รายการเป็นเรื่องใหญ่ ออนแอร์ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 17.10 – 17.55 น. ทางช่อง JKN18 ดำเนินรายการโดย “เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ” ได้สัมภาษณ์ “แต๊งค์ พงศกร มหาเปารยะ” กรณีโพสต์แรง “ทนายขยะ” ก่อนถูก “ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์” ฟ้อง พร้อมสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ “พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์”
คิดมั้ยว่าตำรวจจะแถลงออกมาในรูปแบบนี้?
แต๊งค์ : “คิดครับ ก็คือไม่เหนือความคาดหมาย”
แล้วทำไมเราถึงออกอาการแรงขนาดนี้ หรือรู้อยู่แล้วถ้าออกมาแบบนี้จะไม่พอใจ?
แต๊งค์ : “คือการออกแอ็กชั่นของผมที่มันมีผลกระทบต่อทนายคนหนึ่งมันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการทำคดีเท่าไหร่ ผมดูภาพรวมเรื่องที่เขาไปตำหนิพาดพิงถึงผู้ใหญ่คนนึงที่ผมเคารพนับถือ เขาเป็นคุณหมอ เขาพูดถึงคุณหมอท่านนี้ว่าเป็นคุณหมอหิวแสง ทำตัวเป็นหมอดูหมอเดา อันนี้เราไม่พอใจ คุณหมอผ่าศพท่านนี้ท่านก็ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติถ้าไม่พูดถึงเรื่องการเมือง ณ ปัจจุบันท่านอาจอยู่ในองค์กรอิสระที่เข้าไปตรวจสอบได้แล้วตำรวจเองก็เป็นหน่วยงานที่ทำงานด้วยเงินภาษีประชาชน เราอยากจะมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ พอเราอยากตรวจสอบทนายท่านนี้ก็บอกว่าเป็นการแทรกแซงการทำงานของตำรวจ แล้วมั่นใจออกนอกหน้าเลยว่าตำรวจทำงานครบถ้วนแล้ว”
เป็นไปได้มั้ยที่ตอนนี้มีคนมาพูดถึงคดีน้องแตงโมเยอะมาก ทนาย นักการเมือง แต่ละคนพยายามปั่นให้เป็นฆาตกรรม เป็นทำร้ายร่างกายตรงนี้มันเลยทำให้คุณทนายที่คุณแต๊งค์พูดถึง เป็นหนึ่งเหตุผลหรือเปล่าที่ทำให้เขาพูดแบบนั้น?
แต๊งค์ : “ความคิดเห็นส่วนตัวนะ ดูจากเหตุผลที่มาที่ไปของการไปขึ้นเรือผมคิดว่าคนบนเรือค่อนข้างบริสุทธ์ใจ ไม่ได้มีการปิดบังอำพรางหรือรับงานเอ็นเหมือนที่เป็นข่าว ด้วยความที่ผมรู้จักแตงโมกับกระติกมาเป็น 10 ปี ผมรู้ดีว่าเขาไม่รับงานพวกนี้ ส่วนที่ผมไม่พอใจคือส่วนที่คนบนเรือพูดว่าแตงโมไปฉี่ อันนี้มันเป็นการโยนความผิดให้คนตาย คนตายประมาท ผมคิดว่ามันต้องมีคนรับผิดชอบไม่ใช่คนตายที่ต้องมารับผิดชอบ”
ตำรวจก็พูดในการแถลงปิดคดีว่าตำรวจก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามีการฉี่ท้ายเรือจริงหรือเปล่า ทุกคนโดนข้อหาหมด อันนี้เราพอใจหรือยัง?
แต๊งค์ : “ต้องให้ความเคารพกับทางตำรวจด้วยนิดนึง เพราะหลักฐานมันอ่อนจริงๆ พยานบุคคลก็มี 5 คนบนเรือ แล้วพยานวัตถุก็มีแค่กล้องวงจรปิดที่พึ่งอะไรไม่ได้แล้ว ต้องใช้การสันนิษฐาน แต่ผมสบายใจจุดนึงที่ท่านผู้การแถลงว่าฉี่หรือไม่ฉี่มันไม่สำคัญที่ว่าใครประมาทจนทำให้คุณแตงโมเสียชีวิต อันนี้แสดงว่าไม่ว่าจะฉี่หรือไม่ฉี่ก็ไม่สำคัญ มุ่งประเด็นที่ว่าต่อให้ฉี่ก็ต้องมีคนที่ประมาทมารับผิด”
เชื่อมั้ยว่าน้องตกท้ายเรือ?
แต๊งค์ : “มันเป็นอีกจุดหนึ่งที่ตำรวจต้องค้นหาผู้เชี่ยวชาญมีการเปรียบเทียบมีการใช้เทคโนโลยี”
ตอนตำรวจแถลงข่าวเขาบอกว่ามันมีทั้งความเชื่อ ความคิด แต่มันมีข้อเท็จจริงด้วย เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงของตำรวจอาจไม่ถูกใจทั้งความเชื่อและความคิด?
แต๊งค์ : “ใช่เราอาจดูหนังมากไป ที่หวังว่าตำรวจจะเก่ง โดยส่วนตัวหลายคนผมคิดว่าเป็นเปอร์เซ็นต์จำนวนมากเลยคนไทยที่คิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ เรามีวิจารณญาณพอ แต่หลายคำถามที่คาใจว่าแผลเข้าได้กับใบพัดจริงมั้ย หรือการตกจากตำแหน่งไหน ตรงนั้นก็สำคัญ ผมคิดว่ามันจะต่างตรงที่ความผิดของคนบนเรืออาจเพิ่มมากขึ้น อาจเป็นความประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิตและเป็นการปกปิดหลักฐาน การให้หารเท็จไม่ให้ความร่วมมือ”
การสารภาพ ให้การเป็นประโยชน์ เยียวยาครอบครัว โอกาสที่จะติดคุกน้อยมาก หลายคนอาจไม่พอใจ เราคิดอย่างนั้นมั้ย?
แต๊งค์ : “รู้สึกครับ ผมคิดว่าคดีนี้มีช่องโหว่แล้วตำรวจก็พูดเลี่ยงๆ ไป เรื่องของการทำลายหลักฐาน การไม่ให้ความร่วมมือตั้งแต่แรกมันก็เป็นจุดหนึ่งที่ศาลสามารถนำไปเป็นดุลพินิจได้ เขาไม่ได้ให้ความร่วมมือกับใคร”
พี่เดชาเขาฟ้องคุณแต๊งค์แล้วใช่มั้ยครับ?
แต๊งค์ : “ผมติดตามข่าวนี้มาตั้งแต่ต้น คุณแม่ของแตงโมก็เป็นคนนึงที่ผมเคยเคารพ ปัจจุบันนี้ผมก็ยังเคารพในฐานะที่เป็นแม่ของแตงโม ผมเชื่อว่าถ้าแตงโมรับรู้คงไม่อยากให้ใครไปด่าแม่เขา ผมพุ่งประเด็นไปที่ว่าทำไมคุณเป็นที่ปรึกษาแล้วทำให้คุณแม่โดนด่าจนทุกวันนี้”
โฟนอิน “หมอพรทิพย์” วันนี้ผลสรุปออกมาแล้วคุณหมอมีอะไรติดใจบ้างมั้ย?
หมอพรทิพย์ : “จริงๆ แล้วไม่ใช้คำว่าติดใจเพราะเป็นการตามมนเชิงระบบ พูดง่ายๆ ว่าคดีนี้มีหลายประเด็น สำหรับหมอเนื่องจากว่าได้เข้าไปเห็นในการผ่าศพครั้งที่ 2 ทำให้เราเห็นบาดแผลคือรอยถลอกตื้นที่ต้นขาด้านหลัง ตอนนั้นหมอใช้คำว่าบาดแผลที่มีลักษณะเฉพาะ ตอนนั้นอยากให้มีการไปพิสูจน์ให้จบ ที่ตำรวจแถลงพิสูจน์แค่ว่าโดนใบพัดเรือ กฎหมายไทยเป็นกฎหมายโบราณมากแล้วให้พนักงานสอบสวนใช้ดุลยพินิจ เขาคิดว่าแค่นี้พอแล้วก็พอแค่นี้”
ที่ตำรวจทำท่าว่าเอาขาไปโดนไปพัด ผมแปลกใจว่าในการพิสูจน์ครั้งแรกครั้งที่ 2 บอกว่าเกิดจากของมีคมซึ่งไม่สามารถระบุได้แต่ครั้งนี้ทำไมระบุได้?
หมอพรทิพย์ : “เรื่องนี้หมอไม่ได้ลงไปในส่วนของเขาเลยค่ะ คนพูดต้องรับผิดชอบแค่นั้นเอง ผู้ที่ติดใจต้องเชิญว่าเขาอ้างใครถ้าเขาอ้างผู้เชี่ยวชาญก็ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนอธิบาย”
ถามเป็นความรู้นะครับ น้ำปัสสาวะเวลาเราฉี่ไปโดน เราสามารถตรวจได้เหมือนตรวจเลือดมั้ย?
หมอพรทิพย์ : “ถ้าอยู่ในน้ำละลายไปหมดค่ะ แต่ถ้าอยู่บนฝั่งหรืออะไรแห้งๆ พอจะตรวจได้ค่ะ”
ตำรวจบอกว่าน่าจะต้องท้ายเรือ คุณหมอยังมีความมั่นใจมั้ยว่ามีความเป็นไปได้ที่จะตกท้ายเรือ?
หมอพรทิพย์ : “ไม่ได้ฟังตำรวจแถลงเลย และที่พูดก็พูดตามหน้าที่ของเราที่เราเห็นบาดแผล ก็ยังยืนยันในหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเขาไม่เอาแล้ว อยู่ที่อัยการว่าจะฟังความเห็นมั้ย หมอมีสิทธิที่มีอิสระที่จะแสดงความเห็นเชิงวิชาการได้ว่าบาดแผลต้องเอาไปผสมกับกลศาสตร์การเคลื่อนที่ของเรือจะตอบได้ว่าตกหัวหรือท้าย แต่ที่แน่ๆ เราคิดว่าไม่น่าจะตกท้าย”
ในฐานะกรรมาธิการสามารถจะทำอะไรต่อคดีนี้ได้มั้ย?
พรทิพย์ : “บทบาทกรรมาธิการทำได้ แต่เรื่องนี้คงต้องรอให้ประธานกรรมาธิการเป็นผู้ชี้แจง”
ทนายเดชาออกมาตำหนิว่าคุณหมอต้องการให้ตัวเองเป็นกระแสข่าวออกมาอยู่ในหน้าข่าวรู้สึกยังไงครับ?
หมอพรทิพย์ : “คำพูดพวกนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะรับฟังค่ะ มันอยู่ที่เจตนาซึ่งเจตนาของหมอเป็นเจตนาที่จะทำความจริงให้ปรากฏ คนอื่นจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ เขาทำหน้าที่หรือเปล่าเราก็ไม่รู้ แล้วเจตนาที่จะพาดพิงก็ช่างเขาถ้าเราไม่รับฟังทุกอย่างก็จะกลับไปที่ตัวเขา”
อยากให้คุณหมอได้พูดคุยกับคุณแต๊งค์สักนิดในประเด็นนี้?
หมอพรทิพย์ : “จริงๆ ต้องขอบคุณที่ได้ออกมาพูด แต่อยากบอกเรื่องคำว่าหิวแสง หมออยู่หน้าแสงมาเป็นเวลา 30-40 ปีแล้ว ในทางธรรมะหมอพยายามอยู่หลังแสงคือเอาไฟฉายไปส่องคนอื่น ตอนนี้กำลังส่องให้เห็นกระบวนการยุติธรรม การที่ทนายมาว่าเราหิวแสงน่าจะเป็นคนที่พูดมากกว่า”
มีคนบอกว่าคุณหมอออกมาเพื่อต้องการดิสเครดิตสำนักงานตำรวจแห่งชาติ?
หมอพรทิพย์ : “ไม่เคยโกรธใครเลย ไม่เคยดิสเครดิตใคร เครดิตเราจะต่ำลงเพราะตัวเราเท่านั้นค่ะ”
เรากังวลมั้ยที่เขาฟ้องหมิ่นประมาท?
แต๊งค์ : “จริงๆ แล้วผมเป็นกังวลในแง่ที่คนรอบตัวจะเป็นห่วงผม แต่ตอนนี้ใจมาเต็มร้อย ไม่ว่าจะครอบครัวหรือในโซเชียล อบอุ่นครับ”
ตอนนี้มีทนายหรือยัง?
แต๊งค์ : “คู่กรณีเขามีโจทย์เยอะ มีคนติดต่อมาแล้วแหละผมยังไม่ได้ตอบเขา เอาเป็นว่าให้ตำรวจเรียกผมไปให้ปากคำก่อน เผลอๆ ผมว่าอาจจบที่ตำรวจ เพราะตำรวจก็รู้กฎหมาย เขาเองก็รู้กฎหมาย ผมก็มีจุดที่ผมมั่นใจ มันมีกฎหมายที่คุ้มครองผมอยู่ ผมมีสิทธิเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าเขาไม่ยอมความจริงๆ ผมก็ไม่ขอโทษอยู่แล้ว”
ทำไมเราถึงคิดว่าเขามาแบบไม่สุจริตทั้งๆ ที่เขาอยู่ฝั่งคุณแม่?
แต๊งค์ : “คดีหมิ่นประมาทมันต้องเป็นการใส่ความ ผมมีแต่การแดกดัน ผมมีแต่ชี้ให้สังคมเห็นว่าการทำคดีนี้คนที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องโดนด่าหมดเลย ทำไม?”
พออ่านดู “ทนายขยะ” ก็ไม่ได้พูดถึงชื่อใคร การฟ้องแบบนี้มันทำได้จริงๆ มั้ย?
แต๊งค์ : “ก็ถ้าเป็นหมิ่นประมาทคนเป็นขยะไม่ได้ มันเลยเป็นคำแดกดัน ถ้าจะโดนผมก็อาจต้องไปสู้เรื่องการดูหมิ่นโดยการโฆษณา ก็จะเป็นลหุโทษก็จะโทษเบา ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายใคร แต่คดีนี้เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของคนในการแสดงความเห็น ในการต้องการรับรู้ความโปร่งใสของการทำงานของเจ้าหน้าที่ ผมดูไลฟ์สดเขาก็ด่าคนอื่น ก็พาดพิงคนอื่นถ้าผมโดนฟ้อง เขารู้สึกถูกหมิ่นประมาท คนอื่นที่ถูกเขาพูดถึงก็ต้องรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”
เราโดนทั้งดำเนินคดี แล้วก่อนหน้านี้เหมือนโดนส่งมีดมาที่บ้านด้วย เหมือนโดนขู่ ไม่กลัวเหรอ?
แต๊งค์ : “ผมจะไปกลัวอะไร ผมไปวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความสุจริตใจ ที่เขาพูดว่าจะทำให้คนนั้นคนนี้ติดคุกคุณคิดว่าคุณสำคัญมากพอเหรอที่จะทำให้คนติดคุกเพราะคุณได้”
อยากพูดอะไรกับเขา?
แต๊งค์ : “คุณแม่เป็นคนที่แตงโมเคารพ ไม่อยากให้สังคมไปต่อว่าอะไรคุณแม่แล้ว ในฐานะที่คุณรวบอำนาจในการเป็นที่ปรึกษาคุณแม่ คุณควรให้คำปรึกษาคุณแม่ให้เข้ากับสังคมนิดนึง จากที่ผมดูคุณจะเข้าไปพูดจาเหมือนตำรวจทำงานดีแล้ว คุณเป็นทนายของคุณแม่ ไม่ใช่โฆษกของตำรวจ มีประโยคนึงผมจำได้ว่า อยากให้ตำรวจทำงานอย่างสบายใจ มันเป็นคำพูดที่ถูกผิดไม่รู้ แต่มันทำให้คนคิดว่าคุณไม่ได้ทุ่มเทให้ผู้เสียหาย เราไม่ได้ต้องการให้เป็นฆาตกรรม แต่เราต้องการเห็นคุณกระตือรือร้นให้ถึงที่สุดแค่นั้นเอง”