“ออฟฟี่ แม็กซิม” เปิดใจ จากมหาเศรษฐีเน็ตไอดอลใช้เงินวันละล้าน สู่จุดที่ไม่เหลืออะไร ลั่นได้บทเรียนเลิกยึดติดกับคำว่าตัวท็อป ดังได้ก็ดับได้ เผยชีวิตที่ศูนย์จิตรักษ์ รักษาโรคไบโพลาร์สุดทรมาน มั่นใจเวรกรรมไล่ล่าไม่เกี่ยวข้องกับอมเงินบริจาค
จากมหาเศรษฐีเน็ตไอดอลสู่จุดไม่เหลืออะไรเลย อย่าง “ออฟฟี่ แม็กซิม” อรพรรณ ด่านศิริพัฒนกุลที่หายหน้าหายตาไป 3 ปี เพื่อไปรักษาอาการไบโพล่าร์ และบำบัดตัวเอง ตอนนี้ออฟฟี่สามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น เริ่มกลับมาทำงานแล้ว โดยออฟฟี่ แม็กซิม ได้เล่าชีวิตช่วง 3 ปีที่หายไปให้ฟังว่า…,
“รักษาตัว ช่วงแรกๆ ทำใจไม่ได้ ไม่มีสติ มันเครียดจนไม่อยากอยู่ ถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย หมอบอกมันอันตรายนะ มีโอกาสฆ่าตัวตาย 97% หมอเลยยึดโทรศัพท์แล้วเอาเข้าไปรักษาที่ศูนย์จิตรักษ์ อยู่คนเดียวไม่ได้ ก็เลยไปรักษา ปีที่ 2 ก็ดีขึ้น ช่วงโควิด อยู่บ้านไม่ได้ทำอะไร ก็โทรม อ้วน ปล่อยตัวเองมากๆ พอปีที่ 3 คนเริ่มถามหา ตรงนี้เป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจสำหรับเรามากๆ มันคือบทเรียนของเรา ถ้าทุกคนยังให้โอกาสก็จะทำให้ดีที่สุด เราโตมากับคนที่ฟอลโลว์เรา เราแคร์เขามากๆ ถ้าทุกคนยังให้โอกาสอยู่ก็จะทำให้ดีที่สุด ขอบคุณเพื่อนๆ ด้วยที่บางคนยังให้โอกาส ก็ยังกลับมาคุยกันได้หมด ที่ผ่านมาคุยกับตัวเองตลอด ดังได้ก็ดับได้ เพราะนิสัยของเรา ก็อยากจะเตือนน้องๆ ทุกคนที่ยังใช้ชีวิตแบบหลงระเริงอยู่ ก็ให้มีสติ ทำตัวให้น่ารัก”
เล่าชีวิตที่อยู่ในศูนย์จิตรักษ์
“ที่จิตรักษ์มันเหมือนเป็นอีกโลกนึงเลย ทุกคนมาแชร์ประสบการณ์เป็นโรคนี้เพราะอะไร กระทบกระเทือนยังไง พอเข้าไปอยู่แล้วทำให้เราคิดบวกได้มากขึ้น เรื่องของเราเล็กไปเลย ช่วงแรกๆ ไม่มีสติเลย ต้องให้ยา รักษาไปก็ดีขึ้น เย็นลง เราเป็นไบโพล่าร์ มันจะเหมือนเด็กไฮเปอร์ อยู่ไม่นิ่ง ตื่นเช้ามาก็เดินไปเดินมา ก็ต้องกินยา น้ำในสมองไม่เท่ากัน
ตอนแรกที่เข้าไปก็ตกใจมาก โกรธมาก ได้สติก็ถามหาโทรศัพท์ เราเป็นคนต้องมีโทรศัพท์กับตัว ต้องเล่นตลอดเวลา จะคุยกับคนอื่นตลอดเวลา นี่ไม่มีเลย แล้วปกติจะมีลูกน้องประกบอยู่ข้างตัวตลอด นี่ก็ไม่มี เราอยู่คนเดียวจริงๆ ในนั้นตื่นเช้ามาก็ระบายสี แชร์ประสบการณ์ พอวันที่ 3-4 อาการก็ดีขึ้น หมอเริ่มให้ออกมา
แต่ก็จะมีอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่บ้านอารมณ์แตกบ้าง ก็ถูกจับเข้าจิตรักษ์เลย ก็รักษากินยาเรื่อยๆ มา 3 ปีแล้ว ต้องทานยา บางคนบอกเป็นโรคตอแหล แต่ถ้าไม่ทานยามันจะสวิง อยู่นิ่งไม่ได้พอพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้เครียดได้”
ยังต้องพบหมอเดือนละครั้ง ยอมรับตอนแรกรับไม่ได้ตัวเองเป็นบ้า แต่ตอนนี้ช่วยหนูด้วยเถอะ อยากหาย
“ตอนนี้ยังพบหมอทุกเดือน หมอจะถามว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไงกับโซเชียลบ้าง หมอเขาจะซีเรียสกับอะไรที่มันมากระทบกับจิตใจเรามากๆ ก็ต้องมาคุยกัน หมอจะถามเสมอ โอเคไหม ไหวไหม ถ้ายังไม่นิ่งหมอเขาก็จะปรับยาทำให้นิ่งเหมือนคนปกติ จริงๆ แล้วพูดง่ายๆ ก็คือคนบ้า เรายอมรับว่าเราเป็นอย่างนั้น และช่วยหนูด้วยเถอะค่ะ หนูอยากหายที ตอนแรกยอมรับเลยค่ะว่ารับไม่ได้ ฉันไม่ใช่คนบ้า แต่จริงๆ แล้วเป็นมานานแล้ว เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย
ตอนปีแรกๆ ใช้ชีวิตยากมาก เรารับกับคอมเมนต์ในโซเชียลไม่ได้เลย ตอนปีแรกฉีดยาหนูหน่อย อยากหลับ จะฉีดแต่ยาจนหมอไม่รู้จะทำอะไรให้แล้ว เราอยากจะหลับไปเลย ไม่รับรู้อะไรแล้ว มันแย่จริงๆ ถึงขั้นทำร้ายตัวเอง กรีดข้อมือ อยากให้ตัวเองเสียเลือดเยอะๆ ทำร้ายตัวเอง กินยา 100 กว่าเม็ด กะตายจริงๆ แต่มันไม่ตาย ก็ขอบคุณสำหรับบทเรียนจริงๆ จากนี้จะใช้ชีวิตอย่างมีสติ”
ในส่วนของครอบครัว แยกกับสามีแล้วแต่ยังทำหน้าที่พ่อแม่ของลูกตามปกติ
“กับสามีเลิกกันแล้ว แต่เรายังทำหน้าที่พ่อแม่ที่ดีของลูกตามปกติ ลูกตอนนี้มีพี่เลี้ยงช่วยดู กับลูกไม่ได้คุยเรื่องข่าว แต่สอนลูกว่าควรทำยังไง ให้รู้จักแคร์คน จริงใจ”
โต้ที่ชีวิตเป็นอย่างนี้เพราะเวรกรรมที่อมเงินบริจาค
“ไม่ๆ เรื่องบริจาคไม่ใช่เรื่องเวรกรรมนะคะ เวรกรรมที่ได้รับคือการที่เราทำกับเพื่อนไว้ ส่วนนึงเรื่องเงินบริจาคเราชัดเจน ตอนนี้อยู่ในกระบวนการของกฎหมายด้วย ยอมรับแล้วว่าเป็นคนข้อเสียเยอะ ตอนนี้ก็กำลังปรับปรุงตัวอยู่ กับขนเพชร ก็ขอโทษเขา กลับมาดีกันแล้ว ทำงานร่วมกันแล้ว เขากลับมาแล้วก็พูดเองเลยด้วยซ้ำ เกิดจากการที่ไม่ได้คุยกันแล้วก็ไลฟ์สดออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างไม่โทษใคร โทษตัวเองอย่างเดียว รู้สึกว่าอะไรดีๆ มันกำลังจะกลับมา จะไม่บาดหมางกับใครอีก”
ตอนแรกรับตัวเองไม่ได้จากที่ชีวิตเคยอยู่จุดสูงสุดแต่วันนี้ไม่เหลืออะไรเลย
“ตอนแรกๆ ก็รับไม่ได้ แต่พอเราได้บทเรียน บวกกับอยากทำให้ตัวเองดีขึ้น มันก็ใช้ระยะเวลามาเรื่อยๆ เวลามันทำให้ดีขึ้นได้ แต่เงินในบัญชียังมีนะคะ ที่ผ่านมาก็ใช้เงินเก็บ ตอนนี้ก็เริ่มมีงานแล้ว ดีใจที่หลายๆ ยังให้โอกาสเรา ขอบคุณทุกๆ คนมากๆ เลยค่ะ อ่านแล้วมีความสุขมากๆ อ่านแล้วมีแรงอยากจะทำคอนเทนต์ใหม่ๆ ให้คนดู จะไม่สัญญาอะไรกับใครทั้งนั้น การกระทำสำคัญกว่าคำพูด ดูต่อไปเรื่อยๆ ว่านิวออฟฟี่จะเป็นยังไงต่อไป ชีวิตตอนนี้ไม่หวังอะไรทั้งนั้น แค่ได้กลับมาทำงานก็มีความสุขแล้ว ไม่ยึดติดกับอะไรในอดีตแล้ว คำว่าตัวท็อปใดๆ ไม่มีแล้วค่ะ”
ในเรื่องของความอู้ฟู่ในอดีตไม่มีแล้วคนที่ใช้เงินวันละล้าน ตอนนี้ประหยัดขึ้นเยอะ ใช้เงินเหลือวันละ 5,000 บาท
“ด้วยความที่กินเงินเก็บ พอเราดีขึ้นเราก็ไม่ไดัจะขนาดที่ไปใช้เงินวันละล้านเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทุกวันนี้ใช้เงินวันละ5,000 บาท บางวันอยู่บ้านก็ไม่ได้ใช้จ่ายต้องประหยัดเพราะเราต้องเลี้ยงลูกน้องด้วย เป็นหัวหน้าครอบครัวด้วย เลี้ยงทุกคนในบ้าน ก่อนหน้านี้เที่ยวแบบสุดๆ ทิปคนนั้นคนนี้ ตอนนี้ไม่ได้บอกนะว่าเราเป็นคนดี 100% แต่อยู่ในขั้นตอนที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ทำให้ตัวเองมีความสุขที่สุด”
ไม่เคยคิดเลยว่าจะกลับมาเป็นเน็ตไอดอลได้อีกครั้ง ขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาส
“ตอนแรกไม่คิดเลยนะ แต่พอเริ่มดูแลตัวเอง คนก็เริ่มมาบอกว่ากลับมาได้แล้วนะ เราก็พยายามโยนความเครียดออกไป ไม่มีความเครียดตรงนั้นแล้ว แค่รู้สึกว่าทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทุกๆ อย่างที่ผ่านมาเป็นบทเรียน ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ให้โอกาสคนๆ นี้ สิ่งที่ทำมันไม่น่ารักกับใครสักคนเลย ในใจลึกๆ เราก็ยังเป็นคนที่อยากจะช่วยเหลือคนอื่น และไม่เคยคิดร้ายกับใคร
กลับมาแล้วเราไม่เคยมองใครเป็นคู่แข่งเลย ใครมีชื่อเสียงเราก็ร่วมยินดีกับเขาด้วย เน็ตไอดอลรุ่นใหม่เขาคือกัลยาณมิตรที่ดีมากๆ เขาช่วย เขาหางานมาให้หมดเลย”