xs
xsm
sm
md
lg

“ลูกอิทธิ” เจอวิกฤตชีวิต ผัวโชว์เงินเป็นปึก แต่ขอจ่ายค่าเลี้ยงลูกอาทิตย์ละ 187 บาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ลูกแก้ว” ลูกสาว “อิทธิ พลางกูร” เผยวิกฤตชีวิตอีกครั้ง เลี้ยงลูก​ 2​ คนเพียงลำพัง ต้องหอบลูกไปเลี้ยงที่ทำงาน​ ด้านสามีอ้างไม่มีเงิน แต่โพสต์โชว์เงินเป็นปึกใช้ชีวิตหรู ขอจ่ายค่าเลี้ยงดูลูกสัปดาห์ละ​ 187 ต่อคน!

เจอวิกฤตอีกแล้วสำหรับ “ลูกแก้ว ญาดา”ลูกสาวอิทธิ พลางกูร”นักร้องชื่อดังยุค90ที่เสียชีวิตด้วยวัยเพียง​ 49​ ปีด้วยโรคมะเร็งลำไส้ ส่งผลให้ภรรยาและลูกๆ ทั้ง​ 3​ คนของอิทธิต้องลำบาก โดยเฉพาะลูกแก้วลูกสาวคนโตที่ต้องแบกภาระหนักทำมาหากินตั้งแต่อายุ​ 13​ เป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัวเวลาผ่านมาเกือบ​ 20​ ปี ปัจจุบันนี้ลูกแก้ว อายุ​ 31​ ปี​ รับราชการ แต่งงานมีลูก 2 คน ก็ต้องมาเจอกับวิกฤตชีวิต สามีไม่รับผิดชอบลูก ที่ผ่านมาลูกแก้วต้องเลี้ยงลูกคนเดียว 2 คนถึงขั้นต้องหอบลูกเล็กไปเลี้ยงที่ทำงานด้วย สุดทนตัดสินใจเลิก ด้านสามียื่นข้อเสนอจ่ายค่าเลี้ยงดูลูกอาทิตย์ละ​187​บาท

“ตอนที่คุณพ่อเสียเราก็เหมือนเสียเสาหลักของครอบครัวไปด้วย เพราะคุณพ่อคนเดียวที่หาเงินเลี้ยงครอบครัวทั้งหมด พวกเราก็ลำบากมากนะคะ ถึงขั้นต้องไปขายไก่ทอด ขายทุกอย่างที่มีในบ้าน บ้านก็ผ่อนไม่ไหว คือพอคุณพ่อเสียทุกอย่างมันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เพราะลูกๆ กำลังวัยเรียนด้วย หนูมองในมุมคุณแม่นะคะ ลูกก็ต้องเลี้ยงงานก็เพิ่งเริ่มทำ มันลำบากมากๆ ค่ะ กลายเป็นซิงเกิลมัม ลำบาก เลี้ยงลูกตั้ง 3 คนลูกก็เรียนยังไม่จบ ตอนนั้นหนูยังเรียนอยู่ชั้นม.3​ คนกลางม.1​ คนเล็กเพิ่งจะ​ 6​ ขวบเอง”

“เรียกว่าเป็นวิกฤติของครอบครัวมากๆ ค่ะ ขายบ้านขายรถ เริ่มนับหนึ่งใหม่เลย เพราะมีเรื่องของหนี้สินด้วยค่ะ พอขายบ้าน​ ขายรถก็เอาเงินไปใช้หนี้ให้หมด แล้วก็มาเริ่มกันใหม่ตอนนั้นก็ไปหาบ้านเช่าอยู่กันค่ะ จากบ้านหลังใหญ่มากๆ ที่พ่อซื้อก็กลายเป็นมาอยู่หลังเล็กๆ ด้วยกัน และพอดีว่าหนูได้ทุนการศึกษาจนเรียนจบด้วยก็ช่วยมาหน่อยนึง น้องสาวก็ได้ทุนด้วย แล้วก็ช่วยกันทำงานหาเงิน ก็ทำให้ครอบครัวเริ่มฐานะดีขึ้นมานิดนึง”

ดิ้นรนหางานทำตั้งแต่เด็ก เพื่อช่วยซัพพอร์ตครอบครัว
“หนูเริ่มทำงานตั้งแต่คุณพ่อเสียเลยค่ะ อายุ 13-14 ตอนนั้นเราก็ดิ้นรนกันมาเองตลอด ออกบู๊ทขายไก่ทอดหรือไปร้องเพลง งานก็เริ่มเข้ามา ทำให้เรามีรายได้เข้ามาค่ะ แต่ก็เรียกว่ากลางๆ นะคะ เพราะอย่างหนูเรียนจบมาก็มาเป็นข้าราชการ ก็ดีขึ้นหน่อย แต่ก็ฐานะกลางๆ น้องก็มีงานทำเพลงอะไรของเขาไป”



ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับสามีที่อายุน้อยกว่า​ 9​ ปี“ปัจจุบันหนูมีครอบครัวแล้วมีลูก 2​คน เจอกันจากการที่หนูไปร้องเพลงที่โรงเรียนแห่งหนึ่งค่ะ ก็เจอเขา เขาเรียนอยู่ที่นั่น แล้วก็เลยมีการติดต่อกันทางอินสตาแกรมค่ะ ตอนนั้นเราก็ถูกชะตากับเขา พอคุยไปคุยมาก็รู้สึกว่าความชอบมันคล้ายกัน ชอบเพลงสากลเหมือนกัน อะไรหลายๆ อย่าง ตอนนั้นการเป็นแฟนกันอะไรมันก็ดูดีไปหมดค่ะ ก็ใช้เวลาศึกษาดูใจกันเกือบๆ​ 1​ ปีค่ะ​ พอมีน้องเราก็ไปจดทะเบียนสมรสกันค่ะ”

“ปัญหาก็คือด้วยความที่หนูอายุเยอะกว่าน้องเขา ตอนนั้นหนูอายุประมาณ 28 น้องเขาอายุ 19-20 ปี ก็ค่อนข้างห่างกันประมาณ 9 ปี เราก็คบกันมาสักพักนึง จนประมาณปี 62 หนูก็ท้อง ช่วงที่หนูท้อง คุณแม่เขาก็ไม่ค่อยให้ลูกมาอยู่กับเราหรือมาหาเราเท่าไหร่ หนูก็ต้องอยู่คนเดียว ไปโรงพยาบาลคนเดียว เราก็พยายามอดทนเพื่อให้ครอบครัวมันเป็นครอบครัว​ สู้เพื่อให้สามีเรามาอยู่กับเรา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะเขาต้องไปทำงานต่างจังหวัด ที่นครปฐม ส่วนหนูอยู่กรุงเทพฯ เขาจะมาได้แค่เสาร์-อาทิตย์ และตอนนั้นเขาก็ยังเรียนไม่จบ ก็ต้องเรียนไปด้วย”

“ก็เลยกลายเป็นว่าพอท้อง​ เราก็ต้องดูแลลูกเองมาตลอดจนคลอด ที่ผ่านมาแก้วก็เอาลูกไปทำงานด้วย ก็ทำแบบนี้มาตลอดจนตอนนี้ลูกคนโต 2 ขวบครึ่ง​ จนมามีน้องคนที่สอง ก็เริ่มมีปัญหา จริงๆ มันมีปัญหามาเรื่อยๆ อยู่แล้ว เพราะด้วยความที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน และคุณพ่อน้องเขาก็ไม่หางานนอก ไม่มีเงินพอที่จะเลี้ยงชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ ก็เลยทำให้ไม่สามารถซัพพอร์ตเราด้วย หนูต้องหาเงินเองเพื่อที่จะเลี้ยงลูกตั้งแต่ท้องเลย”


สามีเริ่มมีปัญหาไม่อยากเลี้ยงลูก จนต้องจ่ายเงินจ้างทั้งสามีและแม่สามีให้ช่วยเลี้ยง
“ส่วนตัวสามีเองจริงๆ ตอนช่วงแรกๆ ที่ลูกเกิดมาเขาก็ดูรักลูกนะคะ เหมือนว่าเราจะอยู่กันได้ แต่เราจะมีปัญหาเรื่องเงิน เรื่องการเลี้ยงดูลูก เพราะด้วยความที่เขาอายุน้อย เขาก็ยังมีเล่นเกมส์บ้าง ไม่อยากเลี้ยงลูก นอน ก็จะเป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเราอายุเยอะกว่าก็อาจจะมีพูดบ่นบ้าง เขาก็อาจจะมีไม่ค่อยพอใจ แต่เราก็อยู่กันมา จนกระทั่งหนูท้องคนที่สอง ทางสามีก็เริ่มรู้สึกเครียดอีกแล้ว คราวนี้หนักเลยค่ะ คือคนแรกยังดีที่เขาเลี้ยงง่าย ไม่ร้อง แต่คนที่สองเลี้ยงค่อนข้างยาก เขาร้องงอแงตลอดเวลา ไม่ค่อยนอน”

“พอสามีมาอยู่ด้วยเขาก็จะรู้สึกรำคาญ เริ่มอยู่ไม่ไหว เริ่มไม่อยากเลี้ยงลูก จนมามีปัญหาจริงๆ เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาค่ะ ตอนนั้นงานหนูก็เริ่มเข้ามาปีใหม่ก็เป็นช่วงที่ต้องออกไปทำงานร้องเพลง งานก็ค่อนข้างเยอะ 3​ วันติด พอหนูไปร้องเพลง เขาก็จะเริ่มมีปัญหา ทุกครั้งที่หนูจะให้เขาช่วยดูลูกจะต้องให้แม่เขามาอยู่ พอหนูได้เงินมาก็จะแบ่งเงินส่วนนึงไว้ให้แฟนและแม่เขา​ และส่งให้แม่หนูด้วย แต่ด้วยความที่แม่เขามาช่วยดูแลหลาน หนูก็ให้คุณแม่เขาและเขาด้วย เพราะเขาไม่มีรายได้เสริม พอเรามีเราก็ให้ แต่เขาก็มาขออีกบอกว่า ขอค่าเสียเวลาที่มาเลี้ยงลูกหน่อย ซึ่งหนูมองว่ามันไม่ควรจะเสียเพราะนั่นก็ลูกเรา หลานเราทั้งนั้น มันต้องจ้างเหรอ อย่างนั้นเราจ้างคนอื่นให้มาดูก็ได้มั้ย คือเราก็เหนื่อย ออกไปทำงานกลับมาเลี้ยงลูก ดูแลลูกคนเดียวมาตลอด ค่าแพมเพิท นม วัคซีนอะไรต่างๆ ทุกอย่างหนูเป็นคนจ่าย พ่อเขาไม่เคยจ่าย”

“ยังจะมาให้หนูจ่ายในส่วนของที่มาเสียเวลาค่าเลี้ยงหลานกับลูกอีก ต้องซัพพอร์ตเขาทุกเสาร์-อาทิตย์ที่แวะมาบ้าน ก็เริ่มรู้สึกไม่ไหวเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันด้วย เงินก็ต้องหาซัพพอร์ตให้ ครั้งสุดท้ายพอเราไม่ให้เขา เขาก็ไม่มาหาเราอีกเลย กลับไปอยู่บ้านแม่เขา ตั้งแต่ต้นม.ค.เลยค่ะ หายไปเลย เขาไม่ได้สนใจลูกอยู่แล้วด้วย คิดว่าเขาคงไม่ค่อยผูกพันเพราะเขาไม่ได้เลี้ยงเองด้วย”

ยื่นข้อเสนอขอค่าเลี้ยงลูกเดือนละ 4,000​ แต่ได้คำตอบว่าให้ได้แค่อาทิตย์ละ 187.5 ต่อคนต่ออาทิตย์

“ตอนนี้ยังไม่ได้หย่านะคะแต่เลิกค่ะ เลิกทางพฤติกรรม คือเราไม่เจอกันเลย ไม่คุยกันมาจะ6เดือนแล้ว ก็มีคุยกันทางแชตว่าทำไมไม่มาหาลูกบ้าง ถ้าทำแบบนี้ก็เลิกกันไปเลยดีกว่า คือแค่เราไม่ได้ให้เงินแม่เขา เราผิดเหรอ เราไม่ได้รู้สึกว่าเราผิดนะ​ ก็เราเลี้ยงลูกของเรา เราต้องเอาเงินตรงนี้ไปเลี้ยงลูกเรา เงินมันต้องใช้เยอะ คุณน่าจะเข้าใจนะ คุณไม่ได้ซัพพอร์ตเรา คุณจะมาขอเงินเราอีก มันไม่ได้หนูก็เลยบอกว่าแบบนี้อยู่กันไม่ได้หรอก ก็เลิกกันไปดีกว่า”

“ทีนี้ก็คุยกันเรื่องว่าคุณจะช่วยค่าใช้จ่ายของลูกเท่าไหร่ เขาก็บอกว่าไม่มีให้ เขาบอกเงินที่จะใช้เองยังแทบจะไม่มีเลย ต้องผ่อนรถต้องอะไรนั่นนี่ ซึ่งเรามองว่าเงินเดือนคุณต้องขึ้นตลอดอยู่แล้ว​ เพราะเราทำงานที่เดียวกัน แน่นอนว่าคุณเจริญก้าวหน้าเงินเดือนมีแต่ขึ้นคุณก็น่าจะคิดถึงอนาคตของลูกบ้าง ลูกทำมาด้วยกันนะคะ ช่วยรับผิดชอบร่วมกันนิดนึงถึงแม้ว่าที่ผ่านมาคุณจะไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ถ้าจะให้เรารับลูกไว้คนเดียวก็ได้ เพราะเราเลี้ยงคนเดียวมาตั้งแต่ต้นเราไม่แบ่งลูกให้ใครอยู่แล้ว แต่คุณน่าจะช่วยสักหน่อย”

“หนูก็ยื่นข้อเสนอให้เขาไปตอนแรกว่าขอเดือนละ 6,000 ไหวมั้ย​ เขาบอกไม่ไหว หนูเลยขอเดือนละ​ 4,000​ เขาก็บอกไม่ไหวอีก ลูกสองคนคนละ 2,000 น้อยนะคะ หนูก็คิดว่าเรายื่นข้อเสนอไปน้อยแล้ว คิดว่าต้องได้ แต่สุดท้ายเขาบอกว่าไม่ได้ เขาเขียนมาว่าขอเป็น​ 187.5​ บาทต่ออาทิตย์ต่อคน ไม่อย่างนั้นเขาก็ขอข้อตกลงแรกที่เราคุยกัน ก็คือไม่จ่ายอะไรเลย และไม่ขอเจอลูก หนูเลยรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ใช้ไม่ได้มากๆ เลยก็รู้สึกแย่มาสักพักเลยค่ะ”


ไม่มีเงินให้ลูก แต่มีเงินเที่ยว
“เขาก็หายไปเลยค่ะ เขาลงสตอรี่ในอินสตาแกรมว่าไปกิน ไปเที่ยว มีเวลาไปดูหนัง มีเงินเยอะ แต่เราต่อรองเรื่องเงินอะไรกับเขาไม่ได้เลย แต่ดูการกระทำของเขามันไม่ใช่ทุกวันนี้บาทเดียวก็ไม่เคยได้ค่ะ อย่างเวลาพาลูกไปฉีดวัคซีนมันเสียเงินเยอะอยู่แล้ว เราก็บอกเขาว่าช่วยหน่อยเขาก็เงียบ ทุกวันนี้ก็ไม่เคยช่วยสักบาทค่ะ แต่เคยได้เงินเขาจากการคลอดลูกคนที่สองค่ะ แต่ค่าคลอดคนแรกหนูจ่ายเองทั้งหมด หนูเลยบอกว่าลูกคนที่สองเธอจ่ายบ้างนะ เพราะลูกคนแรกตั้งแต่ท้อง คลอด เลี้ยงมาทุกวันนี้เงินหนูซัพพอร์ตเองทั้งหมด พอคนที่สองหนูเลยบอกเขาว่าช่วยค่าคลอดได้มั้ย ประมาณ​ 8,000​ กว่าบาท ไม่ได้เยอะมาก เขาก็ช่วยมา หลังจากนั้นค่านมอะไรต่างๆ ก็หนูคนเดียวมาตลอด”

“ที่เขาเสนอว่าจะให้อาทิตย์ละ 187.5​ นี่คือเราจ่ายเองก็ได้มั้ย คนทั้งคนนะ และลูกตัวเองด้วย สายเลือดตัวเอง หนูให้ใช้นามสกุลเขาทั้งสองคนเลย จริงๆ หนูอยากให้ใช้นามสกุลหนูนะ แต่หนูก็ให้เกียรติเขา แต่เขากลับไม่เห็นว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเขา (น้ำตาซึม) ทุกวันนี้นอกจากเรื่องค่าใช้จ่ายก็คือเรื่องของเวลาการเลี้ยงลูกมันต้องให้เวลากับเขาเยอะๆ แต่เราต้องออกไปทำงานก็เลยต้องให้คุณแม่ของหนูช่วยมาดูหลานแทน เพราะเด็กวัยนี้ต้องใช้เงินค่อนข้างเยอะไม่ว่าจะนม แพมเพิท ค่าใช้จ่ายอื่นๆ มันเยอะ แล้วลูกยังต้องไปโรงเรียนอีกพอลูกโตขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราก็ต้องวางแผนล่วงหน้าว่าจะหาเงินมายังไงเพื่อที่จะอยู่รอด”

“ก็โชคดีที่ว่าสมัยหนูเด็กๆ ก็สู้ชีวิตมาตลอดมันก็เลยทำให้เราเข้มแข็ง พอถึงจุดแตกหักมันก็เลยไม่ได้รู้สึกซึมเศร้าหรืออะไร แต่คิดว่าเราต้องทำอะไรต่อพอเราตัดเขาออกจากชีวิตได้ เราก็มาคิดวางแผนว่าเราต้องทำอะไรต่อไปเราต้องเริ่มเก็บตังค์ จริงๆ เราก็เริ่มเก็บมาตั้งแต่เริ่มคบกับเขาแล้วเพราะเราซัพพอร์ตเขามาตลอด แล้วพอมีลูกก็ต้องวางแผนให้ลูกอีก ก็เริ่มเก็บมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนท้อง แต่ก็ลำบากค่ะ ลูกสองคน เราทิ้งเขาไม่ได้เลย บางทีไปร้องเพลงเราก็แบกลูกไปไม่ได้ ลูกกำลังซนเลย”

“สิ่งที่ลูกแก้วต้องการก็แค่อยากให้เขารู้สึกบ้างว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ใช่ที่ทุกคนจะรับได้ เขาทำหน้ามีความสุขอยู่ในสังคมทั้งๆ ที่ทิ้งลูก มันใช้ไม่ได้ สำหรับลูกผู้ชายมันไม่ควรทำแบบนี้ คิดว่าตอนนี้คงยังไม่ฟ้องค่ะเพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีความรับผิดชอบ ก็แค่อยากให้สังคมรับรู้ค่ะแต่ถ้าเขาจะรับผิดชอบก็ดีนะคะ ชีวิตเขาอาจจะดีขึ้นก็ได้”





















กำลังโหลดความคิดเห็น