“ฟลุค จิระ” เดือด รับไม่ได้ถึงที่สุด เกรียนคีย์บอร์ดคอมเมนต์ด่าลูกสาว หน้าตาเหมือนกะเทยควาย ลั่นนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผ่านมาลูกสาวโดนบูลลี่มาโดยตลอดแต่ตนก็ปล่อยผ่าน จนมาเจอคอมเมนต์นี้ กำลังหาข้อมูลเอาผิดทางกฎหมาย เบื้องต้นเตรียมดำเนินการแล้ว 3 เคส บอกวิจารณ์ได้แต่ต้องอยู่ในของเขต
ทำเอาคุณพ่อลูกสอง “ฟลุค จิระ ด่านบวรเกียรติ” เดือด โพสต์หลักฐานประจานบนอินสตาแกรม เมื่ออยู่ๆ มีเกรียนคียบอร์ดมาพิมพ์ด่าลูกสาวว่า ลูกสาวคนนี้เหมือนกะเทยควาย ฟลุค จิระ ได้เล่าเรื่องนี้ให้สื่อมวลชนฟังว่าเป็นอะไรที่รับไม่ได้ทึ่สุดแล้ว
“มันเป็นอะไรที่เรารับไม่ได้ที่สุดแล้ว อยู่ในสังคมโซเชียลมาส่วนใหญ่ก็จะมีแต่คนวิพากษ์วิจารณ์เรา ในฐานะที่เราเป็นพ่อก็อาจจะถูกวิจารณ์ว่าทำไมพ่อเลี้ยงลูกแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งมันก็มีทั้งถูกและผิด แล้วเราก็ไม่ได้อธิบาย จะว่าอะไรก็ว่าไปผ่านได้ตลอด แต่อยู่ดีๆ มาว่าลูกเรา คือเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เหมือนอยู่ดีๆ ก็โดนด่า แล้วโดนด่าแบบไม่มีเหตุผลด้วย เราก็รู้สึกว่าทนไม่ได้
แต่ถ้าสมมติว่าลูกเราซนแล้วเขามาคอมเมนต์ว่าทำไมลูกซนเหมือนลิง ก็จะพอรับได้นะ เพราะลูกเราซนจริงๆ แต่อันนี้เขามาบอกว่า ลูกมึงอ่ะหน้าเหมือนกะเทยควายเลย มันไม่ใช่ว่ากะเทยหรือควายไม่ดีนะครับ แต่อยู่ดีๆ มาด่า แล้วมาด่าไม่มีเหตุผลมันก็เลยรับไม่ได้ในตรงนี้"
ลั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ครอบครัวตนโดน ลูกสาวตนโดนบูลลี่ ทำไมอ้วนบ้าง ทำไมขาโก่งบ้างอยู่เรื่อยๆ
"เด็กจะโดนเยอะ เรื่องบูลลี่ ไม่ว่าจะเป็นดั้งแหมบ หรือบางทีก็จะทักว่าทำไมอ้วนจัง ทำไมขาโก่ง จะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหมดเลย จริงๆ ผมว่าไม่ใช่หน้าที่ผมที่จะต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เพราะผมคิดว่าทุกวันนี้ใครจะทำไลฟ์สไตล์แบบไหนในสื่อโซเชียลทำไปเลยถ้ามันสร้างสรรค์และจรรโลงสังคม ถ้าคิดว่าเราลงรูปลูกแล้วลูกเราจะถูกด่าอย่าไปลงเลยดีกว่า
อันนี้ผมว่าไปเปลี่ยนที่คนคอมเมนต์ดีกว่า เปลี่ยนมาคอมเมนต์อย่างสร้างสรรค์ดีกว่า ผมคิดว่าผมจะลบและบล็อกก็ไม่เป็นไรด้วย เพราะว่าเขาเข้ามาแบบไม่สร้างสรรค์ แล้วพวกเขาก็จะโดนคนรอบข้าง สังคมรอบข้างประณาม สมมติว่ามีคอมเมนต์แบบนี้เข้ามา คนเขาก็จะมาคอมเมนต์ด่าคนคนนี้ให้ ไม่ต้องถึงเรา"
กำลังหาข้อมูลเอาผิดทางกฎหมายอยู่ ลั่นวิจารณ์ได้แต่ต้องอยู่ในของเขต มาด่ากันแบบนี้ต้องโดนบ้าง
"ตอนนี้ได้เห็นเคสศึกษาเยอะ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่คนเหล่านี้จะได้รู้ถึงบทเรียน ปกติเรามีหน้าบ้านเขาเดินมาเขาก็มาถุยน้ำลายใส่ แล้วเดินจากไป เขาไม่ได้รับผลอะไรเลย ทุกวันนี้มันก็อาจจะดีถ้ากวักมือเรียกเขามาว่ามาเสียค่าปรับหน่อยสิ ต่อไปเขาจะได้ไม่ไปถุยน้ำลายบ้านอื่นอีก ตอนนี้ยังไม่ได้ดำเนินการแต่ว่ากำลังหาข้อมูลอยู่
ต่อไปนี้ถ้าเกิดมีใครมาว่าเราอีก เขาจะได้รู้ว่าทุกการกระทำมันมีราคานะ ตอนนี้ผมคิดว่าชาวเน็ตทุกคนก็มีสติมากขึ้นกับการที่จะมาวิจารณ์ดารานักแสดง จริงๆวิจารณ์ได้นะครับถ้าอยู่ในเรื่องในราว แต่ถ้าเกิดอยู่ดีๆ มาด่าทอมาคอมเมนต์แบบนี้ ผมคิดว่าเขาต้องโดนบ้างนะครับ"
เผยชาวเน็ตที่มาบูลลี่ล้วนใช้ร่างอวตารแทบทั้งสิ้น
"จริงๆ ผมไม่ใช่คนใจร้ายอะไร แต่ถ้าปล่อยผ่านไปก็เหมือนเขาจะผ่านไปได้อีกรายหนึ่ง แต่ถ้าเกิดว่าเขาได้รับอะไรไปบ้าง จะโดนค่าปรับหรือไม่โดน ก็ถือว่าผมได้ทำอะไรบ้างแล้ว
คนคอมเมนต๋ไม่ใช่คนเดิมเลยครับเป็นขาจร คนมาคอมเมนต์อย่างที่บอกว่ามาถ่มน้ำลายแล้วก็เดินผ่านไป ส่วนมากเป็นอวตารหมด หน้าตารูปร่างไม่รู้เลยว่าเป็นใคร คือเป็นอวตารที่ทำขึ้นมาด่าคนโดยเฉพาะ แต่หลายเคสก็เจอกันนะครับ
ผมไม่คุยครับ ผมเอาทีเดียวเลยครับ เดี๋ยวค่อยว่ากันถ้าคุยกันแล้วมันจะกลายเป็นว่า เรามีการพูดกับเขา เขาพูดกับเรา ไม่ต้องหรอกครับ แบบนี้คือสิ่งที่เราก็ไปดำเนินการเลย แล้วเดี๋ยวจะไปหาดูก่อนเพราะว่าเท่าที่หาดูเจอประมาณ 3 เคส คือผมบอกให้หามาเยอะๆ เลย มันจะทำให้คนที่อยู่ด้วยกันตระหนักว่าอยู่ในสังคมแบบใหม่ที่เราไม่เคยเห็น ไม่เหมือน 10 -20 ปีที่แล้วนะ ที่มันไม่มีใครรู้ เดี๋ยวนี้มันเป็นออนไลน์แล้วทุกคนรู้หมด แล้วมาด่าแบบนี้มันควรจะได้รับผล ผมเชื่อว่าอยากจะจัดการให้มันเกิดขึ้นให้ได้"
ด้านภรรยา “แอปเปิ้ล สีสะเหงียน สีหาราช” ก็ฟิวส์ขาดกับเรื่องนี้เช่นกัน
"ไม่นอยด์ครับ ตอนนี้เขาขึ้นแล้ว จริงๆแล้วเขาขึ้นมาก่อนแล้วครับ แต่ว่าเคสนี้ผมเห็นแล้วผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ผมรับไม่ได้ ปกติผมก็ไม่เคยโกรธใครไม่เคยถึงขนาดนี้ แต่ผมรู้สึกว่าเด็กไม่ได้รู้อะไรแล้วไม่ใช่เด็กโตแล้วครับเป็นเด็กแค่ขวบเดียว เขาเข้ามาในไลฟ์เขาก็ยิ้มแย้มไม่ได้ทำอะไร ก็อยู่กับพ่อ แต่อยู่ดีๆ ก็มาโดนด่าแสดงว่าคนพิมพ์นี่หาเรื่องแล้วครับไม่มีเหตุผลเกินไป ตอนนี้ใจร่มแล้ว ถ้าใจร้อนเราอาจจะอินบ็อกซ์ไปแล้ว ผมก็รู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะไปอินบ็อกซ์หาเขา ขอมาจัดการเลยดีกว่า"
แคปไว้หมดแล้ว
"แคปไว้หมดแล้วครับ (เขามาขอโทษยัง?) ยังไม่มีครับ ผมเชื่อว่าใครที่ได้ดูสัมภาษณ์นี้ คุณพ่อคุณแม่ทุกคนผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ดาราก็ได้ ถ้าอยู่ดีๆ โดนมาว่าคนในครอบครัวมันก็ต้องมีอารมณ์เป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพอผ่านจุดนี้ไปผมก็เชื่อว่าสังคมได้พิจารณารอบๆ ตัวเองบ้างว่าเวลาที่พิมพ์อะไรออกไปจะได้ระมัดระวังมากขึ้น ก็จะเข้าใจเรา"