิลปะ เสียเวลาเป็น 10 ปีกว่าจะหลุดจากคอมฟอร์ตโซนเพราะคิดว่าทำไม่ได้ น้อยใจคนไทยด้อยค่าอาชีพช่างสักทั้งที่ต่างประเทศทำรายได้เทียบเท่าหมอ ลั่นเหมือนตนทำประกันชีวิตไว้ ถ้าเลิกเป็นดาราก็ยังมีงานทำ
นอกจากงานแสดง “กระติ๊บ ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล” ก็มีโอกาสได้เริ่มเส้นทางใหม่ๆ ในอาชีพช่างสักมาได้ 8 เดือนแล้ว โดย กระติ๊บ เป็นพนักงานสักอยู่ที่ร้าน bkk_ink_tattoo_studio จนได้เพิ่มสกิลตัวเองลงแข่งขันประกวดคว้ารางวัล 2nd runner up small job black&grey
แม้ กระติ๊บ ชวัลกร จะบอกว่าไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้รางวัล แต่การมาถึงตรงนี้ได้ก็ไม่ได้เป็นเพราะโชคช่วย ซึ่งวันนี้ กระติ๊บ ได้มาเล่าเส้นทางของการเป็นช่างสัก อาชีพในฝันของเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน รวมถึงระหว่างทางของการเริ่มต้นจนได้มีอีกหนึ่งอาชีพ นั่นก็คือช่างสักในวันนี้
“ร้านที่ติ๊บสักอยู่ คือร้าน bkk_ink_tattoo_studio เป็นร้านสายแข่ง จริงๆ แล้วการแข่งขันมันไม่ใช่จุดวัดว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง แต่การที่เราเอาตัวเองเข้าไปแข่งขัน เราจะได้เปิดประสบการณ์เรา ได้ดูงานใหม่ๆ คนอื่นๆ เขาทำอะไรกันอยู่ งานแบบไหนที่ตอบโจทย์ ตอนแรกติ๊บไม่ได้คิดจะประกวด แต่พอเห็นคนโน้นคนนี้ในร้านไปก็ตัดสินใจอยู่แป๊บเดียวเลย
ติ๊บลงประกวดในประเภท black&gray ในกติกาห้ามเกินวงแผ่นซีดี ก็มาวางแผนว่าเราจะเอารูปอะไรที่สามารถเล่าเรื่องราวกับขนาดที่เล็กขนาดนี้แล้วมันตอบโจทย์และพิเศษจริงๆ ตัวติ๊บเองเคยเรียน วาดรูป เคยเรียนวาดรูปคนมาก่อน ก็มาดูว่าลายสักที่เป็นแนวรูปวาดยังไม่ค่อยมี แนวเส้นดินสอนุ่มๆ มันไม่ค่อยมีเลย มันเริ่มต้นจากจุดที่ว่าอยากทำตรงนี้
แล้วอาจารย์ของติ๊บ ชื่อพี่บอล ก็บอกว่าถ้าอยากทำก็ลองเลย ติ๊บโชคดีที่พี่บอลเป็น 1 ใน 100 ช่างสักที่ดีที่สุดในโลก เขาจะมีประสบการณ์ด้านการแข่งขันมาสูง เขาเองก็เคยได้รับเชิญเป็นกรรมการในการประกวด เขาจะรู้ว่างานที่ดีมันควรเป็นยังไงบ้าง ติ๊บโชคดีมากๆ ที่ได้คนร่วมทางที่ดี คอยสอนคอยไกด์”
Micro Realism Tattoos เป็นแนวการสักของ “กระติ๊บ ชวัลกร”
“ที่ร้านเขาจะบอกเลยว่าคนเราไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง ทุกแนว การสักมันมีหลายแนว ไม่ได้มีแค่ลายไทย ลายญี่ปุ่น เขาจะกำหนดเลยว่า ยูอยากเป็นอะไร ถ้ายูอยากเป็นอันนี้ยูก็ซ้อมไปทางนี้เลย ยูไม่จำเป็นเลยว่าจะต้องทำญี่ปุ่นได้ ทำตัวอักษรดี ทำลายชนเผ่าได้ เขาจะกำหนดมาเลยว่าให้โฟกัสแค่ตรงนี้นะ แล้วทำให้มันดี เลือกทางของตัวเองไปตั้งแต่ต้นเลยว่าอยากทำอยากจะเป็นอะไร
ติ๊บมองว่าสุดท้ายแล้วศิลปินทุกคนต้องมีแนวทางของตัวเองที่ชัดเจน ก็เลยโฟกัสแนวนี้มาตลอด ก็คือแนว Micro Realism Tattoos ก็คือภาพเหมือนขนาดเล็ก ด้วยความที่เราเรียนวาดรูปมา ก็จะชอบแนวที่มีความเป็นดินสออยู่ บวกกับสไตล์นึงของการสัก ผสมกันเป็นแนวทางที่ติ๊บถนัด ก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกันที่จะบังคับเครื่องสักที่มันเคลื่อนที่ได้ตลอดเวลาให้เข้าที่ได้เหมือนกับที่เราใช้ดินสอ ภาพที่ประกวดวันนั้นใช้เวลาอยู่ประมาณ 9 ชั่วโมง”
ตัดสินใจเข้าประกวดเพราะอยากได้รับโอกาสสร้าง soft power ให้กับวงการสักไทย ไม่หวั่นดรามาเพราะเป็นดารา มองงานตัวเองไม่ค้านสายตาที่จะได้รางวัล
“พอทุกคนรู้ผลก็ตกใจนะ ที่ร้านก็ตกใจกันหมด เขาบอกว่าติ๊บรู้ไหม บางคนเขาสักกันนานมากกว่าเขาจะได้รางวัล แต่ติ๊บมาครั้งแรกแล้วได้รางวัลเลย ที่ร้านก็กลัวดรามา ว่าเราดารารึเปล่า แต่ตัวติ๊บไม่รู้สึกกังวลเพราะเราอยู่กับดรามามาตลอด งานที่ติ๊บส่งไปคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ติ๊บทำ ณ วันนั้น ก็รู้สึกว่าไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลยในเมื่อติ๊บมั่นใจในงานของตัวเองว่ามันคือสิ่งที่ดีที่สุดในวันนั้น ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าติ๊บชอบทางนี้ ไม่ได้รู้สึกว่ามันค้านสายตา
ใจจริงๆ ในการเข้าประกวดในครั้งนี้ ติ๊บอยากได้โอกาสในการมาพูดเป็น soft power ให้กับวงการสักไทย ศิลปะไทยไม่จำเป็นต้องอยู่ในขนบธรรมเนียมแบบเก่า และช่วยสร้างเศรษฐกิจสร้างเม็ดเงินได้ เพียงแค่ให้โอกาสคนที่ทำอาชีพนี้ให้ได้ออกมาพูดบ้าง ภาพของอาชีพช่างสักไทยที่ผ่านมาเราถูกโดนมองไปในอีกแบบนึง ยังไม่เป็นที่ยอมรับ แต่จริงๆ ทั่วโลกเขาให้การยอมรับในวงการสักไทยนะคะ ถ้าเราได้มีเสียงตรงนี้ มันจะเป็น soft power ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปได้ดีมากๆ ซึ่งหลายคนยังมีทัศนคติที่ประหลาดกับอาชีพนี้อยู่ ติ๊บรู้สึกว่ามันเป็นอาชีพที่มีเกียรติ และเท่มากๆ มันทำเป็นอาชีพได้จริงๆ”
สำหรับ “กระติ๊บ ชวัลกร” ช่างสักเป็นอาชีพที่มีเกียรติและเท่มากๆ แต่ที่คนไทยด้อยค่าเพราะขาดการพูดคุย ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน
“ติ๊บมองว่าทัศนคติมันก็เหมือนกันวัฒนธรรม มันก็เปลี่ยนไปได้ตามกาลเวลา เราไม่ได้เอาความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้งหรือตัดสินใคร ยุคสมัยมันก็ไปเรื่อยๆ วันนึงสิ่งนึงที่เคยคิดว่าถูก คิดความมันควรจะเปิดกว้าง เพราะตอนนี้มันเป็นโลกของการยอมรับซึ่งกันและกัน อย่างประเทศญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม เขาพัฒนาวงการสักจนกลายเป็น soft power คนจากทั่วโลกอยากบินไปสักกับช่างคนนี้ ติ๊บบอกเลยว่าคนไทยเราเก่งมากๆ นะ แต่พื้นที่ในการที่พูดอะไรออกมามันน้อยเกินไป ฉะนั้นคุณอย่าไปตัดสินใครดีหรือไม่ดี การที่ตัดสินคนไปเลย มันเป็นการมองโลกที่แคบไปรึเปล่า
(ช่างสักไทยเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก แต่คนไทยกลับด้อยค่า?) ติ๊บก็น้อยใจนะ ที่คนไทยด้อยค่าศิลปะไทยกันเอง เขาแค่ขาดการพูดคุยหรือทำความเข้าใจซึ่งกันและกันมากกว่า บางคนดูถูกศิลปะด้วยการตีค่าราคาแค่นี้เองทำไมถึงแพง แต่คุณรู้ไหมว่ากว่าที่เขาจะมานั่งตรงนี้อยู่เป็นชั่วโมง เขาต้องฝึกมาแล้วไม่รู้กี่ชั่วโมงถึงจะทำได้ขนาดนี้ สิ่งนึงที่มันต้องมาควบคู่กันคือการเข้าใจซึ่งกันและกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน การที่จะบอกใครว่าติ๊บเป็นช่างสักติ๊บรู้สึกว่ามันเท่ และมีเกียรติมากๆ มันคือความภูมิใจจริงๆ
กว่าเราจะมาถึงจุดที่เราสักคนอื่นได้ รับผิดชอบงานที่มันจะติดร่างกายเขาไปตลอดชีวิตได้ เหมือนเป็นตัวแทนลงบันทึกลงไปในผิวของเขาได้ เฮ้ย… มันเป็นอาชีพที่เท่และมีเกียรติมากๆเลยที่เราได้รับความไว้วางใจจากเขา เราต้องใช้สติในการทำงานมากๆ เราต้องไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆ บางทีเราหัวเสียจากอะไรมา เราต้องแยกแยะ ตอนที่เราทำงาน เราห้ามเศร้า ห้ามเอาเรื่องเครียดๆ มาลงกับงาน มันเป็นการฝึกสมาธิที่สุดๆ สำหรับติ๊บเลย มันเลยเท่มากๆ”
เปิดเรทรายได้ช่างสัก บางประเทศทำเงินเทียบเท่าอาชีพหมอ
“เรตของราคาเริ่มจากขนาด ในขนาดดูความละเอียดของงาน เทคนิค ความชำนาญของแต่ละคน สุดท้ายคือการันตีผลงาน ต่างประเทศอย่างอเมริกา อาชีพช่างสักทำรายได้เทียบเท่าหมอเลยนะ ลายสักบางลายก็หลักแสน ถ้าเราทำตัวเองให้ถึงตรงจุดนั้นได้ยังไงก็รวยมากๆ ก่อนที่ติ๊บจะมานั่งอยู่ตรงนี้ ติ๊บเคยหาข้อมูลโดยการไปนั่งเล่นที่สยามแล้วมองคนที่เดินผ่านไปมาว่ามีคนสักกี่คน มันก็ไม่น้อยเลย และสังคมเดี๋ยวนี้เปิดกว้างการการสักขึ้นมาก
ตัวติ๊บเองยังเป็นช่างสักมือใหม่ ยังไม่ได้คิดว่าจะมาร่ำรวยทางนี้ เรายังอยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ อยากทำให้มันเป็นอาชีพที่สนุก ที่เราเหนื่อยมากจากอาชีพนั้นแล้วเรามาพักผ่อน แต่ในการพักผ่อนเราก็จริงจังกับมันนะ ไม่ได้ทำเล่นๆ ไม่ได้เป็นดาราแล้วจะมาหวังเงินจากตรงนี้ มันไม่ใช่ แค่มีคนตรงใจกับติ๊บ อยากให้ติ๊บสักให้มันก็จะเป็นวันที่ติ๊บมีความสุขมากๆ แล้วที่ติ๊บได้ทำมัน”
เปิดจุดเริ่มต้น “กระติ๊บ ชวัลกร” กับงานศิลปะ ใช้บำบัดอาการสมาธิสั้นในวัยเด็ก
“จุดเริ่มต้นของติ๊บกับศิลปะเกิดมาจากที่ติ๊บเป็นเด็กสมาธิสั้น พ่อก็เลยพาไปเรียนศิลปะ คือก่อนหน้านี้พ่อก็พาไปเรียนหลายอย่าง ทั้งดนตรี กีฬา แต่ติ๊บไม่สามารถอยู่นิ่งๆ ได้เลย คุณหมอก็เลยแนะนำว่าให้หากิจกรรมที่ติ๊บชอบจะได้อยู่นิ่งๆ ได้นานๆ ก็มาค้นพบว่าเป็นการวาดรูป
ถ้าในระบบการศึกษาไทย ติ๊บถูกจัดอยู่ในอันดับที่เป็นเด็กเรียนไม่เก่งทางด้านวิชาการเพราะติ๊บโดนไม้บรรทัดของกระทรวงศึกษาฯ วัดไว้แบบนั้น แต่ติ๊บก็มองว่าแม้จะเรียนไม่เก่ง แต่คนเราก็สามารถเก่งในด้านอื่นได้ ตั้งแต่ ม.4 มา ติ๊บก็มุ่งมั่นที่จะเรียนทางศิลปะ ก็พุ่งมาเป็นทางนี้เลย ติ๊บเป็นครูสอนศิลปะมาตั้งแต่เรียน ปี 1 ตอนเป็นนางงามก็ยังเป็นครูสอนศิลปะเด็กอยู่เลย จนมาเป็นนักแสดงนี่แหละที่หายไปจากศิลปะ งานเรายุ่งมากจนไม่สามารถทำอยู่กับศิลปะได้”
ช่วงโควิดทำให้เกิดคำถามกับตัวเอง ถ้าไม่เป็นดาราตอนนี้ทำอะไรอยู่ เป็นจุดเริ่มต้นให้เริ่มลองเปิดทางให้ตัวเองกับอาชีพสัก
“ช่วงโควิดมันเลยเกิดคำถามขึ้นกับตัวเองตอนโควิดว่าถ้าวันนั้นเราไม่ได้เป็นดารา วันนี้เราทำอะไรอยู่ เราเป็นอะไรอยู่ อ๋อ... เราคงจะเป็นศิลปินอยู่ แล้วเป็นศิลปินอะไรได้บ้าง ก็รื้อความคิดไปจนเจอว่าเราเคยอยากเป็นช่างสัก แล้วทำไมเราไม่ทำ ทำไมเราปล่อยเวลามาเนิ่นนาน จนวันนี้เราถึงเพิ่งจะมาคิดทำ ก็รู้สึกเสียดายเวลา วันนี้รู้สึกเลยว่าถ้าคนอย่างติ๊บทำได้ ใครก็สามารถทำได้ถ้ามีความมั่นใจ
ที่ติ๊บลุกขึ้นมาทำแบบนี้ เพราะติ๊บไปเจอหนังสือเล่มนึงมา เขาบอกว่าคนเราจะเชี่ยวชาญสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ เพียงเราฝึกอะไรก็ตามเกิน 10,000 ชั่วโมง เพียงแค่เรามีเวลาให้มันถึง 10,000 ชั่วโมง เราก็จะเป็นเซียนทางด้านนั้นๆ เราก็มาคิด แล้วคนที่ไปไม่ถึง 10,000 ชั่วโมงคืออะไร อ๋อ... มันมีเรื่องราวระหว่างทางที่ทำให้ท้อ
วันนี้ติ๊บมีวุฒิภาวะพอที่เราจะไม่ทิ้งอะไรไปง่ายๆ แล้ว ติ๊บอายุ 30 กว่าแล้ว การเริ่มต้น การจะลองอะไรมันไม่เหมือนกับตอนเราเด็กๆ ทำ เราลั่นไกแล้วก็ไปตรงนั้นเลย หลังจากอ่านหนังสือเล่มนั้นจบก็คุยกับตัวเองว่าเราลองทำอะไรสักอย่างดูไหม ลองเชื่อทฤษฎีนี้ดูไหมว่ามันเป็นไปได้จริงๆ คนเราสามารถเก่งอะไรก็ได้ถ้าเราทำมันอย่างตั้งใจจริงๆ”
เป้าหมายของ “กระติ๊บ ชวัลกร” กับอาชีพช่างสัก
“ติ๊บอยากให้มันเป็นอาชีพนึงที่เหมือนติ๊บทำประกันชีวิตเอาไว้ ว่าวันนึงติ๊บเฟลจากอาชีพนี้ก็ยังมีอีกอาชีพนึงที่ให้ติ๊บทำได้ ชีวิตติ๊บไม่เกิดการสะดุดอะไร ก็จริงจังกับมันนะ เหมือนพอเรามีตรงนี้มาแล้วชีวิตเราเหมือนหลุดออกมาจากคอมฟอร์ตโซน เราเคยมีความคิดว่าเราทำไม่ได้หรอก เสียเวลา มันยากเกินไป ที่ผ่านมาเพียงแค่เราไม่ดึงตัวเองไว้ด้วยคำพวกนี้ มาตอนนี้ติ๊บรู้สึกเสียใจมากเลยที่เราไม่ทำมันตั้งแต่แรก ป่านนี้ครบ 10,000 ชั่วโมงไปแล้ว
อยากบอกทุกคนว่าไม่ว่าคุณจะทำอะไรอยู่ก็ตาม หรือมีความฝันอยู่ ลุกขึ้นมาทำมันเลย อย่ามัวแต่ลังเลแล้วลุกขึ้นมาทำตอนอายุ 30 กว่าแบบติ๊บ มันปวดหลัง(หัวเราะ) แต่ก็ยังดีที่เราได้ค้นพบมัน บางคนมาคอมเมนต์ว่าติ๊บโชคดีเนอะที่ได้เริ่มต้นทำในสิ่งที่ตัวเองรัก อยากจะบอกว่าเราก็แค่ลุกขึ้นมาทำมันอย่างจริงจัง อย่าไปกลัว นอกจากนี้ติ๊บเองก็ยังมีอีกตั้งหลายฝัน ตอนนี้รู้สึกว่าทำไมวันนึงไม่มีสัก 50 ชั่วโมง หรือทำไมเราไม่ทำมันตั้งนานแล้ว พอมองย้อนกลับไป เราจะรู้ว่า now or never อย่าเสียเวลาไปมากกว่านี้เลย ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำตอนไหนแล้ว โอกาสเดียวเท่านั้นที่จะทำบางสิ่ง คือคำๆ นี้เลยจริงๆ”