ทันทีที่ “มิเชล โหย่ว” ตัดสินใจรับบทอาเจ๊ที่ต้องผจญภัยไปในมิติคู่ขนานในหนังไซไฟแฟนตาซี Everything Everywhere All At Once มิเชล โหย่ว ได้ส่งเมสเซสไปหาเพื่อนนักแสดงเชื้อสายจีนด้วยกันอย่าง “เฉินหลง” ทันที ว่า “เฮียพลาดแล้วล่ะที่ปฏิเสธหนังเรื่องนี้ไป”
ว่ากันว่าจริง ๆ แล้วบทบาทในหนังเรื่องนี้นั้นผู้กำกับทั้งสองคนได้เขียนขึ้นมาให้ เฉินหลง แสดงนำโดยเฉพาะแต่สุดท้ายเพราะ เฉินหลง ไม่รับ ก็เลยมีการเปลี่ยนแปลงบทจากตัวละครชายกลายเป็นหญิง จนมาลงตัวที่ มิเชล โหย่ว และแทบจะกลายเป็นบททีดีที่สุดในชีวิตของ มิเชล โหย่ว ไปเลย
Everything Everywhere All At Once กลายเป็นหนังไอดีกระฉูดแห่งปี กับเรื่องราวที่ว่าด้วยพหุจักรวาล ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน และเล่นเรื่องของ “มัลติเวิร์ส” ได้อย่างสร้างสรรค์ เต็มไปด้วยลูกล่อลูกชนยิ่งกว่าหนังฟอร์มใหญ่จากจักรวาลภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ Marvel ที่เข้าฉายอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันด้วยซ้ำไป
ต้องยอมรับว่าตั้งแต่โด่งดังมีชื่อเสียงและการอยู่ในวงการบันเทิงมานานเกินครึ่งศตวรรษ เฉินหลง ต้องบอกปัดปฏิเสธบทดังๆ ไปไม่น้อยเหมือนกัน
อย่างเมื่อเริ่มรับงานในหนังฮอลลีวูดเป็นครั้งแรก เฉินหลง ก็เคยปฏิเสธบทในหนังฟอร์มใหญ่ “ริก คนมหากาฬ ภาค 4” หรือ Lethal Weapon ไป แม้จะเป็นโอกาสที่จะทำให้เขาได้ร่วมงานกับซูเปอร์สตาร์ฮอลลรีวูดในช่วงเวลานั้นอย่าง เมล กิ๊บสัน จนสุดท้ายบทมาตกอยู่กับ เจ็ท ลี ซึ่งเหตุผลที่ เฉินหลง ไม่ยอมรับเล่นหนังเรื่องนี้ก็ไม่มีมีอะไรมาก แต่เพราะไม่อยากจะเล่นเป็นตัวร้ายนั่นเอง
ไม่ใช่เฉพาะ เฉินหลง เท่านั้น เพราะ เจ็ท ลี เองก็เคยพลาดโอกาสในหนังดังๆ ไปหลายเรื่องเช่นเดียวกัน
โดยครั้งหนึ่ง เจ็ท ลี เคยถูกวางตัวให้แสดงเป็นพระเอกในหนังกำลังภายใน “พยัคฆ์ระห่ำ มังกรผยองโลก” Crouching Tiger, Hidden Dragon ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ เจ็ท ลี ถือว่าเป็นดารากังฟูที่ดังที่สุดในตอนนั้น
แต่ไม่รู้อีท่าไหน บทนี้กลับตกเป็นของ โจวเหวินฟะ ดาราที่แทบไม่เป็นกังฟูเลย แต่สุดท้ายผู้กำกับก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะหนังประสบความสำเร็จแบบสุดๆ กลายเป็นตำนานหน้าหนึ่งของวงการหนังจีนไปเลย
ตัวของ เจ็ท ลี คงไม่คิดอะไรมาก เพราะสุดท้ายเขาก็ยังมีหนังฮิตเรื่องอื่นออกมามากมายอยู่ดี แต่คนที่คงเซ็งที่สุดคงจะเป็น ซูฉี ที่จริงๆ แล้วเป็นตัวเลือกแรกสำหรับบทนางเอกของเรื่อง เพราะผู้กำกับอังลี รู้สึกถูกใจในบุคลิกดื้อดึงตรงกับตัวละครในหนัง
แต่ ซูฉี ที่กำลังมาแรงสุดๆ ในวงการหนังในตอนนั้นมีตารางการทำงานที่ยุ่งมาก เธอรับงานหนังหลายเรื่องต่อเนื่องกัน ทำให้ไม่สามารถหาเวลามาเล่นหนังกำลังภายในของ อังลี ได้
สุดท้าย อังลี จึงตัดสินใจเลือกดาราหญิงหน้าใหม่ จางซิยี่ (จางจื่ออี๋) ที่ จางอี้โหมว แนะนำมาแทน
ลือกันว่า ผู้จัดการส่วนตัวของ ซูฉี เป็นคนปฏิเสธบทนี้ เพราะอยากจะให้ ซูฉี ไปรับงานโฆษณาที่ได้เงินทันที ได้เงินเห็นๆ แทน สุดท้ายกลายเป็นความพลาดอย่างมหันต์ เพราะบทนี้กลายเป็นบทที่ส่งให้ จางซิยี่ ดังระดับโลก ซึ่งตัวของ ซูฉี ก็เคืองในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน มีข่าวว่าสุดท้ายถึงกับยกเลิกสัญญากับผู้จัดการคนนั้นไปเลย
สุดท้าย ซูฉี ก็ยังได้โกอินเตอร์ในที่สุด กับหนังแอ็กชั่น The Transporter ซึ่งประสบความสำเร็จใช้ได้ ได้สร้างภาคต่อตามออกมาอีกหลายภาค
แต่คนที่ได้จริงๆ กับหนังเรื่องนี้กลับกลายเป็นอดีตนักกระโดดน้ำทีมชาตอังกฤษที่ชื่อว่า เจสัน สแตแธม ที่กลายเป็นดาราแอ็กชันระดับโลกนับแต่นั้นเป็นต้นมา
สำหรับดาราบู๊การถูกเปลี่ยนตัว, ปฏิเสธบท อะไรทำนองนี้คงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะบทเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะแทนกันได้ อย่างหนังฮอลลีวูด Demolition Man “ตำรวจมหาประลัย 2032” ที่เล่าเรื่องของตำรวจ และโจรที่ตื่นขึ้นมาในโลกอนาคต หลังถูกแชร์แข็งจำศาลนานหลายปี
จริงๆ สตอลโลน ก็อยากจะให้ เฉินหลง มารับบทนำเหมือนกัน ซึ่งก็ด้วยเหตุผลเดิมๆ เฉินหลง ปฏิเสธไป เพราะไม่อยากเล่นเป็นตัวร้าย สุดท้ายก็เลยกลายเป็น เวสลี่ สไนป์ ที่ได้บทนี้ไป
นอกจากนั้นเขายังปฏิเสธบทในหนังเรื่อง Black rain เพราะไม่อยากเป็นตัวร้าย แถมหนังเรื่อง Black rain ที่มี ไมเคิล ดักลาส แสดงนำเรื่องนี้ยังอยากจะให้ เฉินหลง มาแสดงเป็นคนญี่ปุ่นด้วย ซึ่งเจ้าตัวก็คงไม่ค่อยอยากจะแสดงเท่านั้น
เหตุผลที่ เฉินหลง ไม่อยากจะเปิดตัวด้วยบทตัวร้ายในหนังฮอลลีวูดก็เพราะกลัวว่าคนดูชาวต่างชาติจะติดภาพ และไม่สามารถกลับมาเป็นพระเอกในหนังฮอลลีวูดได้อีกนั่นเอง
รวมถึงการปฏิเสธบทหนัง The One “เดี่ยวมหาประลัย” หนังไซไฟที่ผู้ได้รับบทตัวเอก ต้องเล่นเป็นตัวละครจากพหุจักรวาล
โดย The One เล่าเรื่องราวการต่อสู้ของตัวละครจากจักรวาลคู่ขนาน ที่ต้องข้ามจักรวาลของตัวเองมาต่อสู้กัน โดยหนังเรื่องนี้มีจุดขายตรงที่พระเอกต้องรับบทเป็นทั้งตัวร้าย และตัวดี มีเนื้อหาแปลกใหม่มากในตอนนั้น แต่ดูเหมือนว่า เฉินหลง จะไม่อยากแสดงเป็นตัวร้ายจริงๆ ก็เลยปฏิเสธบทนี้ไป
แต่ในทางเดียวกัน เฉินหลง ก็เคยได้โอกาสรับบทที่คนอื่นปฏิเสธมาเหมือนกัน เป็นบทที่มีข่าวว่าจริง ๆ แล้ว ผู้สร้างอยากได้ ฟู่เซิง นักแสดงกังฟูที่กำลังดังสุด ๆ ในช่วงเวลานั้นมาแสดงบทนี้ เพราะ ฟู่เซิง ถือว่าเป็นดาราที่ทำได้ดีทั้งบทตลก และบทบู๊ แต่ทาง ชอว์บราเดอร์ ไม่ยอมปล่อยตัว สุดท้ายคนทำหนังก็เลยหาคนอื่นมาแสดงแทน
จนกลายเป็น ไอ้หนุ่มพันมือ หนังที่เริ่มต้นตำนานความยิ่งใหญ่ของ เฉินหลง ที่ถ้าพลาดโอกาสนั้นไป ชีวิตของ เฉินหลง ก็คงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้อย่างแน่นอน
ตรงกันข้ามกับชีวิตของ ฟู่เซิง ที่พลิกผันอย่างรุนแรง เขาได้รับบาดเจ็บจากการถ่ายทำหนังระหว่างปี 1978 – 1979 หลายครั้งติดต่อกัน จนมีผลต่อความสามารถในการแสดงหนังกังฟูโดยตรง แม้สุดท้ายจะรักษาตัวกลับมาได้ แต่ก็ไม่สามารถแสดงบทบู๊ได้เต็มทีเหมือนเดิมอีกครั้ง
จนในปี 1983 ฟู่เซิง กลับต้องมาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะที่ เฉินหลง ได้ก้าวไปสู่การเป็นดาราอันดับ 1 แห่งฮ่องกง