“ฌอห์น จินดาโชติ” แย้มรัก “เพชร ภิพัชรา” 2 ปีสุดแฮปปี้ ตัวติดกันไปไหนไปด้วยกันแทบทุกที่ แม้จะต้องปรับตัวกันอยู่บ้างแต่ก็เข้ากันได้ดี กับรักครั้งนี้คิดและตั้งใจจะแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน
รักหวานตลอดไม่เคยตกสำหรับคู่ของ “ฌอห์ณ จินดาโชติ” และ “เพชร ภิพัชรา แก้วจินดา” เจ้าของแบรนด์ดัง PIPATCHARA ที่ทั้งคู่ควงกันมางานงานเปิดตัวกระเป๋าแบรนด์ PIPATCHARA คอลเลกชั่น Infinitude จากการนำวัสดุรีไซเคิล ที่ชั้น G สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม ทั้งฌอห์ณ และ เพชร ก็ได้ควงกันมาเปิดใจถึงความรักของทั้งสองที่คบกันมานานถึง 2 ปีแล้ว
ฌอห์ณ : “เราคบกันมา 2 ปีแล้วครับ พอๆ กับคอลเลกชั่นนี้ของเขา เติบโตมาด้วยกันอยู่ในทุกที่ทุกเวลาทุกสถานะทั้งการทำงาน ฐานะของแฟน ฐานะของพี่ของน้อง และของเพื่อน เป็นความโชคดีของผม ผมพูดเสมอว่าโชคดีที่มีเขา เขาเป็นคนมีเจตนาที่ดีและมีความสามารถ มันส่งผลให้เราเพราะเขาเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีมากๆ ทำให้เราขับเคลื่อนไปในทางที่ดี เวลาเราช่วยเหลือกันเราจะไม่เอาอัตตาตัวเองเป็นที่ตั้ง วันนี้ที่มาเขาให้ผมทำอะไรผมก็ทำ ในงานของผมเขาก็ทำเช่นกัน เรารู้สึกดีจัง มันทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น”
คอยซัปพอร์ตกัน ตัวติดกันไปไหนไปด้วยกัน
ฌอห์ณ : “มันก็มีทั้งส่วนเหมือนและต่าง แต่ส่วนที่ต่างเราชอบที่จะเรียนรู้กัน คุณเพชรเองเป็นคนเปิดทัศนคติในการรับฟังที่ดี เขาเห็นความต่างแล้วเขาไม่ตัดสิน เขาจะถามว่าพี่คิดอย่างนี้เพราะอะไร นั่นก็เลยเป็นสิ่งที่ทำให้เราชอบที่จะเรียนรู้ เราไม่เคยรู้สึกเสียเวลาที่จะมาในวันงานของเขาแทนที่จะเราไปเจอหลังเลิกงานก็ได้ ผมรู้สึกมันเป็นโมเมนต์ที่เราอยากเก็บเกี่ยวไปด้วยกัน ก็เลยอาจจะเป็นคู่ที่คนรู้สึกว่าฌอห์ณอยู่ไหนเพชรอยู่นั่น ไม่ว่าจะลงเขาลงห้วยเดินห้างเราก็อยู่ด้วยกัน”
ด้าน “เพชร ภิพัชรา” เผยพอได้คบกัน “ฌอห์ณ” ไม่เหมือนที่เคยคิดไว้
เพชร : “เขาไม่เหมือนกับภาพแรกเลย (หัวเราะ) เพชรว่าเขาอ่อนโยนมากกว่าที่เห็นตอนแรก และเขาเป็นแคร์ริ่งมากๆ ใส่ใจในทุกรายละเอียดจริงๆ ในเรื่องของความคิดด้วย เพชรรู้สึกว่าคนที่สามารถนำไปได้เขาก็ต้องมีความคิดที่ดีและมีเจตนาที่ดีด้วย เรียกว่าแพ้ให้กับทัศนติเลย เพชรรู้สึกว่าทัศนคติสำคัญนะคะ เพราะในทุกวันที่ต้องใช้ชีวิตถ้าเราไม่มีการ์ดที่ดีก็อาจจะพาเราไปในทางที่ผิดทางได้ ในหลายๆ ครั้งที่เพชรจะไปผิดทาง เขาก็พยายามพาไปในทางที่ถูกทาง”
แม้จะเข้ากันได้ดี แต่ก็มีเรื่องที่ต้องปรับตัวอะไรกันเยอะ
ฌอห์ณ : “มีครับ เวลาปรับเราจะไม่รู้สึกเครียดในการปรับ เรารู้สึกเป็นเรื่องสิ่งใหม่ เราไม่เคยทะเลาะกันเรื่องเดิม การที่เราทะเลาะคือสิ่งใหม่ที่เราไม่เคยเจอในอีกด้านหนึ่งของกันและกันแล้วเราก็พร้อมที่จะแก้ ผมโชคดีมากๆ เลยที่มีผู้ร่วมงานที่เป็นซัปพอร์ตเตอร์ขนาดนี้ และเป็นแฟนที่ดีมากๆ ครับ
ผมว่าถ้าเรารักใครสักคน เราพร้อมที่จะลดตัวตนเรา เราก็พร้อมที่จะเปิดใจกับทุกสิ่ง คือเราจะไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เหมือนเวลาคุณพ่อคุณแม่เขารักเรา เรารักคุณพ่อคุณแม่ เราก็ฟังเราเข้าใจและจะหามุมที่เข้าใจแกให้เร็วที่สุด เช่นเดียวกับคุณเพชร เราอาจจะเติบโตมาในบริบทสังคมที่แตกต่างกันแต่เราแคร์ความรู้สึกกัน เราเชื่อและศรัทธาในบุคคลนี้เราก็ฟังเหตุผลเขาก่อน”
กับรักครั้งนี้คิดและตั้งใจจะแต่งงาน
ฌอห์ณ : “ผมคิดเสมอ และตั้งใจแบบนั้นจริงๆ”
เพชร : “ก็ดีใจกับเขาด้วย (ยิ้มเขิน) คำถามนี้เพชรตอบยากมากๆ เลย เพชรว่าเขาน่ารักมากๆ และเขาก็ดีมากๆ เขาให้กำลังใจเสมอ เขาอยากได้อะไร อยากจะไปทางไหน ก็คุยกันตลอดค่ะ ให้เวลาด้วย”
ฌอห์ณ : “ความพร้อมก็มาถูกทางและสม่ำเสมอ เป็นเหตุผลที่พยายามทำงานให้หนัก ผมรู้สึกว่าเขาเห็นความตั้งใจแหละเพราะว่าเราไม่เคยห่างกันเลย ฉะนั้นเมื่อถึงวาระที่เหมาะสมฤกษ์ดี ก็จะบอกเขาเป็นคนแรกครับ ทุกอย่างอยู่ในสายตาของครอบครัวทั้งสองคนตลอด เราเข้าออกบ้านของทั้งสองฝ่าย เขาค่อนข้างให้สิทธิ์ของความเป็นผู้ใหญ่ทั้งสองคน จะไม่มีการแบบถึงเวลาแล้วนะ เขาเห็นแล้วแหละว่าต่างฝ่ายต่างตั้งใจทำงานกันขนาดนี้คงมีเป้าหมายร่วมกันแล้วแหละ”
“เพชร ภิพัชรา” ไม่กดดันอนาคต รักกันช่วยเหลือก้น ไม่คิดถึงผลประโยชน์
ฌอห์ณ : “ผมไม่ได้หยุดมา 10 กว่าวันแล้วครับ แต่ผมก็มีความสุขดีที่รู้ว่าเราตื่นแล้วไปทำอะไร วันนี้มางานเขา พรุ่งนี้ไปถ่ายละคร อีกวันเข้าออฟฟิศ เขาเป็นตัวอย่างที่ดีของผม เขาไม่เคยบ่นว่าเขาเหนื่อย เขารู้สึกว่าตราบใดที่เรามีงานทำในยุคนี้เศรษฐกิจแบบนี้การมีงานทำถือว่าโชคดี การที่คุณมีคนจ้างคุณต่อนับเป็นความโชคดียิ่งกว่า ถ้าเรามีความสุขกับงาน งานก็จะออกมาดี”
เพชร : “เพชรให้กำลังใจเสมอเลยนะ และไม่ได้กดดันอะไรด้วยจริงๆ อยากให้เขาตั้งใจในสิ่งที่เขาทำอยู่และไม่อยากให้เหนื่อยมาก ให้ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ในเรื่องของการงาน ก็ดีใจที่เขาตั้งใจทำงานจริงๆ ในทุกงานเลยนะ อยากฝากงานเขาไว้ด้วยจริงๆ ค่ะ”
ฌอห์ณ : “เราคุยกันว่าเราจะเป็นซัปพอร์ตของกันและกันครับแต่ว่าในเชิงของการทำงานร่วมกัน ผมว่าต่างคนต่างมีเส้นของตัวเอง อย่างการมาช่วยถ่ายภาพ มาช่วยดูแลเรื่องคอนเทนต์วิดีโอของเขา มันก็จะมีขาหนึ่งที่เขาเป็นเหมือนลูกค้าเรา ฉะนั้นเราก็ต้องเคารพกันและกัน ผมรู้สึกพอเราไปช่วยมันจะเป็นเรื่องใจล้วนๆ มากกว่า มันก็จะไม่มีเรื่องของผลประโยชน์ มันก็รู้สึกว่าเราต่างคนต่างสบายใจกันแบบนี้”