xs
xsm
sm
md
lg

“มาย-อาโป” รักในแบบ “ผู้ชายรักกัน” ตอบทุกคำถามที่สังคมคาใจ “เลิฟซีน...ทำไมต้องถอดจริง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“KinnPorsche the Series” ทลายกำแพง ไม่ใช่แค่ซีรีส์วายอย่างที่เห็น .. “มาย-อาโป” เปิดหมดเปลือก! ตอบทุกคำถามที่สังคมสงสัย “เลิฟซีน...ทำไมต้องถอดจริงทุกฉาก” ยอมรับกดดันกลัวคนดูไม่เข้าใจ พร้อมขอบคุณกันและกันที่ช่วยทำให้ซีรีส์เรื่องนี้สำเร็จ เผยความรู้สึกที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน

ถ้าจะพูดถึงการแข่งขันของ “ซีรีส์วาย” ในปีนี้ อย่างที่บอกว่าเป็นการแข่งขันที่สูงมาก โดยเฉพาะเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพียงแค่หนึ่งเดือนมีซีรีส์วายที่ออนแอร์ 14 เรื่องตลอดทั้งเดือน เรียกว่า 7 วัน 7 สไตล์หลากหลายคู่จิ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “KinnPorsche the Series : รักโคตรร้าย สุดท้ายโคตรรัก” คือหนึ่งในซีรีย์ที่เป็นความหวังของสาววาย ที่ออนแอร์มาได้ครึ่งทางแล้ว ต้องพูดเลยว่า ทั้ง “มาย ภาคภูมิ ร่มไทรทอง” และ “อาโป ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์” ถ่ายทอดความเป็น “คินน์-พอร์ช” ออกมาดีเสมือนออกมาจากนิยายเลยก็ว่าได้

โดยเรื่องนี้ใช้ผู้กำกับถึง 3 คน ไม่ว่าจะเป็น “โขม ก้องเกียรติ โขมศิริ” ดูแลในฉากแอ็กชั่น “ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช” ดูแลในเรื่องบทกับซีนอารมณ์ ส่วน เป๊ปซี่ บัญชร วรเศรษฐ์อารี ดีไซน์ซีนต่างให้มูสแอนด์โทนของซีรีส์ไปในทิศทางเดียวกัน รวมไปถึงคำถามที่สังคมสงสัยว่า “เลิฟซีน...ถอดจริงไหม?”

อาโป : ฟีดแบ็กดี มีกำลังใจว่าทุกคนเขาวิ่งไปพร้อมเราอยู่ เพราะช่วงถ่ายทำเหมือนเรากำลังวิ่งอยู่ในสนามแล้ว เราไม่รู้ว่าใครวิ่งมาพร้อมเราหรือเปล่า ความหมายคือเขาจะเข้าใจและชอบสิ่งที่เราทำหรือเปล่า แค่ตอนเทรลเลอร์ออกมามันเหมือนทุกคนบอกว่าฉันอยู่นี่นะ ฉันอยู่ข้างๆ เธอนะ ทำให้เรารู้ว่าถึงเราวิ่งมาไกลขนาดไหน มันไม่สูญเปล่า เรารู้ว่ามีคนคอยซัปพอร์ตเราอยู่เสมอ ก็ดีใจมากๆ และตื้นตัน

มาย : ส่วนผมดีใจที่คนดูชอบและเขามีความสุขด้วย ทั้งคนที่รอและหลายคนที่เปิดโอกาสให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสุข ฟีดแบ็ก ทั้งใน Twitter Instagram ก็ทำให้เห็นถึงความประทับใจที่เขามีต่อคินน์พอร์ช ซึ่งเราก็ได้รับพลังเยอะ

อาโป : ทุกคนบอกว่า คินน์ ที่รับบทโดยมาย หล่อมาก(ยิ้ม) พอเห็นเขาในคินน์พอร์ช เหมือนเห็นเขาอีกมุม เพราะปกติเขายิ้มตลอดเวลา พอเห็นในเรื่องแล้ว ดูจริงจัง มีเสน่ห์มาก ผมว่าคนดูคงได้เห็นแล้ว

การทำงานที่ค่อนข้างยาวนาน กับความคาดหวังของคนอ่านนิยาย
อาโป : ผมว่าช่วงที่ถ่ายทำคือเราไม่มีเวลาที่จะนึกถึงความกดดันตรงนั้นเลย แต่ละวันแค่เอาตัวรอดให้ผ่านไปวันนึงเพราะเราตื่นตีสี่ถ่ายเสร็จเที่ยงคืนและถ่ายตีสี่อีกวัน พอผ่านมาเราเพิ่งมามองเห็นว่ามีคนที่เขาอ่านนิยาย รออยู่ว่าภาพที่เราทำออกมาเหมือนสิ่งที่เขาจินตนาการหรือเปล่า เราเหมือนฉายภาพออกมาเป็นรูปธรรมและทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อันนี้มันยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการ ทำให้เรามีกำลังใจขึ้นไปอีก

มาย : ก็อย่างที่บอกไปว่าดีใจที่พอผลงานออกมาแล้ว คนที่รออยู่ เขามีความสุข ระหว่างทางเป็นระยะเวลาที่นานจริงคือหนึ่งปีครึ่ง แต่ทั้งหมดมันคือประสบการณ์ร่วมของผมกับทีม กับแฟนคลับ มันเป็นประสบการณ์ร่วมในชีวิตนี้ที่มีค่ามากสำหรับผม ปีติมากที่มีผลงานคลอดออกมา

ด้วยความเป็น “ซีรีส์วายแอ็กชั่น” ที่ไม่เคยมีมาก่อน
มาย : ผมลุ้นในมุมที่ว่าเราเองก็อยากดูมากๆ เพราะผมรู้สึกว่าเรื่องนี้กล้านำเสนอ กล้าคิด เราเห็นฉากต่างๆ ที่เราต้องเรียนรู้ มีหลายอย่างเซอร์ไพรส์ หลายครั้งเราโทร.ไปหาผู้จัด ผู้กำกับและพี่คนพัฒนาบทคือพี่ปอนด์ (ผู้กำกับ) ว่าพี่เอาอย่างนี้เลยเหรอ เขากล้าพูด กล้าคิดอะไรใหม่ๆ โดยเฉพาะคนดูซีรีส์วายก็ได้รับความเข้มคนอีกแบบ คนทั่วไปก็ดูได้

อาโป : ต้องบอกว่าพวกเรามีความหวั่นใจในตอนแรกเพราะสิ่งที่พี่ปอนด์จะทำมันใหม่มาก ทั้งแง่การเล่าเรื่อง เรื่องที่จะเล่า พอเราถ่ายเสร็จเขาก็จะเรียกเราไปดูมอนิเตอร์ เหมือนสิ่งที่เขาเคยบอกว่าให้พักคำว่าวายไว้ก่อน สิ่งที่เราทำคือทำหนังที่ดีหนึ่งเรื่องที่ 2 ตัวละครอยากบอกอะไรคนดู ความวายไม่วายเป็นปัจจัยประกอบ แต่หลักๆ แล้วเราอยากนำเสนอความจริงบนโลก แม้แต่ฉาก NC หรือดรามา มันเป็นความสวยงามหมด มันเป็นอีกมุมที่เป็นมนุษย์มากๆ ให้คนได้เห็น

มาย : ผมก็อยากเสริมว่าเรื่องความรักมันสวยงามมากๆ ผมเป็นคนเชื่อเรื่องอิสระและผมชอบอิสระ และผมคิดว่าหลายคนในสังคม คนทั่วไปก็รักอิสระ อิสระที่มันง่ายที่สุดแต่กลับถูกกดดัน จากคนในหลายๆ ทางคืออิสระทางความคิดและการนำเสนอเป็นอะไรที่มีเสน่ห์มากเหมือนเรื่องนี้

อาโป : ซีนแอ็กชั่นก็เต็มที่ด้วยความที่เรื่องนี้เป็นสังคมมาเฟีย มีการแก่งแย่งชิงดีหวังผลประโยชน์ แอ็กชั่นดุเดือดแน่นอน แต่ความเป็นมาเฟียก็มีความนุ่มนวล เสียใจเป็น รักเป็น ผมว่าอันนี้มันคืออีกศาสตร์หนึ่งมันไม่เหมือนการต่อยตีกันจริงๆ มันมีการรับส่งกัน

มาย : สำหรับผม ใหม่มากสำหรับแอ็กชั่น โชคดีที่ระยะเวลาที่นานทำให้เรามีการเตรียมตัวใหม่ มีพี่ๆ ในวงการแอ็กชั่นมาสอนเรา ผมโฟกัสตรงนี้เพราะกลัวว่าถ้าพลาด จะทำให้ทั้งทีมช้า และการถ่ายทำช่วงโควิดขยับโลเกชั่นไม่ได้ด้วย เราต้องโฟกัสและเตรียมร่างกาย อย่างช่วงแรกๆ อาจจะมีผิดคิวกันบ้าง ด้วยความที่ใหม่ อาจจะยกศอกรับได้ไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้ไหล่เคลื่อนขยับไม่ได้ 3-4 วัน

อาโป : โชคดีที่เราเล่นแอ็กชั่นมานาน เลยรู้ว่าตรงไหนที่เจ็บตัว เราจะไม่ทำ

ถ่ายทำ 4 เดือน ไม่รับงานอื่นเลย สลัด “คินน์พอร์ช” ยาก
มาย : ก็เยอะครับ แต่โชคดีที่คินน์ไม่ได้ไกลจากตัวผมมาก ผมเลยจูนเข้าไปหาคินน์ได้ง่าย แต่การเอาเขาออกไปวางแล้วเรากลับบ้านเป็นด้วยเองยากสำหรับผม เพราะสิ่งที่เอาออกยากคือเขาเป็นคนคิดเยอะ แต่เยอะกว่าผมอีก ในเรื่องเขาแบกอะไรหลายสิ่ง แต่ตัวตนเขารู้ว่าชอบ หรือไม่ชอบอะไร มันเลยเป็นการต้านกัน กลับบ้านเลยไปฝันถึงบ่อย ถึงในเรื่อง

อาโป : ของโป ไม่ค่อยยาก ปกติโปทำสมาธิอยู่แล้วทุกวันเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกของตัวละครออกไปแล้วพอเริ่มวันใหม่ โปจะเอ็กซ์เซอร์ไซส์ก่อนจะไปกอง ปลุกเขาขึ้นมาอีกครั้ง ปล่อยตัวปล่อยใจ อนุญาตให้ตัวละครเข้ามาเป็นเรา เสร็จแล้วเราก็ทำสมาธิเพื่อกลับมาอยู่กลับปัจจุบัน เลยไม่ค่อยติดมาก

มาย : เพราะบางทีผมแอบสนุกเวลาที่คินน์อยู่ในตัวเรานานๆ ที่สนุกเพราะบางทีผมว่าคินน์มีเสน่ห์มาก พอร์ชก็มีเสน่ห์มากเรื่องการตัดสินใจและรสนิยม คินน์แบกอะไรเยอะมากและเขารู้ตัวและชัดเจนว่าชอบ ไม่ชอบอะไร มันซับซ้อนแต่อยู่บนพื้นฐานความสนุกของการคิด ก็มีผลบ้างบางช่วงที่ทำให้เราเครียด

อาโป : โปว่าพื้นฐานเขามีความเป็นคินน์อยู่แล้ว เพราะทุกตัวละครที่เลือกมามีบางอย่างเป็นตัวละคร ความไฮเปอร์ที่พอร์ชมี อาโปก็มี เราจะเป็นเขาบ้างหรือเป็นตัวเองบ้าง มันสนุกดี โปเข้าใจพี่มายนะ เขาเป็นตัวเองมา 30 ปี วันนึงเขาจะเป็นคนอื่นบ้างคงสนุกดี

กันคนนอกออกตอนถ่ายช็อตเด็ดเลิฟซีน ให้เกียรตินักแสดง เน้นเลิฟซีนสวยงาม ไม่ใช่เมกเลิฟ
อาโป : ทุกๆ ฉาก NC (เลิฟซีน) ทีมงานจะกันคนออกอยู่แล้ว จะเหลือพี่โขม พี่ปอนด์ ตากล้อง และทีมไฟอีกคน

มาย : เหลือน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้

อาโป : เป็นการให้เกียรตินักแสดงว่าอันนี้คือพื้นที่ส่วนตัว พาร์ตส่วนตัว ถ้าเขาเปิดใจยอมเล่นซีนแบบนี้ ทีมงานก็หลบไปอยู่คนละมุม (แล้วมันจริงแค่ไหน?) หลักๆ คือพี่ปอนด์เป็นคนเขียนและกำกับ ดูอารมณ์ตัวละคร ความเก๋ของพี่โขมดูเรื่องมุมภาพ จริงแค่ไหนคงเป็นแง่ของความรู้สึกมากกว่ามันต้องจริงมาก ส่วนเรื่องทางกายภาพมันก็เป็นไปตามอารมณ์เท่าที่จะเป็นไปได้ ที่เหลือเป็นหน้าที่ของมุมกล้องเล่าเรื่อง

มาย : เราเน้นเรื่องความสวยงามด้วย มันไม่ใช่แค่เลิฟซีนหรือ NC มันคือการเมกเลิฟ การบอกรักของคนสองคน มุมกล้องกับความรู้สึก รวมกันเป็นความสวยงามที่สุดเท่าที่ทำได้

อาโป : ทั้งหมดคือการพูดคุย ไม่ว่าจะการวางมือ การลูบไล้และถามความสมัครใจกันว่าประมาณนี้โอเคไหม (เช่นฉากในสระคนก็ไปจับตาดูว่าถอดจริงไหม?) เราก็ทำให้มันเรียลที่สุด คือเวลาคนบอกรักกันทุกคนเต็มที่ คินน์พอร์ชก็เต็มที่เหมือนกัน สิ่งที่จริงที่สุดคงเป็นแง่ความรู้สึก ส่วนเรื่องภายนอก เสื้อผ้าต้องลองไปดูในเรื่องเพราะสิ่งที่พยายามสื่อสารมันสวยงามมาก ส่วนที่คนบอกว่าฉาก NC ชัดเหมือนในนิยาย ต้องลองไปดูในเรื่องว่ามันจะทำให้คนดูรู้สึกตามไปมากแค่ไหน

มาย : ซึ่งถามว่าเขินไหม เขินครับ (ยิ้ม) จริงๆ ผมเป็นคนขี้เขินมาก แล้วการที่ต้องมาเลิฟซีน แล้วมีคนหลายๆ คน ความรู้สึกจริงเกิดขึ้นแค่มีคน 5-6 คนมันก็เป็นสิ่งที่ยาก

อาโป : ผมก็เขิน แต่ด้วยความที่เรามีพาร์ตเนอร์ที่ดี เขาให้ความปลอดภัย ให้ความอบอุ่นเราได้ รวมถึงพี่ปอนด์ พี่โขมที่กันคนออกให้เลย ทำให้ความเขินน้อยลง และทำให้ฉากสมูทไปได้ พอเรียกไปดูมันคือสวยงามมากเหมือนที่เขาบอกว่าเขากำลังทำสิ่งใหม่

ความรู้สึกที่มีต่อกัน จากวันนั้นจนถึงวันนี้
อาโป : สิ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุดคือเคยเจอพี่มายนานแล้วและคิดว่าเขาคือคนเท่คนนึง แต่พอรู้จักกัน ก็เซอร์ไพรส์ที่ว่าจริงๆ เขาเป็นคนที่น่ารักมาก เป็นคนแบ๊วมาก นุ่มนิ่ม อยู่ที่อื่นชอบเก๊ก จริงๆ เป็นน่ารัก ผมว่าหลายๆ คนที่ตกลหุมนรักเขา คงเป็นตรงนี้

มาย : เรื่องที่เห็นชัดที่สุด คงเป็นเรื่องความใส่ใจในรายละเอียด โปเป็นคนใส่ใจรายละเอียดคนรอบตัว ไม่ใช่แค่ผม รวมถึงทีมงานและคนในกอง และเขาจะแนะนำในสิ่งที่คิดว่าดีกับคนๆ นั้น ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ได้ร่วมงานกัน ถึงวันนี้เขาก็เป็นแบบนั้น ถามว่ามีภาพของอาโป ก่อนรู้จักเขา ผมไม่ได้รู้สึกว่าเขามีฟอร์มหรือเก็กนะ แต่รู้สึกว่ามีมาดแต่คงไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดเรื่องความรู้สึกมากขนาดนี้

“อาโป” ลั่นวันนี้พิสูจน์แล้วว่าเลือกไม่ผิด ที่บินกลับมาเพื่อรับเล่นบทนี้ หลังจากที่ช่วงหนึ่งไม่อยากทำงานในวงการแล้ว
อาโป : รู้สึกดีและรู้สึกเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่งในชีวิตเลยครับ เพราะพอกลับมา เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาจะมีเรื่องนี้ เพราะเราแทบไม่ได้จะทำงานในวงการแล้ว วันที่กลับมาผู้จัดการบอกว่ามีซีรีส์เรื่องนึงติดต่อไปแคส เราก็ไปเพราะเรารักการแสดงอยู่แล้ว พอไปแคส อ่านบทก็รู้เลยว่า อาโปกับพอร์ช ต้องเป็นเพื่อนสนิทกัน แล้ววันนี้ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ขอบคุณตัวเองที่เปิดโอกาสมาแคส และขอบคุณทีมงานที่ให้เราเป็นพอร์ช มาวันนี้ก็มีหลายมุมที่เรารักเขา

ครอบครัวทำธุรกิจ เข้าใจกับบทบาทที่ได้รับ
มาย : คนเราก็มีหลายส่วนในชีวิต แต่เราต้องโฟกัสครับ ต่อให้ไม่ได้ทำงานวงการ ทำธุรกิจหรือการลงทุนอะไรก็ต้องโฟกัส ถ้าอยากให้สำเร็จและอยากให้คนดูได้รับสิ่งที่ดีน่าจะต้องโฟกัส ซึ่งที่บ้านก็เข้าใจในบทบาทที่เรารับครับ แม่ผมชอบแซวผม เขาก็ดูนะ กลับบ้านไปล่าสุดแม่ทำท่าตบโต๊ะเหมือนในซีรีส์ จริงๆ ต้องขอบคุณพ่อกับแม่มากๆ ต้องบอกว่าผมโชคดีมากๆ เพราะท่านเปิดโอกาสไม่ว่าจะเลือกทำงานอะไรหรือตัดสินใจอะไร ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้มาทำงานตรงนี้ ถ้าเป็นบางคนอาจจะมีหน้าที่อื่นๆ ที่ต้องรับผิดชอบ อาจจะไม่มีโอกาสก็ได้

ชีวิตมันสั้น ขอบคุณกันบ่อย บอกรักกันบ่อย ดีใจที่ได้จับมือเป็นบัดดี้กัน
อาโป : จริงๆ ขอบคุณกันบ่อย บอกรักกันบ่อย พวกเราเชื่อว่าเวลาชีวิต เรามันสั้น ใครรู้สึกอะไรก็แค่บอกไป วันนี้ก็จะบอกอีกว่าดีใจที่ได้เจอกัน รักพี่มายมาก ทุกสิ่งที่ทำมันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตโป และใครหลายๆ คนที่เขาอยากได้กำลังใจซึ่งโปก็ได้ให้กำลังใจเขาไป ดีใจที่ได้ส่งพลังนี้ให้กันและส่งต่อให้คนอื่น

มาย : ผมไม่ได้บอกตรงๆ บ่อย เพราะผมขี้เขิน ผมให้วิธีอ้อมๆ หรือชอบถามไถ่แต่ไม่รู้เขาตีความออกไหม แต่ถ้าให้บอกคือขอบคุณมากๆ มันเป็นจังหวะเวลา เป็นพรหมลิขิตที่ทำให้รู้จัก เพราะคงไม่ใช่เรื่องง่าย เราเองก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่เหมาะควรที่สุด แล้วเราก็มารู้จักน้องเขาได้ใช้เวลาร่วมกันตลอดปี เป็นความรู้สึกความทรงจำที่ดีและไม่ดีผสมแต่มันกลมมากจนทำให้ผมรู้สึกว่ามันมีคุณค่ามากกับผม ขอบคุณมากและก็รักเหมือนกัน















กำลังโหลดความคิดเห็น