“อิงฟ้า วราหะ” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2022 เจ้าของแฮชแท็ก #อิงฟ้ามหาชน ที่ตั้งแต่มงลงชีวิตก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ มีแฟนคลับล้นหลาม งานล้มมือ วันนี้ (2 มิ.ย.65) อิงฟ้าได้ย้อนเล่ามรสุมชีวิตแสนลำบาก ไม่มีเงินซื้อข้าว ท้อหนักเคยคิดสั้นฆ่าตัวตาย!
ตอนนี้ชีวิตแด๊ดดี๊เปลี่ยนไปแค่ไหน?
“หน้ามือเป็นหลังมือเลย จากคนที่ว่างงานมาเยอะในช่วงโควิด ตอนนี้ก็กลายเป็นว่างานแน่นเลย เรียกว่าแทบไม่ได้นอนเลย นอนน้อย แต่นอนนะ”
ตอนนี้มีพ่อยก แม่ยก สายเปย์มาก ได้อะไรมาบ้าง?
“หลักๆ ก็เป็นพวงมาลัยที่เราออกคอนเสิร์ต มีทองคำ ที่ดินไม่ว่าจะเป็นที่ในประเทศและต่างประเทศ มันเกินความคาดหมายมากๆ เราไม่คิดว่าตัวเองจะมาอยู่จุดนี้ได้เหมือนกัน เราไม่คิดว่าคนที่เขารัก เขาจะซัปพอร์ตเรามากขนาดนี้ มันเยอะมากจริงๆ แค่ไปกินข้าวแล้วตั้งไลฟ์สด แฟนคลับก็โทร.เข้าที่ร้าน มื้อนี้หนูขอจ่าย เราบอกไม่เอา สรุปวันนั้นเขาไม่ได้จ่าย เกรงใจ เพราะว่าร้านที่ทานก็รู้จักกันอยู่แล้ว ก็ช่วยอุดหนุนคุณป้าเขาไป ถ้าตีเป็นมูลค่าของที่ได้ตอนนี้คร่าวๆ ก็น่าจะประมาณหลักล้าน”
กว่าจะประสบความสำเร็จทุกวันนี้ย้อนไปช่วงประกวด มีช่วงแอบท้อเยอะเลย?
“เยอะมากค่ะ เพราะว่าการเก็บตัวมันค่อนข้างที่จะเหนื่อย ช่วงระยะเวลาการเก็บตัวมันก็จะมีกลุ่มแฟนนางงามที่เขาจะคอยแบบนู่นนี่นั่น ซึ่งนางงามทุกคนก็จะรับรู้ตลอด บางทีเราจะเจอกระแสดรามา นู่นนี่นั่น มันก็จะทำให้เราเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ ช่วงที่เราท้อก็มีหลายคนที่เป็นเหมือนกัน
อะไรที่ทำให้เราสู้แล้วผ่านตรงนั้นมาได้?
“ก็ถามตัวเองว่าเรามาอยู่ตรงนี้เพราะอะไร เรามีเป้าหมายของเราชัดเจนว่าเราอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราต่อยอดชีวิตครอบครัวของเราให้ดีขึ้น ก็ต้องสู้ กำลังใจจากด้อมก็สำคัญมาก ส่วนใหญ่ด้อมเราจะไม่ใช่แฟนนางงามตั้งแต่แรกเริ่ม มาจากกลุ่มร้องเพลง การทำขวัญนาค หรือว่าคนที่มาจากกระแสการจิ้น หรือว่าการที่เรามีจุดยืนของเรื่อง LGBTQ เขาก็จะมาตามเราตรงนี้ เขาจะไม่เข้าใจบริบทของนางงามว่ามันจะต้องมีดรามาเยอะขนาดนี้เลยเหรอเป็นกำลังใจให้น้องนะ มันก็เลยเกิดแรงซัพพอร์ตที่มันค่อนข้างมาก”
คุ้มค่าไหมกับการที่ต้องเหนื่อยแล้วมาถึงจุดนี้?
“คุ้ม หายเหนื่อยเลยค่ะ วันที่ได้มงคือไม่เล่นโซเชียลอะไรเลย นอน อิ่มแล้วก็หลับเลย หายเหนื่อย
กว่าจะสำเร็จแบบนี้เห็นว่าครอบครัว “อิงฟ้า” ต้องย้ายถิ่นฐานค่อนข้างเยอะ?
“เหมือนโดนคำสาป เวลาอยู่ที่ไหนไม่เคยเกิน 3 ปี ต้องย้ายตลอด ตั้งแต่เด็กก็อยู่อุทัยธานี ย้ายไปศรีสะเกษ จากศรีสะเกษกลับมาอุทัยธานี อุทัยธานีกลับมาสุพรรณบุรี สุพรรณบุรีไปราชบุรี ราชบุรีกลับมาอุทัยธานี อุทัยธานีกลับมากรุงเทพฯ อย่างนี้ มันจะมีคำตอบในแต่ละปีเลย เหมือนพ่อเราด้วยความที่เขาเป็นศิลปิน เขาจะค่อนข้างที่ถ้าเราอยู่ตรงนี้แล้วไม่โอเค ไม่รุ่ง เราย้ายกันดูไหม เพราะเราก็ไม่ได้มีสมบัติติดตัวอะไรกันอยู่แล้วเหมือนเวลาเราทำอาชีพขายของ เวลาขายแล้วไม่ค่อยเวิร์กหรือว่าเจ๊งเราก็ย้าย เราไม่ได้มีสมบัติอะไร ไม่ได้มีบ้าน”
ในวัยเด็กเราย้ายบ่อยๆ แบบนี้ เรามีเพื่อนทันไหม?
“มีนะคะ แต่ไม่รู้เป็นอะไร ตอนเด็กๆ ไม่เคยติดเพื่อนเลย อาจจะด้วยความที่เราย้ายบ่อย เราเลยไม่ติดเพื่อนจะติดพ่อกับแม่มากกว่า”
ครอบครัวย้ายบ่อย ขยันทำงานก็จริง เห็นบอกว่ามีช่วงที่ไม่มีเงินเลยก็มี ไม่มีเงินซื้อข้าวกินเลยก็เคยเกิดขึ้น?
“ตอนนั้นจำได้ขึ้นใจเลย ตอนนั้นอยู่ที่สุพรรณบุรี มีข้าวแต่เราไม่มีเงินที่จะไปซื้อกับข้าวกิน เพราะเหมือนว่าเงินมันหมุนไม่ทัน เราก็เดินออกไปเด็ดผักบุ้งที่มันอยู่ตามคลอง เด็ดมาก็มาผัดกินกันในครอบครัว ตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกซีเรียสอะไร เพราะว่าเรารู้ว่าถ้าแม่ทำกับข้าวนั่นคืออร่อยแล้ว”
มีช่วงหนึ่งที่รู้สึกถึงความลำบาก เพราะคุณพ่อป่วย?
“เราไม่รู้มาก่อนเลย เพราะอาจจะด้วยความที่เรายากจนกันด้วย เวลาเป็นอะไรคุณพ่อก็จะไม่บอก กลัวว่าต้องไปรักษา ก็ต้องเปลืองเงิน จะเป็นคนที่เก็บอาการเก่งมาก เก็บรักษาความเจ็บปวดมาตลอด จนมีอยู่วันหนึ่งที่เขาเริ่มผอมลงๆ ครอบครัวก็เริ่มสังเกตแล้วว่าแปลกๆ แล้วเขาก็ปวดท้องหนักมาก เรารู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ต้องไปตรวจ พอไปตรวจคุณหมอก็ถามว่าไปอยู่ไหนมา ทำไมเพิ่งมาตรวจนี่คือเขาเป็นมะเร็งตับเข้าขั้นระยะที่ 4 แล้ว คุณหมอแจ้ง ถ้ากำลังใจดี เต็มที่ก็ 4 เดือน เขาก็สู้ของเขาเต็มที่มากๆ ก็ 4 เดือนจริงๆ ด้วยตอนที่เป็นศิลปิน ช่วงที่เขาวัยรุ่น เขาดื่มเหล้า ดูดบุหรี่บ่อย”
พ่อเคยสัมภาษณ์ในรายการ ถ้าลูกผมเป็นศิลปิน ผมนี่แหละจะเป็นคนดูแลลูกให้อยู่ในสังคม อยู่ในวงการให้ดีที่สุด ณ ตอนนั้นคือรู้ว่าเป็นหรือยัง?
“ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็น แต่ตอนนั้นเป็นช่วงที่ซูบลง ผอมลง”
เดิมทีมันไม่ได้ดีอยู่แล้ว แต่นี่ขาดหัวหน้าครอบครัว ขาดกำลังหลัก หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
“ครอบครัวเรามีกัน 5 คน หลังจากที่คุณพ่อเสียก็แตกแขนงออกไปหมดเลย คุณแม่ก็ขอไปบวชประมาณ 2 ปี ตอนนั้นชีวิตเป๋มากค่ะ ร้องไห้แทบทุกวัน ทำใจไม่ได้เลย ตัวฟ้าเองก็ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ พี่คนกลางทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯแต่ว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน พี่คนโตแต่งงานมีครอบครัว มีลูก อยู่ที่ราชบุรี ทุกวันนี้ยังมีนึกถึงคุณพ่อ แล้วมีแอบร้องไห้บ้าง ทุกวันนี้ก็บอกเขาว่าหนูทำได้แล้ว จริงๆ ก็คิดว่าเขาน่าจะรับรู้ได้ตลอดอยู่แล้ว”
เช่าห้องสี่เหลี่ยมเล็กกว่าห้องน้ำ อันนั้นอยู่รวมกันก่อนเข้ากรุงเทพฯ?
“ใช่ค่ะ ตอนนั้นฟ้าอยู่ที่สุพรรณบุรี จะอยู่กัน 4 คนพี่คนกลางอยู่กับคุณย่า ก็จะมีพี่คนโต พ่อแม่ แล้วก็ฟ้า ซึ่งห้องมันเล็กมาก ทุกวันนี้กลับไปดูห้องเช่านี้ยังอยู่นะคะ ก็ยังเกิดคำถามกับตัวเองว่า ณ ตอนนั้นเราอยู่กันได้ยังไง แต่ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าแคบ”
ช่วงนั้นลำบากมาก ห้องก็เล็ก เงินก็ไม่มี คุณแม่เริ่มป่วย ยังไม่มีเงินพาคุณแม่ไปหาหมอเลย?
“มันมีช่วงหนึ่งที่เราออกมาทำงานด้วยตัวเอง คุณแม่จะป่วยเป็นเบาหวาน ความดัน หัวใจ หลายโรครุมเร้า เขาต้องไปตรวจเช็กร่างกายตลอดทุกเดือน จะมีช่วงนึงที่เขาขอค่ารถไป ซึ่งเราก็เงินไม่พอจะทำยังไงก็มีช่วงที่หนักหน่วงอยู่พอสมควร”
เห็นว่า “อิงฟ้า” มีช่วงที่หมดกำลังใจ เห็นบอกว่าแย่มากๆ ถึงขั้นไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้?
“ก็คิดสั้นค่อนข้างที่จะบ่อยเหมือนกัน เหมือนกับว่าเรามองข้ามความเจ็บปวดยังไม่ได้ แค่กลัวว่าถ้าสมมติเราทำแล้วเราไม่ตาย คนข้างหลังเราจะเดือดร้อน คิดแค่นั้น แต่ตอนช่วงที่เราคิดสั้น ณ โมเมนต์ตอนนั้น ไม่ดีนะคะไม่ควรทำ เหมือนเราคิดว่าชีวิตเราวนลูปอยู่แค่ตื่นมา ทำงาน แล้วก็นอน แล้วมันก็มีเรื่องทำให้กดดันแล้วเครียดทุกวันเราเลยรู้สึกว่าเร่อยากหยุดไว้แค่นี้แล้วกัน ไม่อยากมีลมหายใจต่อแล้ว”
มันเป็นพรสวรรค์ของ “อิงฟ้า” ในเรื่องของการร้องเพลง แต่ตอนนั้นหมดแพชชั่นไปเลย?
“ใช่ค่ะ ตลอดเวลาที่เราร้องเพลงมา เราจะเห็นคุณพ่อคอยให้กำลังใจตลอด เพราะว่าเราไม่เคยประกวดชนะเลยตั้งเด็ก เป็น 10 ปี เขาจะคอยให้กำลังใจ คอยหาข้อดีของเราตลอด เราก็เลยมีกำลังใจทุกครั้งที่เราจะขึ้นเวที แต่พอวันนึงที่เขาหายไปแพชชั่นในการร้องเพลงของเรามันก็ค่อยๆ ลดลงๆ จนตอนที่ทำงานออฟฟิศ คุณแม่ทักว่าจะหยุดความฝันของเราจริงๆ เหรอ แน่ใจแล้วนะ เราก็เลยฉุดคิด ก็ประจวบเหมาะกับตอนนั้นมีประกวดร้องเพลงรายการหนึ่งระดับประเทศ”
เห็นว่า “อิงฟ้า” ทำมาหลายอาชีพมาก?
“ถ้าตั้งแต่เด็กเลยก็เยอะมาก ถ้าเป็นแม่ค้าก็ขายมาทุกอย่างแล้ว พอเริ่มโตมา แคดดี้ก็เคย ตอนนั้น 13 ปีเองเป็นนักร้อง หมอทำขวัญนาค นางแบบ พิธีกร และเป็นพนักงานออฟฟิศทั่วๆ ไป
จากนักร้องไปเป็นหมอทำขวัญนาคได้ยังไง?
“ตอนเด็กถูกปลูกฝังกับคุณตา คุณยาย คุณแม่ชอบพาไปดูลิเก เรารู้สึกว่าหมอทำขวัญนาคและลิเก เป็นสิ่งที่เราอยากจะเป็นตั้งแต่เด็ก พอเราอยากเป็นปุ๊บ โตมาเราเริ่มร้องเพลงเป็น ตอนเรียน ม.ปลาย ก็มีครูบอกว่าลองไปแข่งขับเสภาดูไหม เป็นตัวแทนของโรงเรียน เราก็ไปกับเขา พอหนูเรียนจบ ม.ปลาย ปุ๊บก็มีครูที่เขาทาบทามไปทำขวัญนาคดูไหม เราก็ไปฝึกกับเขา
มีบ่อยเลยที่พอไปทำขวัญนาค แม่ของนาคจีบหมอทำขวัญ จะเป็นฟีลแบบขอไลน์ส่วนตัวเราไว้สำหรับถ้าลูกเขาสึกแล้ว เราก็บอกว่าแม่ติดต่อผ่านไลน์ที่ให้งานได้เลยเหมือนกัน”
เรื่องความรัก “อิงฟ้า” ยอมรับว่าอยู่ในกลุ่ม LGBTQ?
“จริงๆ ยอมรับมานานแล้วก่อนเข้าวงการนางงามอีก แต่ตอนนั้นมันไม่ได้เป็นกระแส เราไม่ได้ดัง คนก็เลยไม่รู้ เราเคยมีแฟนเป็นผู้หญิง ณ ตอนนั้นเป็นเหมือนช่วงที่ใกล้จะเรียนจบ ก็เป็นแฟนผู้หญิงที่เรารู้สึกว่าเราเปิดใจ ผู้หญิงที่ทำให้เราละลายได้ เราชอบ คนมีเสน่ห์ แต่ถ้าเป็นสเปกจริงๆ จะชอบคนฟันสวยและตัวหอม
มีคลิปนึงที่ “ชาล็อต” เขาร้องเพลงเพี้ยน แล้ว “อืงฟ้า” เอามือเลื้อยไปข้างหลังเขาแล้วเอามือกลับมาตีมือตัวเอง มันคืออะไร?
“เป็นความเคยชิน ปกติเราร้องกับพี่ กับเพื่อน เวลาเขาร้องผิดก็จะบอกว่าเอาใหม่ๆ พอเราชินแล้วเฮ้ย..มันไม่ได้”
มีอยู่คอนเสิร์ตนึง นั่งเอาไหล่พิงกัน แล้วหันไปขอคุณแม่ดื้อๆ เลยว่าวันนี้เป็นแฟนพี่ปลอมๆ สักวันได้ไหม?
“เป็นโชว์ที่เราร้องวันสุดท้าย ที่เป็นหมอลำxมิสแกรนด์ คืนสุดท้ายเราอยากทำโมเมนต์ที่มันน่ารักๆ การร้องเพลงคู่กันก็อยากให้น้องอินร่วมไปกับเราด้วย ก็เลยบอกว่าวันนี้ลองแกล้งเป็นแฟนกันสักวันนึงนะ”
“ชาล็อต” คือสเปกไหม?
“(หัวเราะ)”
“ชาล็อต”ฟันสวยไหม?
“สวยค่ะ”
ตัวหอมไหม?
“หอมค่ะ”
