“โดม เดอะเฟซ” เผยชีวิตวัยเด็กสมัยที่อยู่ออสเตรเลียเหมือนลูกคุณหนู แม่คอยทำให้ทุกอย่าง หน้าที่เดียวของตนคือทิ้งขยะ ยอมรับเป็นเด็กเกเร ดื้อ ทะเลาะกับคนอื่นไปทั่ว สามารถเผาโรงเรียนได้ แต่พอได้มาเริ่มทำงานที่เมืองไทย มีผู้จัดการคอยดูแล ทำให้ความคิดตนเปลี่ยนไป ต้องทำเองทุกอย่าง ฝึกภาษาไทยอย่างหนัก ตอนนี้อาหารไทยทานได้แทบทุกอย่าง ตั้งเป้าหมายอยากเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นได้
เรียกว่าเป็นเด็กหนุ่มที่อนาคตไกลทีเดียว สำหรับลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย “โดม เพชรธำรงชัย”หรือที่หลายๆ คนรู้จักกันในชื่อ “โดม เดอะเฟซ”นั่นเอง กับวัย 19 ปีในตอนนี้น่าจะเป็นวัยที่กำลังสนุกสนานอยู่กับเพื่อน ใช้ช่วงชีวิตวัยรุ่นอย่างสนุกสนานเต็มที่ แต่สำหรับโดมเจ้าตัวเผยว่าช่วงชีวิตวัยเด็กของตนตอนที่อยู่ออสเตรเลีย เรียกว่าเป็นลูกคุณหนูเลยก็ว่าได้ เพราะแม่คอยดูแลและทำให้ทุกอย่าง
“ใช้ชีวิตในเมืองไทยมาประมาณ 2 ปีแล้วครับ พ่อกับแม่ก็เพิ่งจะมาเซอร์ไพรส์โดมที่นี่ เพราะผมก็ไม่ได้เจอพ่อกับแม่เลยตั้งแต่มีโควิดก็ 2 ปีแล้ว ผมก็เปลี่ยนไปเยอะครับ แม่ก็ตกใจ เมื่อก่อนเราจะเป็นเด็กโลกสวย แม่จะคอยดูแลช่วยทุกอย่าง จะเรียกว่าลูกคุณหนูก็ได้ แม่จะดูแลตลอด แพ็คของ ต้องไปเจอใครกี่โมงๆ เขาดูแลหมด อาจจะสปอยด์นิดนึง แต่พอมาอยู่เมืองไทย ไม่มีแม่อยู่ด้วย ต้องอยู่กับผู้จัดการ เขาก็จะสอนเราว่าต้องทำอะไร"
"การที่พ่อแม่เจอเราครั้งนี้ เขาเห็นเราล้างจาน ทำโน่นทำนี่ คือเด็กออสเตรเลียก็จะทำงานบ้านปกติ ซักผ้า ล้างจาน แต่ของโดมหน้าที่คือทิ้งขยะอย่างเดียว (หัวเราะ) ตอนเด็กๆ จะเป็นคนขี้เกียจมาก แต่วันนี้เราทำอย่างอื่นได้ ผมเห็นสายตาแม่ที่เห็นผมล้างจานคือดูภูมิใจมากที่ลูกเขาเปลี่ยนไปเยอะ แล้วตอนนี้แม่ก็เป็นวัยที่แก่ขึ้น เราก็ไม่อยากให้แม่ต้องแบกกระเป๋าทุกอย่าง เพราะโดมก็แข็งแรง ทำได้หมด”
บอกโชคดีมากที่เริ่มทำงานตั้งแต่เด็ก ไม่อย่างนั้นชีวิตคงเละเทะ
“การที่เราทำงานตั้งแต่เด็กถือว่าโชคดีมาก เพราะโดมจริงๆ คือเละเทะมาก ไม่ว่าจะไปมีเรื่องกับใคร ดื้อกับครู พูดจาไม่ดีตอนเด็กๆ แต่ตอนนี้พอเราเริ่มทำงาน มันไม่เหมือนโรงเรียน อยู่โรงเรียนเราอาจจะโดนทำโทษล้านกว่าครั้งก็ได้ถ้ายังไม่โดนไล่ออก แต่ถ้าเป็นงานครั้งที่ 1-2 มีคำว่าจบนะครับ ก็โชคดีที่มีผู้ใหญ่มาดูแลเรา ไกด์เราว่าต้องอย่างนี้ๆ นะ เขาก็ไม่ได้สตริ๊กมากหรือปล่อยมาก จะให้อยู่ตรงกลาง ว่าถ้าไม่เชื่อฟังก็ปล่อยไป ให้ไปเจอประสบการณ์เอง"
"มี 2 อย่างที่โดมเรียนรู้คือ ทางง่ายคือฟังพ่อแม่ กับทางยากคืออาจจะเสียเวลา เสียสุขภาพ หรือเสียบางอย่าง แต่สุดท้ายเราก็ได้เรียนรู้ โดมก็เลยได้เติบโตแบบที่เป็นทุกวันนี้ครับ เพราะที่ผ่านมาผมเลือกทางยาก อย่างเรื่องแฟน ทุกคนก็จะบอกว่าห้ามมีแฟน มันไม่เวิร์ค แต่ผมก็มี ไม่เชื่อฟัง สุดท้ายก็โดนเท คือเขามีคนอื่น ตอนนี้ผมคิดได้เลยว่าการที่มีความรักตอนเด็กๆ มันไม่เวิร์ค ตอนวัยรุ่นมันห้าว มันเดือด ฮอร์โมนมันมาหนัก เขาบอกว่าถ้าจะดูแลคนอื่น เราต้องดูแลตัวเองให้ได้ก่อน"
"ตอนนี้เข้าใจทุกอย่างเลยไม่ใช่แค่เรื่องแฟนอย่างเดียว ตอนนี้ผมอายุ 19 แล้ว ถึงขั้นที่ว่าอะไรที่เป็นความสนุก โดมทิ้งไปหมดแล้ว ไม่เอาเลย เพราะเรามีหน้าที่ เราต้องทำงาน ต้องฝึกภาษาไทยให้หนักมากขึ้น อาจจะเหนื่อยนิดนึง แต่ต้องสู้ ถ้าดูเพื่อนๆ ที่ออสเตรเลียตอนนี้เขาก็เริ่มปาร์ตี้ เริ่มใช้ชีวิตวัยรุ่นกัน”
เผยการได้ใช้ชีวิตทำให้ตนเปลี่ยนไป อยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้
“สิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนไปเหรอ การใช้ชีวิตเลยครับ อย่างมีเพื่อนเยอะๆ บางคนก็หักหลังเรา ตอนนี้ลดเพื่อนลงแล้ว จะเลือกคบเพื่อนมากกว่าเมื่อก่อน ตอนนี้ภูมิใจมาก เพราะถ้าโดมไม่เจอประสบการณ์แบบนี้ โดมจะไม่ใช่โดมทุกวันนี้เลย"
"ก็มีความคิดอยากจะมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยนะครับ ชอบเมืองไทย ผมไม่ค่อยได้ยึดติด อย่างที่ออสเตรเลียถ้าเด็กวัยรุ่นไปซื้อสุรา เขาจะขอดูบัตรเลย แต่เมืองไทยจะปล่อยๆ นิดนึง แล้วผมก็ชอบอาหารที่นี่ เรื่องอาหารผมก็ปรับเปลี่ยนเยอะมาก ตอนนี้ทานทุกอย่างได้สบาย เมื่อก่อนจะกินเผ็ดไม่ได้ ตอนนี้รักส้มตำ รักปลาร้ามาก (หัวเราะ) แต่ถามว่าจะอยู่เมืองไทยตลอดชีวิตเลยมั้ย อาจจะไม่ คือผมยังไม่เห็นเส้นทางนะ อาจจะเป็นที่อื่นในเอเซียหรือฮอลลีวู้ด เจตนาของผมอยากเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้ คือเรายังเป็นวัยรุ่น เพิ่งอายุ 19 ต้องเจออะไรอีกเยอะแยะ”
บอกความคิดเปลี่ยนไปเยอะ
“ตอนนี้ความคิดผมเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ ผมเพิ่งได้คุยกับเพื่อนที่ออสเตรเลีย เขาก็ถามว่าถ้ามีเหตุการณ์อะไรสักอย่างเกิดขึ้น คือถ้าเป็นเมื่อก่อนผมสามารถเผาโรงเรียนได้เลย แต่วันนี้เขาถามว่าผมจะทำมั้ย ผมก็บอกว่าจะทำทำไม คนอื่นเขาเดือดร้อน จะไปเรียนกันที่ไหน เราต้องเข้าใจคนอื่น ไม่ใช่แค่ว่าเอาตัวเองรอด ผมเคยเจอคนประเภทนี้แล้ว มันไม่ได้จริงๆ"
"เวลามีคนมาบอกว่าโดมพูดไม่ชัด เมื่อก่อนอาจจะโกรธนะ แต่ตอนนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราสู้ต่อ ต้องสู้ให้ได้ครับ คนอาจจะมองว่าเป็นเสน่ห์ก็ได้ หรือเป็นมีมตลกๆ ก็ได้ มันแล้วแต่มุมมองของเราว่าเราจะมองเป็นข้อดีหรือข้อแย่”
