“สุกัญญา มิเกล” แถลงข่าวขอโทษ โดนฟ้องหมิ่นประมาทอดีตท่านทูต ยันไม่ได้ตั้งใจด้อยค่าหรือเจาะจงตัวบุคคล แค่แชร์ข่าวมาเพราะไม่เห็นด้วย ยอมรับผิดพลาดในการใช้ภาษา จากนี้จะระวังมากขึ้น ขอโทษและไกล่เกลี่ยเรียบร้อย ไม่ต้องขึ้นศาล สบายใจมากขึ้นได้แก้ไขความผิด ฝากสื่อสกรีนข่าวก่อนลงอย่าบิดเบือน
หลังนักร้องดัง “สุกัญญา มิเกล” โดนอดีตทูต "นริศโรจน์ เฟื่องระบิล" ฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาท จากการแชร์โพสต์ของเพจข่าวสำนักหนึ่ง มาแสดงความคิดเห็น ด้วยการใช้ภาษาไม่สุภาพ ล่าสุดวันนี้ (18 เม.ย.) ก็ได้จัดการแถลงข่าวขอโทษทางสื่อสาธารณะ เพื่อให้สังคมได้ทราบต้นสายปลายเหตุอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยมาพร้อมกับทนายความส่วนตัว จ.เอกราช อุดมอำนวย และนายนพดล พรหมภาสิต ผู้รับมอบอำนาจท่านทูตฯ และร่วมทำเพจ ศชอ.
มิเกล : “อยู่มาตั้งแต่ปี 2533 จนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรก ที่ทำการเชิญสื่อด้วยตัวเอง เพราะเป็นเรื่องจำเป็นมากๆ ที่คิดว่าเป็นสิ่งที่เราต้องทำ ที่เราเรียกกันว่าเป็นความรับผิดชอบ วันนี้จะมาเล่าต้นเรื่องให้ฟัง ว่ามันเป็นยังไง คือเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2564 เราได้แชร์โพสต์ของช่องไบรท์ทีวี ในเนื้อข่าวมีการวิจารณ์อแมนด้า ออมดัม แล้วก็แสดงความคิดเอาไว้ ซึ่งเป็นความคิดที่เราไม่เห็นด้วย เราก็เลยนำไปแชร์ต่อ แล้วก็ใช้ภาษาไม่สุภาพ ตามสไตล์คนแบบเรา
พอหลังจากนั้นมาพี่นพดล ก็เห็นว่ามันไม่เหมาะไม่ควร ก็เลยได้รับมอบหมายจากอดีตท่านทูต ไปแจ้งความไว้ ซึ่งตอนที่เราแชร์ เราก็ไม่รู้หรอก ว่าใครเป็นคนให้สัมภาษณ์ เพราะเราดูแค่เนื้อข่าวอย่างเดียว ทีนี้พอมีการแจ้งความเรียบร้อย เราก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แล้วทางตำรวจก็ส่งหมายไป ที่ที่อยู่ตามบัตรประชาชน ซึ่งมันไม่ตรงกับที่อยู่จริง ส่วนตัวเราก็จะไม่มีวันรู้เลย ว่าเรามีหมาย ทุกครั้งที่มีหมายมา เราก็ไม่เคยรู้มาก่อน จนเพื่อนๆ เขียนมาบอก หรือมีใครมาบอก
เวลามันก็เลยเนิ่นนานไป จนหมายที่สองออกมาเราก็ยังไม่รู้เรื่อง ในภาพหลายๆ คนอาจจะเข้าใจว่าเราไม่รับผิดชอบ หรือหลบเลี่ยงกระบวนการ ความจริงคือเราไม่รู้ เพราะที่อยู่จริงกับบัตรประจำตัวประชาชนมันเป็นคนละที่กัน แล้วที่อยู่ตามบัตรประชาชนเป็นคอนโด ไม่มีใครอยู่ จนผ่านไปถึงวันที่ 9 เม.ย.ปีนี้ เราเพิ่งเห็นข้อความสแปมในเฟซบุ๊ก ว่ามีคุณตำรวจส่งข้อความมา ว่าจะสน.สำโรงเหนือ มีหมายเรียก 2 ใบแล้วนะครับ ติดต่อผมด้วย เราก็รีบติดต่อกลับไปเลย ตอนแรกติดต่อทางแชตก่อน
วันรุ่งขึ้นก็พยายามติดต่อทางโทรศัพท์ แต่คุณตำรวจไม่ได้รับ ก็เลยเข้าไปดูที่สน. ว่ามันเกิดอะไรขึ้น พอไปรับทราบว่าเป็นเรื่องนี้นะ เราก็เกิดความรู้สึกว่าถูก เพราะมันเป็นสิ่งที่เราทำไป แล้วมันเป็นการด้อยค่าอดีตท่านทูต เราก็ควรต้องรับผิดชอบ เลยขอนัดกับพี่นพดล ที่รับมอบอำนาจมาจากท่านทูต ก็นัดมาไกล่เกลี่ยกัน เราก็แสดงความจริงใจของเรา ว่าเราไม่ต้องการหมิ่นท่าน ส่วนเนื้อข่าวที่เราไปแชร์ ก็อย่าถามว่าเราใช้ภาษาว่าอะไร เพราะถ้าเราใช้อีกพูดอีก มันก็จะกลายเป็นการไปด้อยค่าท่านอีก
เอาเป็นว่าเรารู้กันเลยตอนนี้ ว่าเราได้ทำผิดพลาดไปแล้ว เราขอแสดงความจริงใจในการขอโทษ ที่เราใช้ภาษาในมุมของเรา กับผู้ที่มีวัยวุฒิและคุณวุฒิขนาดนั้น เราแก่แต่เราก็เด็กกว่าอดีตท่านทูตมาก ก็ได้มีการตกลงกัน ว่าเราจะไกล่เกลี่ยอย่างไร ก่อนที่จะเจอกับคุณนพดลวันที่ 12 วันที่ 10 ได้เข้าไปรับทราบสิ่งที่เกิดขึ้นที่สน. ต่อจากนั้นก็โทร.ไปหาพี่ฮาร์ท (สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล) เพราะมีน้องส่งลิงก์ของยูทิวบ์ ที่ท่านเคยขึ้นข่าวไว้ว่าจะแจ้งความกับคนที่หมิ่น ซึ่งเราก็ไม่เคยรู้มาก่อน เราก็เลยไปเห็นว่าพี่ฮาร์ทก็โดนเหมือนกัน เราก็เลยไปถามว่ามีเฟซบุ๊กของท่านไหม พี่เขาส่งเฟซบุ๊กมาให้
เราก็ได้เขียนไปขอโทษท่าน บอกว่าแล้วแต่ท่าน ว่าจะยอมรับการขอโทษของเราหรือไม่ แต่เราได้แสดงความจริงใจบองเราไปแล้ว เกียรติของท่านควรจะได้รับสิ่งนี้ ในมุมของเรานะ อันดับแรกเราขอโทษโดยตัวก่อนแล้ว แล้ววันที่เจอกับพี่นพดล เราก็มีการขอโทษ แล้วก็ไกล่เกลี่ยกันเรียบร้อยตามขั้นตอน แล้วก็ชดใช้ในส่วนที่พี่นพดลบอกว่า เหมาะสมที่จะต้องชดใช้”
แชร์โพสต์เพราะไม่เห็นด้วยกับเนื้อข่าว
มิเกล : “ไม่เห็นด้วยกับเนื้อข่าว ที่บอกว่านางงามจะได้ตำแหน่ง ต้องมีทัศนะ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เท่านั้น อันนี้คือความเข้าใจของเราตอนนั้น แล้วด้วยความที่เราไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้อย่างมาก เราก็ได้แชร์ข่าวไป หนึ่งเรายอมรับว่าเราทำการผิดพลาด ในการที่เราไปด้อยค่าอดีตท่านทูต โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจเจาะจงเป็นตัวคน แต่มันก็ถือว่าเป็นการผิดพลาดในการใช้ภาษา
พี่นพดลถามมาคำหนึ่ง ว่าตอนที่พิมพ์ไป รู้ตัวไหมว่าตัวเองทำผิด ขอบคุณมากที่ถามจริงๆ เราก็ตอบไปแบบจริงใจว่าเราไม่รู้สึกผิดกับการแชร์ แต่เรารู้สึกผิดกับการใช้ภาษาในการด้อยค่า อันนี้ยอมรับโดยตรง ต่อจากนี้ไปเวลาใช้ภาษา ต้องวิเคราะห์เยอะๆ เลย เวลาจะใช้ภาษา ความหมายเดียวกันแต่ใช้ภาษาอื่นได้ แต่ด้วยความเคยชินสายร็อก มึงมาพาโวยแบบนี้ เลยใช้ทางลักษณะไป ไม่ได้มองว่าสังคมเขามองดูอยู่
ตอนแชร์เราไม่ได้รู้จักท่าน เราไม่ได้เจาะจงว่าใคร ไม่ได้จะรบลากับใคร เราพูดถึงเรื่องของวิธีคิดในสังคมเท่านั้นเลย ดังนั้นถ้าบอกว่าเราพยายามจ้องจะทำร้ายท่านหรือทำลายท่าน เราไม่ยอมรับในข้อนี้ แต่ถ้าเราพลาดเพราะเราใช้ภาษาไม่ถูกต้อง อันนี้ยอมรับโดยสดุดี หรือมีการบอกว่าเราต้องการแชร์ไปเพื่อจะทำร้ายท่าน อันนี้เราก็ไม่ยอมรับ เพราะเราไม่รู้จักท่าน แต่เราเป็นประชาชนคนที่หนึ่งอ่านข่าวไปทั่ว พอเรารับข่าวมา เราไม่รู้หรอกว่าเขาเอามาบิดยังไง เราเป็นประชาชนที่ไปให้แล้วเกิดความคิด แล้วก็แชร์ไป ดังนั้นเลยไม่ยอมรับ ว่านี่เป็นการโฆษณาเพื่อให้ท่านถูกเกลียด เรามารู้จักชื่อจริงท่านตอนที่ไปเจอตำรวจแล้ว”
ถือเป็นการเตือนตัวเองครั้งใหญ่ แต่ก็จะวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป แค่คัดกรองภาษาให้เหมาะสม
มิเกล : “การวิพากษ์วิจารณ์ยังทำอยู่ เราไม่สามารถกดตัวเอง ให้รู้สึกว่าภาษีเราไม่เกิดประโยชน์ ถ้าภาษีเราพูดแค่นี่พูดไม่ได้ เราว่าเราคง กูต้องเป็นใบ้แล้วไหมวะ อันนี้บอกตรงๆ นะ ก็ยังวิพากษ์วิจารณ์ต่อ แต่ว่าจากเคสนี้ ที่คุยกับพี่นพดลไว้ ก็คือเราจะวิเคราะห์ คัดกรองภาษาที่ใช้ เพราะตอนนี้มีรณรงค์กันอยู่ เรื่องของการบูลลี่ ว่าทำให้คนสะเทือนใจได้ ครั้งนี้เป็นการเตือนเราครั้งใหญ่เลย ว่าจากนี้ไปเวลาจะใช้ภาษา มันส่งผลถึงความรู้สึกของคนอื่น เขาอาจจะทนไม่ได้เท่าเรา เรามองว่าเราสมควรจะต้องขอโทษท่านในเรื่องนี้”
นพดล : “คดีนี้เป็นคดีหมิ่นประมาทธรรมดา ไม่มีอะไรซับซ้อน การที่ไปหมิ่นประมาทเขา กฎหมายมันระบุอยู่แล้ว ว่าฐานความผิดมีอะไรบ้าง มันเป็นคดีอาญาที่ยอมความกันได้ ถ้าคู่กรณีสามารถตกลงกันได้ ท่านทูตเขาก็ให้ผมเป็นคนตัดสินใจ ว่าเงื่อนไขแบบนี้ๆ ท่านจะรับได้ ก็คืออันดับแรกต้องสำนึกผิดก่อน สองมีการชดใช้เยียวยาค่าเสียหายจำนวนหนึ่ง ซึ่งเราไม่ได้ตบทรัพย์หรือจะเอาตาย แค่ให้ได้รับบทเรียนสมเหตุสมผล สามคือเป็นการขอโทษ ตอนแรกจะขอโทษในวันนั้น แต่คุณสุกัญญาบอกว่าควรจะจัดแถลงข่าว ให้มันเป็นออฟฟิเชียล จะได้แสดงถึงความจริงใจที่จะขอโทษ จึงเป็นที่มาของวันนี้”
มิเกล : “รูปคดีตอนนี้ เราได้เคลียร์กันแล้ว แล้วทางคุณนพดลกับท่านทูต ได้ไปถอนแจ้งความไว้แล้ว เกลบอกกับคุณนพดลไปว่า ถ้าจะถึงขึ้นโรงขึ้นศาล มันก็จะเป็นว่า คือเรามีความคิดต่างกัน แต่เราอย่าทำให้มันเป็นเหมือนสงครามกันเลย มันไม่ใช่คดีร้ายแรง แล้วเราก็ไม่ได้ดื้อด้านไม่ยอมรับผิด เลยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปขึ้นศาลกัน เพราะถ้าขึ้นศาลไปเราจะแย่มากเลยนะ มันต้องมีเรื่องใหญ่ ยาวไปหลายๆ เดือน ซึ่งมันก็ไม่ดี ตอนนี้ถูกมองไปว่าเป็นคนละฝั่งกันไปแล้ว ซึ่งความจริงมันไม่ใช่เลย”
นพดล : “พูดเรื่องนี้ดีแล้วครับ คือให้ตัดประเด็นเรื่องการเมืองออกไปครับ ไม่ใช่ว่าฝั่งนี้ๆ เรามาเป็นศัตรูกัน เราถึงเล่นงานเขา อันนี้มันอยู่ในพื้นฐานของการที่คุณไปหมิ่นเขา ไม่ว่าจะฝ่ายไหน ถ้าใครไปหมิ่น ก็จะต้องโดนคดีแบบนี้เหมือนกัน สังคมมันขัดแย้งมามากแล้ว อะไรที่ถอยกันคนละก้าวแล้วมันวินวินทุกฝ่ายก็คือจบ ไปถึงศาลก็ต้องไกล่เกลี่ยที่ศาลอยู่ดี ให้มันจบลงที่โรงพักสวยมากกว่า
ผมฝากได้ไหม ถอดบทเรียน…ว่าสื่อมวลชนกรุณาเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา อย่าไปบิดข่าว การบิดข่าวมันทำให้เกิดความวุ่นวาย คนถูกดำเนินคดีเป็น 40-50 คน เพราะไปเสพเฟกนิวส์ ผมอยากแนะนำคุณสุกัญญาหรือคนที่ถูกท่านทูตฟ้อง ไปฟ้องสำนักข่าวนั้นด้วย สองคนที่เสพข่าว ควรเสพข่าวอย่างมีสติ ใช้วิจารณญาณ อย่าคิดว่าเป็นสื่อหลักแล้วเขาต้องเสนอข่าวที่ถูกต้องเสมอไป สามคือการวิพากษ์วิจารณ์ ต้องอยู่บนพื้นฐานของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน การใช้ภาษาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สี่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ส้มแดง สลิ่ม หรืออะไรก็แล้วแต่ ใครผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการทางกฎหมายเหมือนกัน”
มิเกล : “อันนี้เห็นด้วยว่าสื่อต้องสกรีนก่อน ประชาชนเป็นผู้เสพ เราไม่รู้เลย ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถ้าสื่อสำนักไหนก็ตาม หรือว่าหน่วยงานที่เห็นว่ามันเกิดปัญหาในสังคมจากจุดเล็กๆ นี้ ก็ช่วยประชาชนโดยการสกรีนก่อน เอาตรงๆ ตามที่เขาให้สัมภาษณ์ หรือการพาดหัวข่าวสมัย 80 ให้คนสนใจอย่างเดียว หลังจากนี้ไปต้องช่วยกันแล้ว”
นพดล : “ก็จะมอบใบถอนแจ้งความให้เลยแล้วกัน หลังจากที่สุกัญญาได้ชำระค่าเสียหายเรียบร้อยแล้ว ถามว่าเป็นจำนวนเท่าไหร่ ก็อย่าให้บอกเลยมันไม่ดี เพราะถ้าน้อยไป คนที่เขาเชียร์ท่านทูต เขาก็จะบอกว่าทำไมเรียกน้อย แล้วฝั่งโน่นทำไรเรียกเยอะ แต่ถ้าเรียกมากไป ก็จะหาว่าตบทรัพย์เขา คือเราไม่ต้องการให้ใครเดือดร้อน เราเพียงแค่อยากให้เขาสำนึก ตัวเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ”
มิเกล : “เราอยากให้ก้าวข้ามเรื่องของจำนวนนะ เพราะจำนวนไม่ได้วัดคุณค่าของความรับผิดชอบนี้เลย แล้วก็ไม่ได้วัดคุณค่าความเสียหายของคนที่ถูกด้อย ทุกอย่างมันแค่ทำให้รู้ ว่าคุณต้องชดใช้ในสิ่งที่คุณได้ทำผิดพลาด เชื่อว่านี่มันเป็นเจตนาของกฎหมาย ที่เขาตราเอาไว้ว่าจะต้องมีโทษปรับ แต่ถ้าไม่สำนึก ไปถึงฟ้องศาล ก็อาจจะทั้งจำทั้งปรับ แต่เคสเราเรายอมรับอยู่แล้ว ว่าเราทำผิดพลาดเรื่องการด้อยค่าไป ดังนั้นการชดใช้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
บอกแล้วตั้งแต่ต้น ว่าขอบคุณพี่นพดลกับท่านทูต ว่าเห็นสมน้ำสมเนื้อเท่าที่เราทำได้ เราตกงานมา 3-4 ปีตั้งแต่ล็อกดาวน์ ถ้าเรียกสูงมากๆ เราทำไม่ได้หรอก แล้วก็จะกลายเป็นคนผิดไปอีก ท่านทูตได้รับทราบหมดแล้ว ก่อนที่จะพี่นพดล ก็ได้ไปขอโทษโดยส่วนตัวแล้วในเฟซบุ๊ก ท่านก็ได้รับทราบแล้ว ไม่ได้ตอบอะไร แต่ท่านคงไม่มีเวลามาเจอ”
นพดล : “ท่านมาไม่ได้ ท่านต้องดูแลแม่ที่ชราแล้วครับ ถ้าท่านไม่พอใจ ก็คงไม่ถอนแจ้งความ”
มิเกล : “ถามว่าเราสบายใจขึ้นไหม คือเราผิดแล้วเรายอมรับผิด เราก็สบายใจแล้ว ได้รู้ว่าเราผิดตรงไหน ได้มีโอกาสแก้ไขตรงนี้ก็สบายใจแล้ว ดีกว่าไม่รู้ว่าผืดตรงไหน แล้วอยู่ไปโดยที่ไม่รู้ แบบนี้สบายใจที่สุดแล้ว ต้องขอบคุณที่เข้าใจแนวคิดแบบเราด้วย”
จ.เอกราช : “ในฐานะทนายความส่วนตัวของพี่สุกัญญา มิเกล วันนี้นอกจากพี่เขาจะแสดงความรับผิดชอบแล้ว ในอนาคตต่อไปข้างหน้า เราก็จะดูแลในเรื่องของการรณรงค์ ไม่ให้มีการบูลลี่ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าใครจะบูลลี่พี่มิเกล หรือในเรื่องของการหมิ่นประมาทอะไรทั้งหมด ก็จะรวบรวมเป็นข้อมูลมาก แล้วเราก็ดูความเสียหายว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพราะพี่มิเกลก็รณรงค์และตระหนักถึงเรื่องนี้มาก ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับคนอื่น ไม่อยากให้ใครทำแบบเดียวกัน”
