xs
xsm
sm
md
lg

LAZ1 กว่าจะมีวันนี้ได้! เสียน้ำตา ถูกบลูลี่ แต่ทำทุกอย่างเพื่อ “แม่” (ชมคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ดังไม่หยุดกับกระแส T-POP ที่กลับมากระหึ่มอีกครั้ง! สำหรับการเปิดตัวของ 5 หนุ่มจากเวที “ลาซไอคอน” ที่ตอนนี้บอยแบนด์ทั้ง 5 คนได้ชื่อวงว่า “LAZ1” ประกอบไปด้วย “ต้าห์อู๋ พิทยา แซ่ฉั่ว, ออฟโรด กันตภณ จินดาทวีผล, ไดร์ม่อน ณรกร ณิชกุลธนโชติ, เจลเลอร์ กฤติมุก จันทร์ชื่น, เป็นต่อ จีรภัทร พิมานพรหม” พร้อมเปิดตัวซิงเกิ้ลแรก Taste Me ไปแล้วในงาน LAZ1 DEBUT SHOWCASE ซึ่งแฟนชาว “LAZER”(ด้อม LAZ1) ให้การต้อนรับอย่างดีเยี่ยม

โดยทั้ง 5 หนุ่มกว่าจะมีวันนี้ได้ ก็ไม่ใช่เพราะโชคเพียงอย่างเดียว แต่เขาทั้งหมดก็ได้พิสูจน์ผ่านบททดสอบต่างๆ ในระหว่างการเข้าร่วมรายการ “ลาซไอคอน” จนทั้ง 5 หนุ่มได้รับการโหวตจากคนทางบ้าน เลือกให้เป็นผู้ชนะ จนมีวันนี้ แต่อย่างที่บอกกว่าจะมีวันนี้ทั้งหมดต้องฝ่ากระแสต่างๆ ทั้งคำวิจารณ์ ถูกบลูลี่ เสียน้ำตา แต่ทั้งหมดก็ไม่สามารถลบความตั้งใจและเป้าหมายของทั้ง 5 คนได้ เพราะคำๆ เดียวคือ “ครอบครัว” เป็นตัวขับเคลื่อน



be yourself do your best ชินชากับความผิดหวัง แต่มันคือพลังให้สู้ต่อไป…ต้าห์อู๋ พิทยา แซ่ฉั่ว

“เหนื่อยมาเยอะครับ เหนื่อยจนรู้สึกว่าความเหนื่อยเป็นเรื่องปกติ เหนื่อยจนรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว ผมจำไม่ได้ว่าเหนื่อยกับอะไรมาบ้าง คงเป็นเพราะว่าชีวิตชินกับการเหนื่อย ชีวิตผมไม่ง่ายเหมือนเลือกโหมดยากมา ทุกอย่างผมมาจุดนี้ด้วยตัวเองจริงๆ ผมไม่เรียกสิ่งนั้นว่าความผิดหวัง มันคือการสูญเสียโอกาส เพราะตัวเราเองค่อนข้างวิ่งเข้าหาโอกาสเยอะและมันอยู่ในจุดที่ไม่มีใครสนับสนุน แต่ผมเป็นคนมูฟออนค่อนข้างไว อย่างที่บอกว่าผมเหนื่อยจนเป็นเรื่องปกติ ผิดหวังจนเป็นเรื่องปกติ ผมชอบคิดว่าผมได้อะไรจากการผิดหวังมากกว่า อย่างที่บอกว่ามันมีประตูแห่งโอกาสบานนึงปิด มันจะต้องมีบานนึงเปิดเสมอ ถ้าเราทำตัวให้พร้อมในทุกๆ วัน และก็ยังเชื่ออย่างนั้น จนวันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เราเชื่อมันเป็นแบบนั้นจริงๆ

ถามว่าอะไรที่ทำให้ผมตั้งเป้าและไปอยู่ตรงนั้น คงเป็นเรื่องของแพชชั่นและครอบครัว ว่าเราก็มีแพชชั่นที่เราอยากเป็นนักร้อง อยากมีเงินเยอะๆ ผมเป็นคนที่แพชชั่นเนสต์มากๆ เลย มีแพชชั่นการร้องเพลงและดนตรีมากๆ เป็นมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่จำความได้ มันคือแพชชั่นจริงๆ มันคือสิ่งที่ผมทำได้ไม่เบื่อ ไม่เคยเหนื่อยและเป็นสิ่งที่ผมรัก ผมไม่เคยหมดแพชชั่น ผมเริ่มประกวดตอนอายุ 19 ก็แบบไม่คิดอะไรโมเดลลิ่งพาไป เราชอบร้องเพลง จริงๆ แล้วผมไม่ชอบการแข่งขัน แค่อยากร้องเพลงบนเวทีให้คนเห็นแค่นั้นเอง และก็ไม่ได้แข่งอีกเลย จนได้ไปแข่งที่จีนตอนอายุ 21 ปี ก็ไปโดยที่พูดภาษาจีนไม่ได้ด้วยซ้ำ ไปโดยที่ไม่เคยเรียนเบสิกเต้นเลย แต่สุดท้ายสิ่งที่เราไปเพราะชอบร้องเพลง อยากทำ อยากสนุก และพอเราได้เห็นผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ มันทำให้เราอยากพัฒนาตัวเองขึ้นไป คนอื่นเขาเทรนกันมา 4 – 5 ปี ผมไม่เคยเทรนเลย ศูนย์เลย

อยากจะบอกตัวเองว่ามันเป็นจุดเริ่มต้น ต้องสู้ๆ กับในและเต็มที่ไปอีก มันมีความฝันของเราจริงๆ รออยู่ ไม่รู้จะต้องพูดอะไรแค่ be yourself do your best”


แม่ต้องไม่เหนื่อยแล้ว สักวันครอบครัวต้องสบายกว่านี้….ออฟโรด กันตภณ จินดาทวีผล

“ก็ถือว่าผมสู้ชีวิตมาตลอด ในช่วงชีวิตของผมเลย คือด้วยความที่คุณแม่ผมเลี้ยงเดี่ยว ผมรู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบตัวเองเยอะ เราเป็นพี่ชายคนโต มันมีความรับผิดชอบเยอะมากๆเลย มีช่วงนึงผมรู้สึกว่าผมอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครอยู่ข้างๆ ผมเลย และบางทีมันเป็นฟีลที่เราไม่อยากให้เขารับรู้ในสิ่งที่เราเหนื่อยอยู่ เลยเก็บไว้ที่ตัวเอง เพราะเขาเองก็มีเรื่องเยอะแล้ว ไม่อยากให้เขามาเครียดกับเราด้วย ผมก็เลือกที่จะเมเนทตัวเองตั้งแต่เด็ก แต่ว่ามันเกิดจากความที่เราเหนื่อย เราพึ่งตัวเองมาตลอด จนมาวันนี้เราก้าวมา เราทำทุกอย่างมา เราเต็มที่กับมัน แล้วผลตอบแทน ผลตอบรับมันโอเคแล้วกับสิ่งที่เราพยายาม

ตอนนั้นอายุ 18 ครับ ผมรู้สึกว่าผมเหนื่อยมากเลย มันมีหลายเรื่องให้ผมคิดเยอะมาก จนผมเป็นไฮเปอร์เวนติเลชัน คิดตลอดเวลาว่าตรงนี้ยังไงๆ จนไม่รีแล็กซ์ตัวเองเลย ผมดึงตัวเองกลับมาจากคนรอบข้าง คิดว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ ยังมีคนรอบข้างที่คอยซัพพอร์ตอยู่ข้างเราเสมอ หลักๆ คนที่ดึงผมกลับมาคือคุณน้าของผมครับ เขาจะดึงให้ผมจอยขึ้น มีความสุขกับชีวิต แค่ยิ้มวันนึงก็ดีใจแล้ว ผมก็ใช้เวลาสักช่วงนึงเลย คือผมเป็นคนตั้งใจกับสิ่งนั้นมากๆและกดดันตัวเองเยอะ ทุกวันนี้ก็ยังมีหลงเหลือบ้าง แต่อาจจะไม่ทำเมื่อก่อนแล้ว ก็พยายามปรับตัวเองอยู่ครับ

ความฝันที่สุดในชีวิตผมคือการเป็นเสาหลักให้ครอบครัว ดูแลตัวเองได้และเลี้ยงดูคนที่เรารักได้ครับ มันเลยรู้สึกว่าเราต้องทำมากกว่าคนอื่นเขา เพราะว่าหนึ่งคือเราไม่ได้มีต้นทุนชีวิตที่ดีมากแต่แรก มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นความพยายามของผมครับ ตั้งแต่ ม.1 ผมก็เริ่มซื้อของเอง เราอยากได้ของก็เก็บเงินด้วยตัวเอง จนติดเป็นนิสัย มันเป็นอะไรที่ทำให้เราโตขึ้น ได้รู้จักคุณค่าของเงินกว่าจะได้มาสักอย่างมันยากลำบากขนาดไหน ผมไมได้คิดน้อยใจอะไร ไม่มีเลยครับ แม่ผมค่อนข้างที่จะให้อิสระ เปิดกว้าง แค่ให้เราอยู่ในลู่ทางและเขาดึงเรากลับมา แต่สุดท้ายแล้วคือเขาแค่ให้เราเป็นคนดี ดีในที่นี้คือไม่ต้องดีขนาดนั้น แต่ว่าเราต้องไม่ไปทำให้ใครหรือคนอื่นเดือดร้อน

ทุกครั้งที่พูดถึงที่บ้านหรือแม่ ผมจะมีข้างในครับ (เสียงสั่น) ข้างในผมมันเยอะมาก ทุกวันนี้ที่ผมตั้งใจทุกอย่างเพื่ออนาคตคือผมอยากดูแลเขาได้ ผมโตมาด้วยความที่ผมเจออะไรมาเยอะมาก เยอะแยะไปหมด ณ วันนี้มันเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เห็นคนที่รักผมและซัพพอร์ตผม เห็นคนรอบข้างที่อยู่ข้างผมมาตลอด จริงๆอยากขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่ซัพพอร์ตผมมาตลอด มันมาไกลมากกว่าที่ผมคิดไว้ ก็ขอบคุณตัวเองที่ไม่ทิ้งโอกาสและพยายามมาตลอดที่ทำให้มาถึงตรงนี้ได้

ซึ่งสิ่งที่ผมเจอมาในอดีตทั้งหมดเลยครับ มันทำให้ผมโตขึ้นมาเป็นออฟโรดในวันนี้ มันทำให้รู้ว่าเราจะไม่กลับไปเป็นแบบวันนั้นนะ เรารู้แล้วว่ามันเป็นยังไง เราอยากให้ชีวิตดีขึ้นด้วยการที่เราพยายามและเราทำให้มันดีที่สุดครับ เพราะผมจะบอกตัวเองว่าที่บ้านยังไม่สบาย เราเป็นพี่ชายคนโตนะ เรามีน้องสาว เราควรที่จะดูแลเขาไหม ถ้าเราไม่อยู่ในลู่ในทาง เราไปเกเร มันมีช่วงนึงที่เกือบหลุดไปเหมือนกัน แต่ว่าเราก็ดึงกลับมาได้จากเพื่อนที่ดีๆ แล้วก็คุณน้าและครอบครัวผมนี่แหละครับ ความโชคดีของผมคือคนรอบข้าง ถามว่าอยากบอกอะไรกับแม่ ก็จริงๆ แม่เหนื่อยมาเยอะแล้ว (ร้องไห้โฮ) ข้างในผมมันเยอะมาก แม่ไม่ต้องเหนื่อยแล้วครับ เดี๋ยวลูกจะไปดูแลแม่แล้วนะ (ร้องไห้)”


จาก “จุดเด่น” กลายเป็น “ปมด้อย” โดนบลูลี่ แต่ก็ต้องสู้เพราะเป็น “เสาหลักของครอบครัว”…ไดร์ม่อน ณรกร ณิชกุลธนโชติ

“กว่าจะมีวันนี้ผมรู้สึกว่ายากพอสมควร เพราะผมอยู่กับแม่สองคน แม่ก็พยายามดันให้ผมเป็นศิลปิน ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าผมจะเป็นศิลปินหรอกครับ แต่ว่าพอได้เป็นนักแสดงอยากทำอะไรในวงการบันเทิง แม่ผมก็ดันเต็มที่ให้ผมไปเรียนเล่นกีต้าร์ เรียนร้องเพลง เรียนเต้น ฯลฯ แต่ว่าพอเราอยู่ราชบุรี พอเราทำอะไรที่มันแตกต่างจากคนอื่น มันจะมีพวกที่แบบว่า เฮ้ย! แตกต่าง เต้นคืออะไร ผมก็เลยดร็อปเรื่องการเต้นลงมา ผมเขินๆ ไม่กล้า มันเป็นเด่นที่ทำให้เราด้อย แต่ผมอยากจะบอกทุกคนว่าทำไปเถอะครับ เพราะว่าการที่เราทำอะไรสักอย่างแล้วมันมีความสุข แล้วมันสามารถเอาไปต่อยอดหรือว่าสามารถเอามาใช้ได้ในอนาคต ทำไปเลยครับ เราไม่ได้ขอเงินใครกิน เราไม่ได้เอาคำพูดที่ทุกคนพูดในเชิงไม่ดีมาเป็นหลักในความคิดของเรา ตัวผมเองก็ต้องเลี้ยงดูแม่ เลี้ยงดูครอบครัว มันอีกไกลเลย ตอนนี้ผมก็เป็นเสาหลักครอบครัว ก็เลยต้องพยายามเอาเอง

งานแรกที่ได้เงินก็เดินแบบครับ ตอนนั้นอายุประมาณ 12 ปี เดินแฟชั่นเด็ก ได้ที่หนึ่งก็ได้เงิน และผมก็มีขึ้นคอนเสิร์ตของโรงเรียน แต่ไม่ได้เงินนะครับ เป็นการไปเล่นโชว์ ไปซ้อมโชว์ให้เขาดู ก็เป็นเด็กกิจกรรมครับ อีกอย่างมันก็สร้างโปรไฟล์และสะสมประสบการณ์ให้เราด้วย เวลาเล่นคอนเสิร์ตผมชอบเวลาคนปรบมือและผมชอบเวลาผมอยู่บนเวทีแล้วสาวๆ กรี๊ดๆ (หัวเราะ) มันดูมีพลังครับ ช่วงที่เล่นคอนเสิร์ตของโรงเรียนผมก็ไม่ค่อยได้เต้นเท่าไหร่ เป็นสายร้อง ผมขึ้นเวทีครั้งแรกตอน ป.3 อายุประมาณ 8-9 ขวบ ก็ไม่เชิงมีแฟนคลับหรอกครับ

แม่ภูมิใจครับ แม่หมดห่วง เวลาผมพูดถึงแม่ผมแล้วผมจะร้องไห้ เพราะผมอยู่กับแม่และแม่ก็เลี้ยงดูผมมาตลอด แต่ ณ วันนี้ผมเป็นคนที่เลี้ยงแม่แล้ว อยากบอกแม่ว่าทั้งชีวิตนี้ผมจะดูแลแม่เอง ผมไม่รู้สึกว่าเหนื่อยกับการที่ต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว ผมพร้อมที่จะหาเงิน ถ้าเริ่มก่อนมันก็จะมีลู่ทางและโอกาสก่อน”


พื้นฐานคือศูนย์ ที่มาพร้อมคำสบประมาท…เจลเลอร์กฤติมุก จันทร์ชื่น

“มันเป็นความยากในแต่ละช่วงเวลา มันไม่ค่อยยากเท่าไหร่สำหรับผม ใช้ความเก็บมาเรื่อยๆ มากกว่า ผมไม่ได้มีพื้นฐานหรือมีอะไรเหมือนคนอื่นๆ แต่ผมใช้เวลากับมันมากกว่า ถามว่าอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าต้องใช้เวลา ผมแค่รู้สึกว่าการทุ่มอะไรสุดตัวกับอะไรสักอย่างนึง ผลตอบรับหลังจากนั้นมันต้องมีแน่นอน และการประกวดครั้งนี้ ไม่ใช่การประกวดครั้งแรกของผม แต่ที่ผ่านมาทุกรายการ ผมไม่เคยได้เข้ารอบเลย มันก็เฟลนะครับแต่ว่าผมไม่ใช่คนที่ดึงตัวเองให้ดาวน์นาน จะดาวน์แป๊บเดียวและจะต้องรีบดึงตัวเองขึ้นมา เพราะรู้สึกว่ามันเสียเวลา ถ้าตกรอบก็จะมองตัวเองว่าพลาดตรงไหน

8-9 ปีไม่ใช่ระยะเวลาที่นานสำหรับผม แต่คนอื่นอาจจะมองว่านาน ผมเริ่มตั้งแต่อายุ 15 ปี แต่ละช่วงระยะเวลามันมีบทเรียนเข้ามาเรื่อยๆ มีอะไรให้เก็บเรื่อยๆ ซึ่งมันดี คำสบประมาทก็เยอะมาก ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนที่ไม่กล้าร้องเพลงเลย ร้องเพลงไม่เป็น เต้นก็ไม่กล้าขนาดนั้น ขึ้นเวทีประกวดแต่ละทีก่อนหน้านี้ก็กังวลว่าตัวเองจะเต้นได้ดีหรือเปล่า คำสบประมาทก็มีมาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องตอนเวลาเพอร์ฟอร์มมากกว่า เช่น ตอนนั้นผมทำทีมเต้น ก็จะมีที่เขาพูดประมาณว่าไม่น่ามาแข่งกับทีมนี้เลย หรือว่าทีมนี้ไม่คู่ควรกับรางวัลนี้ตอนที่ผมได้รางวัล แต่วันนี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่าผมมาไกลได้มากกว่าที่เขาคิด

และที่บ้านตอนแรกเขาก็ไมได้สนับสนุนนะครับ ไม่เลย ตั้งแต่ตอนเริ่มเต้นกลับดึกก็ไม่ได้ ผมเข้าใจนะว่าเขาเป็นห่วง เวลาไปแข่งต่างประเทศเขาก็ซัปพอร์ตในส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งเราก็ต้องทำเองเหมือนกัน แต่พอหลังๆ มาเขาก็โอเคขึ้น เพราะเราก็พิสูจน์ให้เขาเห็น คือที่เขาไม่เห็นด้วย อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนั้น ผมตั้งใจซ้อมจนเกือบทิ้งทุกอย่าง ผมก็เลยไม่โอเคในตอนนั้น ผมบอกกับแม่ตลอดว่าวันนึงจะทำให้ได้ กลับไปบ้านทีไรก็จะพูดตลอดวันนี้ก็ทำได้เขาก็โอเค เขาก็ภูมิใจ”


ลอยตัวเหนือดรามา “ปลดล็อก” เป็นตัวเองเพราะสังคมยอมรับมากขึ้น…เป็นต่อ จีรภัทร พิมานพรหม

“จริงๆ ถ้าทางนี้น่าจะเริ่มประมาณ 2 ปี ก่อนหน้านี้ต่อเรียนอย่างเดียว ใช้ชีวิตกับการเรียน ที่บ้านไม่มีใครมีคอนเนกชั่นหรือความรู้วงการบันเทิงเลย จนได้ทุนไปจีน ก็ยิ่งห่างจากวงการนี้ไปอีก พอดีกลับมาที่ประเทศไทย ก็เลยมีโอกาสได้เข้าบริษัท Insight Entertainment และเริ่มมาทางนี้จริงจัง มีเทรนร้อง เทรนเต้น ถึงได้เข้ามารายการ LAZiCON ครับ เรียกว่าผ่านมาเยอะพอสมควร ช่วงแรกที่เข้าฝึกก็ค่อนข้างหนักเลย เพราะการเต้นต่อมาจากศูนย์เลย จะบอกว่าทุกอย่างคือศูนย์ก็ได้ 

เมื่อก่อนเราไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองด้วย เรียนนักศึกษาวิชาทหาร หัวเกรียนๆ ตัวไหม้ๆ ก็เลยยังไม่ได้ฉายแววตรงนั้นเลย จริงๆ เคยแอบที่มีความฝันเล็กๆ เหมือนกันที่จะเดินมาทางนี้ เมื่อก่อนก็ดูรายการเดอะสตาร์ ประกวดร้องเพลง ก็รออายุถึงอาจจะมีโอกาสได้มาประกวด แต่พออายุถึงช่วงนั้นรายการก็ไม่มี เหมือนว่าตอนที่เข้ามาวงการนี้มาแรกๆ เราค่อนข้างที่จะปิดตัวเอง ไม่กล้าทำอะไรสักอย่างนึง กลัวว่าทำอันโน้นไปแล้วจะดีไหม ทำอันนี้ไปแล้วคนจะเขาจะคิดยังไง มองยังไง แต่ว่าพอผ่านจากรายการนี้หลักๆ มาจากรายการนี้เลย ทุกคนเริ่มเห็นเรามากขึ้น และได้รับฟีดแบคกลับมาว่าทุกคนพร้อมที่จะซัปพอร์ตในแบบที่เราเป็นเราแบบนี้ ก็ค่อยๆ ปลดล็อกตัวเองไปทีละขั้นๆ มันก็ยิ่งเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองมากขึ้นด้วยที่เราจะเป็นเราแบบนี้ มีความกล้ามากขึ้นด้วย กล้าที่จะแต่งตัวมากขึ้น และสังคมรอบตัวเราและคนรอบข้างพร้อมที่จะซัปพอร์ต ทุกอย่างมันส่งเสริมเราไปหมดไม่ว่าจะทำอะไรเป็นตรงนี้ได้

คำวิจารณ์ต่าง ๆ มันปฎิเสธไม่ได้อยู่แล้ว การที่เรามายืนตรงนี้ จริงๆ แล้วทุกๆ คนถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนสาธารณะหรือว่าคนที่อยู่ในแสง ทุกคนล้วนแต่จะมีคำที่อาจจะไม่ค่อยเข้าหู หรือว่าอะไรอยู่แล้ว ต่อก็เลยไม่ได้มีความรู้สึกว่าเข้ามาตรงนี้แล้วมันมากดทับตัวเรามากขนาดนั้น เราก็เป็นคนๆ นึงที่ใช้ชีวิตอย่างนึง อาจจะมากขึ้นนิดนึงตรงที่เราอาจจะต้องระมัดระวังในคำพูด เพราะบางอย่างที่เรากระทำหรือพูดออกไปมันอาจจะส่งผลต่อสังคมได้ คำวิจารณ์เหล่านั้นหรือว่าอะไรถ้าอันไหนที่เก็บมาเป็นการพัฒนาตัวเองได้เราก็เก็บมาและรับฟัง แต่ถ้าอันไหนที่เรารู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลเลย เราก็แค่วางเอาไว้ ถามว่านอยด์ไหม ก็ไม่ค่อยๆ อาจจะด้วยความที่เราเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรกับสิ่งต่างๆ อยู่แล้ว ลอยตัวเหนือดราม่า เพราะจริงๆ ก่อนหน้านี้เป็นคนที่คิดมากแบบเพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์ แต่ว่าด้วยความที่พอเราเพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์ แต่อีกใจเรากลัวเราเจ็บ มันก็เลยมีบางอันที่เรารู้สึกว่าถ้าเป็นอันนี้ก็ไม่เป็นไรเหรอ แบบเผื่อใจเอาไว้ เพราะฉะนั้นเวลาทำอะไรก็ไม่คาดหวังยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ก็เผื่อๆ เซฟตัวเองไว้ตลอดเวลาอยู่แล้ว พอยิ่งมีคำพูดนึงมา ถ้าเราเอาไปคิดมากกว่าเดิม ก็จะยิ่งทำให้เราดาวน์ลงไปเรื่อยๆ ก็จะมีแบบอันนี้ก็ไม่ต้องคิดก็แล้วกัน อันนี้ปล่อยวางลงไปหน่อย ก็ค่อยๆปรับไปเรื่อยๆ”







กำลังโหลดความคิดเห็น