“โม อมีนา” เฉยๆ “นิก” แถลง บอกจะมาโทษตนไม่ได้ เพราะไม่ได้พูดขึ้นเอง แต่เป็น “แตงโม” เล่าให้ฟัง สวน “ป้าแตง” ผู้จัดการบ้านหน้าที่ก็คือแม่บ้าน ขำจำตนไม่ได้ ทั้งที่เคยเจอกัน เตรียมขออนุญาตคุณแม๊ ทำสารคดี “แตงโม” ไม่อยากให้คนลืม เผยแพร่ครบรอบ 1 ปี ที่จากไป
เตรียมทำสารคดีชีวิต “แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์” เพราะไม่อยากให้ทุกคนลืมพี่สาวสุดที่รัก ล่าสุด “โม อมีนา พินิจ” เผยว่าเตรียมขออนุญาต คุณแม่ภนิดา ศิระยุทธโยธิน อย่างเป็นทางการเพื่อทำสารคดีแตงโม ในงาน Club Hi Class ณ โรงแรม Almeroz Hotel โดยเผยว่าคนเสนอไอเดียคือ “แอนนา” ซึ่งกลุ่มแก๊งเพื่อนจะเป็นคนควักเงินลงทุนเองทั้งหมด แต่ถ้าใครอยากร่วมด้วยก็ไม่ขัด
“คือมันเป็นการพูดคุยโดยแม่แอนนาเป็นคนเสนอไอเดียว่า เธอฉันอยากทำสารคดีผู้หญิงที่ชื่อแตงโม ซึ่งถามว่าเราเห็นด้วยไหม เราเห็นด้วย เราก็เลยมีพล็อตตัวอย่าง ซึ่งเราก็จะมีทีมขึ้นมาเลยแหละ มันไม่ใช่งานง่าย งานมันคืองานใหญ่มากๆ เลย แล้วก็ต้องใช้ระยะเวลาในการทำ มันยากตรงที่ว่าเราจะต้องรวมฟุตของพี่แตงโมตั้งแต่เด็กจนโต ตั้งแต่ทำงานแล้วพี่ก็ทำงานมาค่อนข้างเยอะ ออกงานมาก็บ่อย ชีวิตพี่มีเรื่องราวอะไรหลายๆ อย่างที่คนอื่นยังไม่เคยรู้ เช่นเวลาที่โมทำเอ็มวีออกมา เวลาที่เรามีภาพวิดีโออะไรที่คนอื่นยังไม่ค่อยเห็นแล้วมองว่าอ๋อพี่เขาก็มีมุมน่ารัก ก็มีมุมแบบนี้อย่างนี้ที่เขาก็ไม่เคยเปิดเผยกับคนอื่น แล้วพอเราเสนอในมุมพี่เราน่ารักแบบนี้เชื่อว่าทุกคนรักเขาแล้วก็อยากให้ทุกคนที่ดูสารคดีของพี่แล้วรู้สึกว่านี่แหละคือ แตงโม นิดาหรือ แตงโม ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์
ถามว่าใครเป็นคนลงทุน เราค่ะ โมไม่ได้ขอสปอนเซอร์จากใครเลย ต้องบอกไว้ก่อนว่าเราไม่ได้มีสปอนเซอร์ เราทำด้วยใจของเราจริงๆ เราอยากทำเพราะเรานึกถึงพี่เราอยากทำเพื่อเก็บไว้ไม่อยากให้คนลืมชื่อพี่โม”
ใครอยากร่วมทุนด้วยก็ไม่ขัด อยากเผยแพร่ในวันครบรอบ 1 ปีที่จากไป
“เราก็ไม่ได้ขัดอะไรนะคะ เพราะมันก็เป็นการร่วมกันเองระหว่างโมกับแม่แอนนา แต่ถ้าเกิดใครที่ยินดีจะช่วยเหลือเราเราก็ขอบคุณ แต่ว่าความยากมันอยู่ที่การรวมฟุตจริงๆ โมอาจจะต้องขอฟุตจากพวกพี่ๆ นักข่าว จากช่องต่างๆ ที่พี่เคยร่วมงาน งานเบื้องหลัง งานละคร งานเดินพรมแดงที่พี่เคยไป ก็ใช้เวลาพอสมควรเลยค่ะ ตอนนี้คือด้วยเรื่องราวหลายหลายอย่างก็ยังไม่ได้จบ 100% แล้วก็เหลืองานที่อีก 11-13 มีนาคมที่ผ่านมาและอีกวันนึงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สี่วันนี้ก็ต้องไปอยู่ในฟุตของสารคดีพี่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็จะต้องเสร็จงานนี้ก่อน แล้วก็ต้องมานั่งรวมทีมกันอีกทีนึงประชุมกันอีกทีนึงว่าจะยังไง ที่คาดการณ์ไว้อยากจะให้เผยแพร่หรือว่าออนแอร์ วันครบรอบหนึ่งปี ถ้าทันนะคะ แต่ว่าสโคปงานมันใหญ่มากจริงๆ"
ต้องขออนุญาต “แม่ภนิดา ศิระยุทธโยธิน”
"คุณแม่ก็ต้องมีการพูดคุย เป็นการขอแบบกิจจะลักษณะ ยังไงก็ต้องขอให้คุณแม่อนุญาตด้วยเพราะคุณแม่ก็คือส่วนที่สำคัญเหมือนกัน ก็ยังไม่ได้พูดคุยกันเลยค่ะ มันเป็นแค่ไอเดียที่พวกเราคิดกันไว้ ถ้าเสร็จงานพี่ทุกอย่าง 100%ก็คงเข้าไปคุยกับคุณแม่ อย่างที่เราบอกว่า มันคือโปรเจกต์ที่เราอยากจะทำเพื่อระลึกถึงพี่ มันไม่น่าจะมีอะไรที่เสียหายแล้วก็คงไม่มีผลต่อเรื่องอะไรต่างๆ”
เผย 26 เม.ย. ตร.เตรียมแถลงปิดคดี ไม่ว่าผลออกมาแบบไหนก็น้อมรับ
"หนูพูดมาตั้งแต่แรกว่าหนูก็ยังเชื่อมั่นกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงจะดีหรือไม่ดีเราจะไม่มีคอมเมนต์ เราถือว่าตอนนี้ตำรวจทำหน้าที่ของเขาได้เต็มที่แล้วและสุดความสามารถแล้วจริงๆ หลังจากนั้นก็ขอให้เป็นเรื่องของอัยการต่อไป”
เผยอุบัติเหตุหรือไม่ ตนมองภาพที่เป็นไปได้ และไม่เคยหยุดหาความยุติธรรมให้พี่
“โมมองในภาพที่มันเป็นไปได้ เช่น พยานหลักฐานมีอะไรบ้าง ข้อเท็จจริงเป็นยังไง อะไรที่มันจับต้องได้และเราจับต้องได้ด้วยตัวของเราเอง ด้วยตาของเรา โดยที่ไม่ได้มีการคิด อ๋อ..ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ ทุกอย่างที่โมเชื่อมันต้องผ่านการพิสูจน์มาแล้ว ความคิดของคนอื่นๆ จะเป็นยังไงโมไม่ก้าวล่วงเขาก็แล้วกัน หนูบอกเลยว่าสองเดือนที่ผ่านมาต่อให้มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามหนูเหนื่อยแต่หนูเต็มใจทำ แล้วหนูก็ยังบอกอยู่ว่าหนูไม่เคยหยุดหาความยุติธรรมให้พี่ แล้วก็ถ้าหนูจะทำอะไรได้หนูก็ทำ แล้วก็ไม่ได้กลัวอะไรต่างๆ คือเรารักตัวเองนะ แต่ว่าเราก็รักพี่ด้วย”
ไม่ได้คุยกับ “นิก คุณาธิป ปิ่นประดับ” ยันไม่ได้ยิ้ม ใส่มาสก์ 2 ชั้น
“ไม่ได้คุยกันเลยค่ะ เราแค่พูดในรายการ ซึ่งถามว่าพี่เคยพูดไหม พี่เองก็เคยพูด ไปย้อนดูตามคลิปต่างๆ ได้ พี่ไม่ได้เล่าให้โมฟังคนเดียว โมว่าพี่เล่าให้ทุกคนฟัง บอกก่อนนะคะว่าไม่ได้อยากจะพูดถึง แต่เป็นการอธิบายเผื่อว่าใครที่ยังเข้าใจโมผิดๆ อยู่ ก็คือมันเป็นการพูดคุยกันในรายการตามที่ทุกคนเห็น หลักฐานทุกอย่างมีหมด มันก็เป็นการเล่า ซึ่งพี่ก็ไม่ได้เล่าให้เราฟังคนเดียว เรื่องนี้หลายๆ คนก็รู้ อันนี้คือข้อแรก
ข้อที่สองเรื่องที่น้องพูดว่าพี่โมยิ้ม พี่โมต้อนรับอย่างดี พี่โมมาพูดคุยด้วย มันไม่จริง เพราะโมบอกก่อนว่าโมใส่มาสก์ 2 ชั้น น้องไม่น่าจะเห็นว่าเรายิ้ม ซึ่งเหตุการณ์วันนั้นก็เป็นข่าว คือวันที่พี่เต้ (ผู้จัดการพิ้งกี้ สาวิกา) ไปจิ้มหัว ก็คือวันเดียวกัน ซึ่งโมได้รับวอร์เข้ามาว่าน้องมา แต่เราเห็นว่าน้องนั่งฝั่งแฟนคลับ ซึ่งเรารู้สึกว่าน้องเขาเป็นเซเลบดาราก็ควรมานั่งฝั่งวีไอพี และโมก็เลยบอกให้คนไปพาเขามานั่งฝั่งวีไอพี เราก็ยืนรอเขาอยู่ตรงนั้น ก็ให้คนไปเชิญน้องมา เพราะหนูไม่รู้จักน้อง หนูก็ไม่รู้จะไปเชิญน้องมาด้วยตัวเองอย่างไร
พอน้องมาเราก็ชี้ไปที่เก้าอี้ว่าให้นั่งตรงนี้ อย่าไปนั่งตรงโน้น เท่านี้เลย ไม่ได้มีการชี้หน้าอะไรใดๆ ชี้แค่ว่านั่งตรงนี้ แล้วหนูก็เดินไปรับเซเลบคนอื่นเพื่อให้เข้ามานั่งในงาน เพราะฉะนั้นหนูไม่ได้มีการพูดคุยกับน้องใดๆ นอกเหนือจากนี้แน่นอน และหนูก็บอกน้องที่เดินตามหลังน้องเขามาว่าฝากดูแลด้วยนะ อันนี้คือคำพูดจากโม นอกเหนือจากนั้นที่ใครพูดอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่ความจริงค่ะ”
ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่อีกฝ่ายอ้างแตงโมจะถีบมอเตอร์ไซค์ แต่จะมาโทษตนไม่ได้ เพราะตนก็ไม่ได้พูดขึ้นมาเอง
“เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เราไม่รู้หรอกค่ะ แต่ว่าสิ่งที่เรารับรู้มาคือคำพูดจากพี่ เพราะฉะนั้นทางเขาก็ไม่น่าจะมาโทษโมได้นะ เราไม่ได้นึกเองแล้วเอามาพูด แต่เราฟังมาจากพี่ เราก็รับรู้ตามที่เรารับรู้”
อีกฝ่ายแถลงข่าวก็เฉยๆ ปล่อยให้เขาพูด
“เฉยๆ ค่ะ ปล่อยให้น้องพูด เราแค่มองว่าเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องของเขา เราไม่ยุ่งก็แล้วกัน แต่เรื่องอะไรที่มันไม่ใช่ความจริงโมจะพูด ถามว่ามีติดใจไหม ไม่มีนะคะ เพราะส่วนตัวก็ไม่ได้สนิทหรือไม่ได้รู้จักกับน้อง”
วอนเอ็นดู “ป้าแตง” ไม่รู้จักตน คาดอาจจำไม่ได้
“อย่างนี้ (หัวเราะ) ขำนาง ก็เอ็นดูนางกันเถอะนะคะ คือตั้งแต่ตอนที่คุณพ่อป่วย ถามว่าโมไปเยี่ยมไหม โมก็ไปเยี่ยม คุณพ่อก็นอนอยู่ข้างๆ เราก็นั่งอยู่ แล้ววันรับปริญญาพี่ ถามว่าโมเจอป้าแตงไหมก็เจอ ก็เห็นยืนเต้นกับพี่อยู่ จะบอกว่าไม่เคยเจอก็แปลกๆ เนอะ แต่เขาอาจจะไม่อยากจำเราก็ไม่เป็นไร แต่โมก็บอกตลอดว่าเราไม่ได้ไปอยู่กับบ้านชั้นสอง เราไม่ได้ไปนั่งเกาะพี่ขนาดว่าฉันจะต้องอยู่ทุกซีซั่น ฉันจะต้องอยู่ทุกวันเวลา โมเคยพูดแล้วว่าโมจะอยู่ในวันที่พี่เขาโทร.มาหาเรา วันที่เขาต้องการเรา เราถึงจะไปหา ที่เหลือเป็นชีวิตของเขา เขามีความสุขให้เขามีไป เขามีปัญหาเขาเคลียร์เองได้ เขาโตแล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาเป็นพี่หนู เขาไม่ได้เป็นน้องหนู เพราะฉะนั้นอะไรที่เขาเคลียร์ได้เราให้สิทธิเขา จะผิดจะถูกเราเข้าข้างเขา เราซัปพอร์ตเขา แต่วันใดที่เขารู้สึกว่าเราแก้ปัญหาให้เขาได้ เขาสะกิดเรามา เมื่อนั้นเราถึงจะไป
ส่วนที่เขาบอกว่าตอนป่วยไม่เคยเห็นพวกเราเลย เราก็ให้กำลังใจกัน บอกว่าพี่ไม่เป็นไรนะ แต่เราไม่ได้ไลน์หาทุกวัน โทร.หาทุกวัน เป็นยังไงเล่า มีอะไรเล่า ไม่มี โมไม่เคยเข้าไปถามเซ้าซี้ ไม่เคยเลย”
ยันอีกฝ่ายเป็นแม่บ้าน
“ผู้จัดการบ้าน หน้าที่คืออะไร ก็แม่บ้านไง เรื่องเงินเดือนเราก็ได้ยินแบบนั้น ฮิปโปกับแอนนาพูดไหมล่ะ เขาแค่ไม่ชอบคำว่าแม่บ้านเท่านั้นแหละ ตอนฟังเขาแถลง ก็คิดว่าโอ้โห แถลงข่าวเลย แต่หนูก็เฉยๆ ไม่ได้อะไร ฟังแล้วก็ไม่ได้โกรธ เฉยๆ
หนูไม่เคยโต้แย้งเขาเลย และเราก็ไม่เคยพูดชื่อใครตั้งแต่แรก ถ้าโมไปพาดพิงตั้งแต่แรกก็ว่ากันไป เราเล่าแค่ของเราก็น่าจะจบ ไม่น่าจะมีอะไร แต่เขาน่าจะเก็บทุกอย่างไว้ในหัวสมองและในหัวใจของเขา แต่เราพูดแล้วเราจบ”
เห็นข้อความแขวะพูดเรื่องแตงโมอยู่ได้ ยันไม่เคยอยากมีดรามา
“หนูไม่เคยอยากจะมีดรามาอะไรเลย โมเห็นนะคอมเมนต์ทั้งดีและไม่ดี ที่บอกว่าออกมา พูดเรื่องพี่อยู่ได้อะไรแบบนี้ เธอ คนถามเรา เราก็พูด คนถามเรา เราถึงจะบอก ถึงจะอธิบายจุดที่เราอธิบายได้ แต่ถ้าไม่มีใครพูดอะไร เราก็อยู่ของเราเงียบๆ เท่านั้นเอง อย่างพี่ๆ สื่อมาถามเราก็ตอบไปและเรามีความสนิทกันมากพอที่จะพูดกัน หนูไม่ได้ลงโพสต์อะไรทุกวัน พูดทุกวัน ไม่ใช่ หนูก็พูดในสิ่งที่หนูสามารถพูดได้เท่านั้น”