xs
xsm
sm
md
lg

ลูกชาย “เสี่ยแหบ วิทยา” แถลงสุดช้ำ ใครจะเสียเงินกว่า 2 ล้านเพื่อให้พ่อตาย! จี้รพ.เครื่องมือไม่พร้อมควรผ่าตัดไหม?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เป้ ศุภวิทย์” ตั้งโต๊ะแถลงพร้อมทนาย ติดใจสาเหตุการตายพ่อ เชื่อไม่ได้เสียจากมะเร็ง แต่เป็นสมองตาย ใช้เครื่องช่วยหายใจจนปอดฉีก ถึงฟื้นก็ต้องตัดแขน จี้ถามรพ.เครื่องมือไม่พร้อมควรผ่าตัดไหม ไม่ได้จะฟ้อง แค่ต้องการคำชี้แจง ย้ำไม่มีใครยอมเสียเงินกว่า 2 ล้านเพื่อให้พ่อไปตาย หวังจะได้ความกระจ่าง ไม่อยากให้เกิดกับครอบครัวอื่นอีก

หลังจากที่ “เป้ ศุภวิทย์ ศุภพรโอภาส” ลูกชายของนักจัดรายการวิทยุชื่อดังระดับตำนาน “วิทยา ศุภพรโอภาส” หรือ “เสี่ยแหบ” ผู้บุกเบิกคลื่นลูกทุ่ง FM ได้ออกมาเผยว่าทางครอบครัว ยังติดใจสาเหตุการตายคุณพ่อ เพราะคิดว่าไม่ได้เกิดจากโรคมะเร็งปอด แต่เป็นภาวะสมองตาย โดยเกิดจากการช่วยเหลือที่ผิดพลาดล่าช้าและบกพร่องเรื่องอุปกรณ์

ล่าสุดวันนี้ (28 เม.ย.) เจ้าตัวพร้อมตลกดัง “เป็ด เชิญยิ้ม” หรือ “ดร.ธัญญา โพธิ์วิจิตร” ในฐานะเพื่อนของคุณพ่อ, นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย และ นายธงชัย พรเศรษฐ์ รองนายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ณ ศาลาเมรุ วัดราชวรินทร์ เขตธนบุรี

เป้ : “วันนี้มาแถลงข้อเท็จจริง เพราะตอนแรกเกิดเหตุการณ์เข้าใจผิดกันเยอะว่าคุณพ่อเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง จริงๆ แล้วคุณพ่อไม่ได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งแต่อย่างใดนะครับ เริ่มจากเมื่อ 5 ปีที่แล้ว คุณพ่อได้ตรวจพบมะเร็งลำไส้ขั้นที่ 1 ได้เข้ารักษาตัวผ่าตัดให้คีโมที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง การรักษาผ่านไปได้ด้วยดีจนหายและมีการตรวจเช็กอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา มีการตรวจเลือดทุกปี ตรวจค่ามะเร็งส่องกล้องก็ไม่พบว่ามีมะเร็งแต่อย่างใด จนกระทั่งตรวจครั้งสุดท้าย เมื่อเดือน กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา ก็ยังไม่พบว่ามีค่าเลือดโรคมะเร็งแต่อย่างใด

จนกระทั่งเดือนกันยายน 2564 คุณพ่อมีอาการไอ และมีเลือดติดออกมากับเสมหะ ก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ปกติคุณพ่อมีอาการไออยู่แล้วเพราะใช้เสียงเป็นพิธีกร และเป็นคนเสียงดัง เลยไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอวินิจฉัยว่าเป็นกล่องเสียงอักเสบเท่านั้น ที่มีเลือดออกมาเพราะไอเยอะเกินไปทำให้กล่องเสียงเป็นแผล แต่เพื่อความชัวร์คุณหมอแนะนำให้ลองเช็กปอดไปด้วย สรุปไปเอ็กซเรย์ปอด ผลออกมาว่าเจอจุดก้อนมะเร็งที่ปอดทั้ง 2 ข้าง

ได้รับคำแนะนำจากแพทย์วางแผนการรักษาในครั้งนี้ เพราะมะเร็งเพิ่งมา คุณพ่อไม่เคยเจ็บป่วยใดๆ กับมะเร็งทั้งสิ้น เพราะว่ามันยังไม่ได้ออกฤทธิ์ เจอโดยความบังเอิญ ก็มาวางแผนกับทางทีมแพทย์โรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งแต่ต้น วิธีการรักษาของคุณพ่อ คือให้คีโมมา 8 ครั้งในตลอด 8 เดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน 64 ที่ตรวจพบ จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 65 ที่ผ่านมานี้ เฉลี่ยคือให้คีโมเดือนละครั้ง ให้คีโมครบ 8 ครั้งเสร็จสิ้นแล้ว

คุณหมอแนะนำว่ามะเร็งฝ่อลงไปแล้ว หลังจากการให้คีโมไป 8 ครั้ง ถ้าจะให้หายขาดเลยต้องผ่าตัดเฉือนก้อนเนื้อที่เหลือเล็กน้อยในปอดทั้ง 2 ข้างออก เพื่อให้อยู่ได้อีกอย่างน้อย 10 ปี ให้ผ่าปอดออกทั้ง 2 ข้าง คุณพ่อตกลงตามนั้นทำตามแผนที่คุณหมอแนะนำ จนกระทั่งกลางเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา คุณหมอวางแผนทั้งหมดแล้วว่าต้องเข้ารับการผ่าตัด เตรียมตัวตรวจสุขภาพ เข้าโรงพยาบาลทั้งสัปดาห์ก่อนผ่าตัด ตรวจความพร้อมของร่างกาย ผลออกมาสามารถเข้าผ่าตัดได้

การผ่าตัดเกิดขึ้นเช้าวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 65 เวลา 8 โมงเช้า คุณพ่อรับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง แล้วช่วงบ่ายสามโมง ได้รับโทรศัพท์จากญาติที่เป็นคุณหมอเหมือนกัน เพราะในห้องไอซียู ผมไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมได้เพราะช่วงโควิดเขาไม่ให้เข้า ผ่าตัดเสร็จคุณพ่อจะพักฟื้นในไอซียูก่อน 24 ชั่วโมง ผมถึงจะไปเยี่ยมได้

ตอน 15.00 น. ญาติที่เป็นคุณหมอเดินเข้าไปเยี่ยม คุณพ่อฟื้นทักทายได้ดี ญาติก็โทร.มารายงาน ผมก็สบายใจแล้ว พ่อปลอดภัย ถือว่าเป็นผลที่ได้ดี รอวันรุ่งขึ้นจะไปเจอคุณพ่อตอนเช้าหลังออกจาก ICU ตีสามของคืนเดียวกัน ก็คือเช้าวันที่ 4 เมษายน ทางโรงพยาบาลโทร.มาหาผมกลางดึก บอกคุณพ่ออาการไม่ดีแล้ว รีบมาด่วน ผมไปถึงโรงพยาบาลตีสี่ ภาพที่ผมเห็นมีทีมแพทย์พยายามช่วยชีวิตคุณพ่อ คือผมได้เข้าไปใน ICU แล้วเพราะเป็นเหตุวิกฤตแล้ว

จนกระทั่งมีแพทย์ท่านหนึ่งเดินเข้ามาบอกผม แนะนำตัวว่าเป็นแพทย์มาจากโรงพยาบาลแห่งใหม่ ตอนนี้คุณพ่อเป็นอาการวิกฤต มีเลือดออกจากปอด หายใจเองไม่ได้ จะต้องขอยืมอุปกรณ์คือเครื่องพยุงปอดและหัวใจ ทางการแพทย์เรียกว่า ECMO มาจากโรงพยาบาลแห่งใหม่ หลังจากนั้นจะต้องพาคุณพ่อไปดูแลต่อที่โรงพยาบาลแห่งใหม่ หมอบอกเดี๋ยวเครื่องมาแล้วจะโทร.เรียกผม ให้ไปรอข้างนอกก่อน

เวลา 7 โมงเช้า มีโทรศัพท์เรียกผมลงมาที่ห้อง ICU เครื่อง ECMO มาถึงแล้ว กำลังใส่เครื่องนี้ให้คุณพ่อเพื่อจะเคลื่อนย้ายคุณพ่อไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลแห่งใหม่ จนเวลา 10 โมงเช้า ทีมแพทย์จากโรงพยาบาลแห่งใหม่ มาทรานเฟอร์คุณพ่อไป คุณพ่อไปถึงโรงพยาบาลแห่งใหม่ตอนเที่ยง จนกระทั่งเวลาประมาณบ่ายสอง คุณหมอที่ไปรับตัวคุณพ่อเดินออกมาบอกผมว่า อาการคุณพ่อคงที่แล้ว อาการปอดและหัวใจคงที่แล้ว และเล่าเหตุการณ์ให้ผมฟัง

สรุปสั้นๆ ว่าจริงๆ แล้วเมื่อคืนกลางดึกคุณพ่อมีอาการหายใจลำบาก ทาง ICU ของโรงพยาบาลเดิม ได้สอดเครื่องช่วยหายใจเข้าไปให้คุณพ่อ แต่เนื่องจากปอดได้รับการผ่าตัดมาทั้ง 2 ข้าง เครื่องช่วยหายใจมันอัดลมเข้าไปช่วยหายใจ ทำให้ปอดคุณพ่อแตก และมีเลือดออกมา ปอดทำงานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ ทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองคุณพ่อไม่เพียงพอ

แต่ส่วนเรื่องปอดกับหัวใจพอใส่เครื่อง ECMO ที่มาถึงจากโรงพยาบาลแห่งใหม่แล้ว อาการก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ แต่คุณหมอบอกว่ามีข้อที่น่าเป็นห่วง ตอนนี้อาการคุณพ่อคงที่แล้ว แต่หมอเป็นห่วงอยู่ 2 ข้อ ข้อที่ 1 คุณหมอเป็นห่วงว่าพ่อจะไม่ฟื้นอีกเนื่องจากขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมองเป็นเวลานานในระหว่างการช่วยชีวิต ข้อที่ 2 อาจจะต้องตัดแขนซ้ายพ่อทิ้ง เนื่องจากระหว่างการช่วยเหลือมีการสอดใส่เครื่องมืออุปกรณ์ ทำให้เลือดไปไหลเวียนที่มือไม่ได้ ทำให้มือตาย

ถ้าคุณพ่อรอดมาได้ยังไงก็ต้องตัดแขนทิ้งเพราะแขนตายไปแล้ว นี่คือสองส่วนที่คุณหมอรายงานผม ณ ตอนนี้นั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นให้ผมรอ 48 ชั่วโมงก่อน ว่าอาการจะเป็นยังไง พอเราฟังเรื่องราวทั้งหมด ผมก็ถามคุณหมอ ถ้าเหตุการณ์วิกฤตแบบนี้เกิดขึ้นใน ICU ของโรงพยาบาลใหม่ จะเป็นแบบนี้ไหม คุณหมอตอบผมว่าคงไม่เป็นแบบนี้ เพราะมีอุปกรณ์ครบ คุณพ่อคงไม่ขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง

ผมก็รอว่าน่าจะมีปาฏิหาริย์ทำให้พ่อตื่นขึ้นมาได้ตัดแขนก็ไม่เป็นไร หลังจากผ่านไป 48 ชั่วโมง ได้รับการคอนเฟิร์มจากแพทย์ที่โรงพยาบาลใหม่ทั้งหมด ที่ช่วยชีวิตคุณพ่อว่าสมองตายแล้ว เพราะเสียหายจากการช่วยชีวิตไม่ทัน ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่ได้ จาก 48 ชั่วโมงเราก็ยังรอยังมีหวังว่าปาฏิหาริย์จะมี ก็รอคุณพ่อนอนอยู่อย่างนั้น 2 สัปดาห์ จนเช้าวันที่ 18 เมษายน คุณพ่อก็หมดลมไปเอง

ผมมาทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ว่าการเสียชีวิตมันไม่ปกติแล้ว คุณพ่อไม่ได้เสียชีวิตเพราะการผ่าตัด คุณพ่อฟื้นแล้วหลังจากนั้น มันมีอยู่ 3-4 ประเด็นที่ผมกับทางครอบครัวสงสัย

1.การประเมินของทีมแพทย์ผ่าตัด ว่าผ่าตัดพร้อมกันทั้ง 2 ข้างถูกต้องไหม คุณพ่อดูแข็งแรงจากที่ทุกคนเห็นอยู่ แต่จริงๆ คุณพ่อก็อายุ 72 แล้ว คุณประเมินถูกต้องหรือเปล่า ตัดทีละข้างไหม ทำไมต้องตัดพร้อมกัน 2 ข้าง แล้วเตรียมความพร้อมหลังการผ่าตัดไว้แค่ไหนสำหรับรองรับผู้ป่วยในการตัดปอดทั้ง 2 ข้าง มีความพร้อมอย่างไรบ้าง

2.เมื่อคุณพ่อผ่าตัดเสร็จฟื้นแล้ว เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ทำไมพ่อถึงวิกฤตขึ้นมาได้ คนไข้ฟื้นแล้วตั้งแต่บ่ายสาม แต่เกิดวิกฤตขึ้นเพราะอะไร ทั้งๆ ที่คุณพ่ออยู่ใน ICU ซึ่ง ICU ต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดพร้อมอุปกรณ์ครบ แต่ทำไมเกิดเหตุบกพร่องอย่างไรในการช่วยชีวิต

3.การช่วยชีวิตคุณพ่อในห้อง ICU ที่โรงพยาบาลเดิม การใช้เครื่องช่วยหายใจจนแผลพ่อที่ผ่าตัดมา ปอดฉีกออกมา มีเลือดออก ทำถูกต้องหรือเปล่า น่าจะต้องรู้ว่าปอดได้รับความเสียหายจากการผ่าตัดมาแล้ว แล้วทำแบบนี้ขั้นตอนถูกต้องไหม จนทำให้สมองขาดออกซิเจน เพราะว่าปอดเสียหายผลิตออกซิเจนไม่ได้ จนถึงขั้นวิกฤตที่เกิดขึ้น

4.เมื่อคุณพ่อเข้าสู่อาการโคม่าวิกฤตแล้วจะต้องใช้เครื่องพยุงปอดและหัวใจ คือเครื่อง ECMO โรงพยาบาลเดิม ต้องขอยืมจากโรงพยาบาลใหม่มา กว่าจะมาถึง ผมไปถึงตีสี่ เครื่อง ECMO มาถึง 7 โมงเช้าใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า เหตุใดถึงไม่มีการเตรียมการเครื่องนี้ไว้ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งแต่แรก แล้วการยืมเครื่องมาเดินทางมาช้าเกินไปหรือเปล่า

ถ้าเกิดเหตุการณ์ขึ้นที่โรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์ครบ เหตุการณ์สมองตายก็ไม่เกิดขึ้น เพราะเมื่อปอดวิกฤต เครื่อง ECMO ก็ทำงานแทนปอดจะช่วยให้ออกซิเจนกับผู้ป่วย สมองตายก็คงไม่เกิดขึ้น เพราะอะไรถึงต้องรอเครื่อง ECMO นานขนาดนี้ แล้วถ้าโรงพยาบาลไม่มีเครื่องนี้ รู้อยู่แล้วว่าไม่มีเครื่องนี้ คนไข้ผ่าตัดปอดประเมินว่าต้องใช้มีเพื่อป้องกันเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นมากที่สุด ถ้าโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่มี ควรผ่าตัดพ่อที่นั่นหรือเปล่า ควรจะให้ไปผ่าที่อื่นไหม”

เผย รพ. ปฏิเสธการแสดงความรับผิดชอบ อ้างทำตามมาตรฐานครบถ้วน
เป้ : “หลังจากคุณพ่อเสียชีวิตลง ทางโรงพยาบาลเดิม ก็ได้เรียกผมและครอบครัว เข้าไปพูดคุยแสดงความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทางโรงพยาบาลปฏิเสธการรับผิดชอบทั้งหมด โดยอ้างว่าได้ทำตามขั้นตอนมาตรฐานเรียบร้อยครบถ้วนแล้ว แต่ฟังแค่นั้นพวกเราก็ยังสงสัยอยู่ในข้อต่างๆ ผมและญาติก็ติดใจเรื่องนี้แหละว่าเป็นยังไง เรื่องราวเหตุการณ์มันเกิดขึ้นมันมีจุดบกพร่องอย่างไรบ้าง

ผมทำการชันสูตรพลิกศพเพื่อต้องการหาสาเหตุที่เกิดขึ้น และจะพิจารณาดำเนินเรื่องทางกฎหมายต่อไป สิ่งที่ผมสงสัยในข้อประเด็นต่างๆ ที่กล่าวไปกับทางโรงพยาบาล แต่เขาไม่ตอบครับ ก็ตอบมาว่าครบถ้วนแล้ว สำหรับผลชันสูตร ผมยังไม่ขอกล่าวตรงนี้ เอาข้อสงสัยของทางเราและเป็นการเล่าเหตุการณ์ที่ผมประสบให้ทุกท่านทราบ ก่อนการผ่าตัดก็มีการเซ็นหนังสือตามปกติ เราทุกคนไปผ่าตัด เขาก็ต้องมีการเซ็นยินยอมก่อนการผ่าตัดเป็นธรรมดา รายละเอียดเราก็ไม่เคยอ่านกันหรอกครับว่ามีอะไร อนุญาตให้ผ่าตัดอะไรก็ว่าไป

ตอนแรกคุณพ่อไว้วางใจโรงพยาบาลแห่งนี้ เพราะเคยเป็นมะเร็งลำไส้ก็รักษาจนหายดี คุณพ่อมั่นใจและเชื่อถือ ก่อนผ่าตัดไม่มีความเสี่ยงเลย คุณหมอพูดกับผมก่อนผ่าตัดว่า ลังเลอยู่ว่าจะผ่า 2 ข้างหรือข้างหนึ่ง แล้วก็บอกว่าผ่า 2 ข้างไปเลยหายขาดชัวร์ ก่อนจะเข้าผ่าตัด คุณพ่อเดินเข้าไป 1 สัปดาห์ก่อนหน้านั้นยังไปตีกอล์ฟกับพี่เป็ด เชิญยิ้ม ไม่ได้มีอาการเกี่ยวกับมะเร็งใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนเราปกติเพราะมันยังไม่ได้มีผลอะไรเลย เพราะมันเพิ่งมาระยะแรกเลย ไม่มีการเจ็บป่วยใดใดทั้งสิ้น เดินเข้าไปปกติเลย”

ทนายนรินท์พงศ์ : “วันนี้ซ้ายขวาผม มีข้อเท็จจริงองค์รวมแล้ว ยังเชื่อว่าการเสียชีวิตของพี่วิทยา ศุภพรโอภาสเนี่ย มีปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการ เราแยกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งการตาย เหตุเกิดในระหว่างผ่าตัดของแพทย์หรือเปล่า ปัญหาที่ 1 ตอนนี้รอแพทย์ชันสูตรพลิกศพอย่างเป็นทางการ ปัญหาที่ 2 ข้อเท็จจริงเกิดแล้ว ผ่าตัดแล้วทักทายได้แล้ว ขอเวลาไปพักฟื้นใน ICU 7 วัน แต่มีอาการช็อก มีอาการต่อเนื่องไปสู่การเสียชีวิต ถึงขนาดที่ต้องโยกโรงพยาบาลไปก็ดี หรือไม่มีเครื่องมือที่พยุงหัวใจอะไรก็ดี ในขั้นตอนที่สอง ถือว่าเป็นการประมาทเลินเล่อของโรงพยาบาลผู้รับผ่าตัดหรือไม่อย่างไร

ในเมื่อทราบดีอยู่แล้ว ว่าการผ่าตัดปอดทั้งสองข้าง กับคนอายุ 70 เศษๆ ปอดต้องได้รับการดูแลจากบุคลากรที่อยู่ต่อเนื่อง แพทย์ที่ดูแลการผ่าตัด ICU เสียเงินเยอะๆ แต่กลับขาดการดูแลแบบนี้ อาจจะเป็นเรื่องที่บกพร่องหรือเปล่า สองมีการช่วยปั้มหัวใจเข้าไป ฟังรายงานจากแพทย์โรงพยาบาลใหม่ ก็เห็นว่าการช่วยครั้งนี้ จะไปทำให้ปอดที่ได้รับการผ่าตัด มีรอบแผลและฉีดขาดไป อันนี้ประเมินความเห็นจากแพทย์ ไม่ได้สรุปด้วยตัวเอง ตรงนี้หากโรงพยาบาลนี้ มีเครื่องพยุงหัวใจ ทำให้หายใจไม่ผ่านปอด คือ ECMO คุณวิทยาจะตายหรือไม่

กลับมาคำถามสุดท้าย คือวันนี้โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียง ที่ต้องใช้เงินไม่น้อย ใบเสร็จของคุณวิทยาอยู่กับผม 2 ล้านเศษๆ ไม่มีใครจะเสียเงินไปตายนะครับ โรงพยาบาลที่กำลังจะผ่าตัดปอดสองข้าง แต่กลับไม่มีเครื่องมือตรงนี้ แล้วต้องไปขอยืมที่โรงพยาบาลใหม่ มีเหตุผลเพียงพอหรือไม่อย่างไร ถ้าหากจำเป็นต้องมีเครื่องมือจากโรงพยาบาลใหม่ ทำไมต้องรอถึง 3 ชั่วโมง ทำไมต้องพยุงอาการให้คนเจ็บป่วยถึง 3 ชั่วโมง

ข้อสงสัยต่อไปคือเมื่อมีการพยุงเรียบร้อยแล้ว แต่คุณหมอที่โรงพยาบาลใหม่ บอกว่าไม่น่าจะรอด เพราะสมองขาดอากาศ 3 ชั่วโมง มันก็ยังคาใจอยู่ว่า เอาเครื่องมือจากโรงพยาบาลใหม่มา พอพยุงหัวใจเสร็จ กลับพาคนไข้ที่อยู่ในสภาพปางตาย กลับไปโรงพยาบาลใหม่อีก ใบเสร็จอันนี้ เป็นใบเสร็จที่เสียที่โรงพยาบาลเก่า อันนี้คือข้อสงสัยของทีมทนายความ และสิ่งที่ผมรวบรวมมา

วันนี้เราไม่ได้พูดทั้งหมด จะไม่พูดอะไรเกินกว่าสิ่งที่รู้ แต่ความคาใจของคุณเป้ กำลังจะบอกว่าท่านต้องตอบคำถามที่เราถามไปให้ได้ครบถ้วน ท่านต้องมีการแสดงให้เห็น ว่าการตายของคุณวิทยา เป็นการตายโดยท่านได้ทำเต็มความสามารถของท่านแล้วครับ เพื่อให้เรารู้สึกว่าคุณพ่อตายแบบมีเกียรติ ไม่ได้ตายฟรี อย่างน้อยที่สุดโรงพยาบาลก็พยายามดำเนินการให้ทุกเรื่องแล้ว

แต่ถ้าตอบไม่ได้ ผมในฐานะทนายความก็ต้องได้รับมอบอำนาจจากคุณเป้ก่อน ว่าจะไปต่อไหม ถ้าไปต่อขั้นตอนผมวันนี้ คือหนึ่งผมจะไปทำหนังสือถึงแพทย์สภา สองข้อบังคับแพทย์สภา ด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม 2549 ข้อ 15 และข้อ 22 สบายใจได้ว่าเราไม่ดื้อดันไปแบบไม่มีเหตุมีผล แต่ถ้าวันนี้ท่านตอบได้ว่ามีเหตุมีผล ผมเชื่อมั่นว่าคุณเป้ต้องยอมรับสิ่งที่โรงพยาบาลได้ทำหน้าที่ดีที่สุดครับ

เพียงแต่ผมรอว่าหลังจากการแถลงข่าวตรงนี้ มันจะมีผลกระทบอะไร ทำให้โรงพยาบาลนั้นๆ ได้เข้ามาชี้แจงในสิ่งที่ทายาทได้ตั้งข้อสังเกตไว้แต่ละข้อๆ รวมทั้งตัวผมด้วย ในฐานะทนายความ เรียกถึงโรงพยาบาลด้วย ว่าพวกเราไม่ได้มีเจตนามาทำร้าย มาทำให้เสียชื่อเสียง หรือเอาความเท็จมากล่าว คุณวิทยามีความศรัทธาในโรงพยาบาลนี้มาก เพราะได้รักษามะเร็งลำไส้หายไป ในช่วง 5 ปีที่แล้ว ถึงขนาดว่าพักฟื้นแล้ว เชื่อมั่นว่าจะต้องอยู่อีก 12 ปี”

หลังจากนี้รอโรงพยาบาลออกมาชี้แจง แต่ถ้ายังไม่มีอะไรคืบหน้า ก็จะไปดำเนินกระบวนการในศาล
ทนายนรินท์พงศ์ : “ใช่ครับ รอผลชันสูตรพลิกศพก่อน ผลจะแสดงให้เห็นชัดเจน ว่าเหตุมันน่าจะมาจากอะไร แล้วหลังจากนั้นก็รอดูทางโรงพยาบาลก่อน ว่าจะมีการชี้แจงหรือเชิญผู้เกี่ยวข้องของเราไปคุยด้วยยังไง ถ้าเขายืนยันว่าเขาทำดีที่สุดแล้ว ผมก็คงต้องถามคุณเป้ ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ถ้ายังเชื่อมั่นว่าคุณพ่อเสียชีวิตจากการกระทำโดนบกพร่อง ก็ไปดำเนินกระบวนการในศาล โดยนำพยานหลักฐานที่ต้องรวบรวมอีกมากมาย ไปให้ศาลเห็น เราชื่อว่าเราถูกกระทำโดนประมาทเลินเล่อ ซึ่งมันจะเป็นขั้นตอนที่สอง หลังจากไม่มีอะไรคืบหน้าจากการแถลงข่าววันนี้ครับ”

มั่นใจรพ.ไม่ฟ้องกลับ เพราะไม่ได้กล่าวหา
ทนายนรินท์พงศ์ : “คงไม่หรอกครับ ผมบอกแล้วว่าวันนี้ไม่ได้กล่าวหาโรงพยาบาลนะครับ ต้องเรียนก่อน ผมไม่ได้กล่าวหาโรงพยาบาล ว่าทำให้เขาตาย เพียงแต่ว่าเหตุต่างๆ มันเกิดจากโรงพยาบาลนี้ แล้วผมก็เอาข้อเท็จจริงจากโรงพยาบาลนี้ทั้งหมดมาบอก แล้วผมก็ยังบอกว่าถ้าท่านได้ตอบแล้วถูกต้อง ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายนี้จะยอมรับหรือไม่อย่างไร ถึงท่านตอบว่าพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ ทางคุณเป้อาจจะบอกว่าไม่ใช่ครับ เขาอาจจะนำเรื่องนี้ไปพิพาทในศาลต่อไปก็ได้”

หวังจะมีข้อกระจ่างในเรื่องนี้ และไม่เกิดเหตุการณ์นี้กับครอบครัวอื่นอีก
เป้ : “เบื้องต้นอย่างที่บอกว่า เรามาเล่าข้อเท็จจริงให้ฟังกันนะครับ พี่ๆ สื่อมวลชนก็เหมือนครอบครัวในวงการ ที่เราทำงานกันมาอยู่แล้ว พอมีความสงสัย เราก็มาเล่าสู่กันฟัง แล้วก็หวังว่าเรื่องแบบนี้จะมีข้อกระจ่างออกมา แล้วก็จะไม่เกินขึ้นกับครอบครัวอื่นๆ อีก เท่านี้ครับ”









กำลังโหลดความคิดเห็น