“อิน สาริน” เผยธุรกิจมูลค่า 100 ล้าน อายุแค่ 27 ปีก็มีคอมมูนิตี้มอล์ลเป็นของตัวเอง แอบเขินถูกแซว “อายุน้อยร้อยล้าน” แต่ผลพวงของความอะเลิท จนทำให้สมองสั่งงาน 24 ชม. พักผ่อนไม่เพียงพอ ล้มกลางบ้าน ขาไร้เรี่ยวแรงจนต้องพบจิตแพทย์
บอกเลยว่านี่แหละคือเบ้าหน้าฟ้าประทาน ผู้หญิงเองยังออกปากว่าอยากมีผิวเหมือน “อิน สาริน รณเกียรติ” พระเอกหนุ่มหน้ามน ผิวละมุนที่ดูแล้วอบอุ่นทุกรูขุมขน แต่นอกจากบทบาทที่หลายคนเคลิ้มไปกับเขาแล้วใน “คุณหมีปาฎิหารย์”ละครวายเรื่องแรกของช่อง 3 ที่ยอมลงทุนเพื่อเปิดตลาดผู้ชมใหม่ๆ แม้จะแลกมากับเรทติ้งที่ไม่ได้แมสเหมือนละครผัวๆ เมียๆ ทั่วไป แต่อีกหนึ่งบทบาทของ “อิน สาริน” ที่ทุกคนเริ่มรู้กันแล้วว่าเขาคือชายหนุ่มอายุ 27 ที่กำลังจะมีคอมมูนิตี้มอล์ลเป็นของตัวเอง ด้วยความที่ครอบครัวทำธุรกิจอสังหา บวกกับความอะเลิทจึงทำให้เขาคิดไม่หยุด จนเกิดเหตุการณ์ล้มกลางบ้าน ขาไร้เรี่ยวแรงเพราะสมองสั่งงานไม่หยุดตลอด 247 ชม.
“เหนื่อยครับ แต่สนุกครับ ตอนนี้ก็กำลังก่อสร้างโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ อยู่ที่ซอยเจริญนคร10 ก็คือลุงทุนเกือบหมดหน้าตักครับ ซึ่งถามว่าเราตัดสินใจเร็วไปไหม จริงๆ ก็ไม่เร็วครับ เพราะเมื่อก่อนเคยให้สัมภาษณ์ว่าอยากทำเป็นบูทีคโฮสเทล แล้วพอโควิดมาหลายปี และนักท่องเที่ยวยังไม่ได้มา เราก็เลยไม่ได้รอ เราก็เลยเปลี่ยนธีมเป็นคอมมูนิตี้มอล์ล เน้นเรื่องของอาหาร แฮงค์เอาท์ มีสวน มีร้านดังๆ รวมกันมาเป็นสิบร้าน มีร้านหมูกระทะ มีชาบู มีขนม”
“ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็วางแผนมาสักพักแล้ว ถ้าเรื่องนี้จริงๆ ต้องบอกว่าคุณพ่อก็ปูมาตลอดอยู่แล้วครับ ยังไงป๊ะป๊าก็ยังอยากให้กลับไปทำธุรกิจอสังหาอยู่แล้วครับ แต่ว่าก่อนหน้านี้อินไม่มีโอกาส ช่วงก่อนหน้านั้นเราก็ยังไม่มีเวลา พอโควิดมา เรื่องการทำธุรกิจนี้ก็เข้ามาเลย ป๊าโยนมาแล้วว่าต้องทำ เราก็เลยไปทำการบ้านว่า เออ...ที่ประมาณนี้ โลเคชั่นประมาณนี้ แล้วจะทำอะไรดี ก็เลยออกมาเป็นอันนี้ครับ ซึ่งก็เป็นที่ดินของครอบครัว ตั้งแต่รุ่นอากงซื้อไว้ แต่รุ่นอินจะเป็นคนเอามาทำ เขาก็จะอยากได้อะไรใหม่ๆ เข้ามา”
สมองไม่ยอมชัตดาวน์! จนล้มกลางบ้าน ขาไร้เรียวแรง จนต้องพบจิตแพทย์
“ซึ่งก็เครียดครับ เหนื่อยครับ แล้วพึ่งมาเครียดหนักๆ ก็เดือนนี้แหละครับ มันเป็นงานเต็มตัวทุกธุรกิจ ก็เลยเริ่มเครียด เริ่มจะไปหาจิตแพทย์ครับ ซึ่งนัดไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีเวลาไปหา คืออินมีอาการนอนแล้วสะดุ้งตื่น 6 โมงเช้าก็ตื่นแล้วครับ เพราะเหมือนสมองมันไม่ยอมชัตดาวน์ ก็เลยคิดว่าเดี๋ยวไปหาคุณหมอดีกว่า สมองมันทำงานตลอดเวลา ซึ่งมันก็เป็นมานานแล้ว บวกกับนิสัยอินเป็นคนแบบนี้ด้วย ซึ่งเราก็รู้ตัวเอง คนรอบข้างจะรู้ว่าเราทำงานตลอดเวลาเลย โดยเฉพาะอย่างร้านขนมของอิน Holiday Pastry พอมันเกี่ยวกับเรื่องขนมของกินเข้าปากคนอย่างงี้ มันต้องเป็นสิ่งที่เราต้องจริงจังและตั้งใจ เพราะมันต้องถูกสุขลักษณะอร่อยคือมันต้องทำให้ดีที่สุด จริงๆ คนรอบข้างก็บอกตลอดอยู่แล้วครับว่า เราอะเลิท”
“ซึ่งพอมันอะเลิทมากๆ มันก็เหนื่อยครับ อินแอบคิดว่าถ้าเดี๋ยวผ่านปีนี้ไป ถ้าหลายๆ ธุรกิจเสร็จ ก็อาจจะพักลงบ้าง เพราะมันเริ่มมีเอฟเฟคกลับมาแล้ว เหมือนกับว่าอินเคยอยู่บ้านแล้วรู้สึกขาหาย ที่เดินๆ อยู่แล้วขาหายและล้มลงไปเลย แต่ว่ามันเป็นอาการมาจากความเครียด มันเริ่มเป็นอาการประมาณนี้ครับ ขามันอ่อนแรง ก็เลยคิดว่าเดี๋ยวไปหาหมอดีกว่า เพราะบางทีวันนึงเรารับ 50 สาย เหมือนกันมันหลายด้าน บวกกับว่าเราพักผ่อนไม่เพียงพอด้วย คือจริงๆ ที่บ้านก็พยายามอยากให้พักอยู่แล้ว ทุกคนก็พยายามพูดว่าให้พักๆ เราก็บอกว่าโอเค เดี๋ยวเราขอผ่านช่วงนี้ไปก่อน และเดี๋ยวจะพักมาขึ้นครับ เพราะผมเป็นคนชอบทำงานมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ”
เปิดมุมมองใหม่! ทำงานกับพ่อ อาจจะมีขัดแย้งบ้าง แต่ก็กระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้น!
“คือไม่เชิงว่าตั้งเป้าครับ แต่ว่าอินใช้คำว่าโชคดี พออินเริ่มทำอย่างที่อินรัก อย่างเช่นนักแสดง ร้านขนมอย่างนี้ อินก็จะได้เพื่อนที่ดีหรือได้หุ้นส่วนที่ดีเข้ามาชวนกันตลอดเลย พออินเริ่มทำร้านขนมปุ๊ป สเต็ปต่อไปเริ่มทำร้านหมูกระทะได้ เนี่ยเพราะว่ามีหุ้นส่วนมาชวนทำต่อและก็เดี๋ยวเสร็จจากนี้ ก็มีหุ้นส่วนใหญ่เข้ามาซื้อกิจการเราแล้ว และปีหน้าเป็นเรื่องของการขยายสาขาครับ (อย่างงี้ต้องเรียกเสี่ยอินแล้วล่ะ?) ไม่เลยครับ ตอนนี้แห้งมาก (ยิ้ม) แต่ก็เป็นความตั้งใจมากกว่า คืออินมีความเชื่อว่า คนเราสามารถพิสูจน์คุณค่าในตัวเองผ่านผลงานได้ด้วยอะไรอย่างนี้ครับ แต่ก็เพราะเคยมีคนบอกผมว่า ถ้าอินพลาดแล้ว เดี๋ยวจะน่ากลัว เพราะอินยังไม่เคยพลาด ผมก็พยายามทำใจนะครับ พยายามคิดเผื่อไว้ แต่ว่าจะพยายามทำให้ดีที่สุดครับ อาจจะไม่ได้ตั้งเป้าหมายมากมายในเรื่องของตัวเงิน เพราะว่าทำอะไรแล้ว ก็อยากให้ดีที่สุด ดวงด้านการลงทุนอาจจะไม่แน่ใจ แต่ดวงเพื่อนดีมากกว่า”
“คือครอบครัวไม่ได้กดดันอะไรครับ ที่บ้านไม่กดดัน แต่ว่าพอเข้ามาทำเต็มตัวแล้ว มันก็ยากกว่าที่เราคิดเหมือนกันนะ ตอนแรกพอเราวางโปรเจคอะไรสักอย่าง ตอนวางแผนเนี่ยเราถนัด แต่พอลงมือทำจริงๆ เราก็ยังใหม่ เพราะเราพึ่ง 27 อย่างนี้ครับก็เหนื่อยเหมือนกันในเวลาลงมือทำต่างๆ ก่อสร้างต่างๆ ทำมาร์เก็ตติ้งต่างๆ แบบนี้ เพราะว่าเราทำทุกด้านเลยครับ ถ้าไปอยู่เป็นเฮดมาร์เก็ตติ้งด้วย ก็ต้องทำให้เต็มที่ แล้วพอกลับไปที่บ้าน เป็นธุรกิจที่บ้านก็ดูตั้งแต่เดินระบบน้ำประปา เดินระบบไฟฟ้าขึ้นมาเลยครับ ก็เลยรู้สึกว่าต้องแยกประสาทดีๆ หน่อย ซึ่งที่บ้านก็แนะนำ แต่ส่วนใหญ่อินจะทำงานกับปะป๊าครับ ตอนนี้ก็ยังทำงานกับปะป๊าอยู่ ก็โชคดีที่ปะป๊าเป็นแบบสายช่างก็จะเก่งเลย แล้วเวลาอินคิดอะไร ปะป๊าก็จะมีทีมให้ช่วยซัพพอร์ทกัน”
“ก็มีบ้างครับ มันก็เหมือนทำงานกับผู้ใหญ่ในวงการเลยครับ คือผู้ใหญ่เนี่ยมากประสบการณ์ เราต้องเคารพในตรงนั้น แล้วเขาก็เก่งกว่าเราอยู่แล้วแน่นอน แต่ว่าบางทีเราก็อยากมีมุมมองใหม่ๆ ไปนำเสนอเขาอย่างนี้ครับ เราก็ต้องเข้าใจกัน การทำงานกับผู้ใหญ่ถือว่าดี นอกจากคือพอเป็นเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่จะชอบเรียกร้องให้ผู้ใหญ่เข้าใจเด็ก แต่ถ้าได้ทำงานกับผู้ใหญ่จริงๆ แล้ว เราก็ต้องเข้าใจผู้ใหญ่เหมือนกัน แต่แค่ต่างวัย แต่ว่าถ้าเข้าใจกันได้ มันจะช่วยกันได้เยอะมากเลยครับ เอาความคิดใหม่ๆ ของเราไปใส่กับประสบการณ์ของเขามันจะไปได้ไกลกว่าเด็กทำเองหรือผู้ใหญ่ทำเองมากกว่า (อายุยังน้อย แต่ประสบความสำเร็จมาก?) ยังครับยัง พึ่งเริ่มละกันครับ นักธุรกิจตัวน้อย”
“อินสามารถแยกแยะได้นะคับ ว่านี่อยู่กับพ่อ นี่ทำงานกับพ่อ เพราะเวลาอินทำงาน อินจะแยกแยะอยู่แล้ว พาร์ททำงานคือทำงานเลยครับ และพอกลับบ้าน ก็สมมุติว่าเลิกงานก็คือจบเลย ก็จะไม่เกี่ยวกัน แต่ถ้าเราเถียงกันเรื่องทำงานมา ก็จะหายเลยทันที มันก็คือเรื่องงาน เราทุกคนตั้งใจทำให้งานมันดีอยู่แล้ว แต่ยิ่งทำงานด้วยกันยิ่งกลายเป็นว่ารู้สึกแบบโชคดีมากเลยว่าสนิทกับป๊ามากขึ้นทุกวัน แล้วก็รักกันมากขึ้นทุกวัน เพราะว่ามีโอกาสได้ทำงานด้วยกัน มันทำให้สนิทกันครับ แต่ว่าสนิทแบบก็พ่อลูกครับ ต่อให้เราสนิทกับพ่อแม่ยังไง ถ้าไม่มีกิจกรรมทำร่วมกัน ส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตแยกกันใช่ไหมครับ แต่อันนี้กลายเป็นว่าธุรกิจหลัก งาน 24 ชั่วโมง เราอยู่กับพ่อเยอะก็ได้สนิทกันมากขึ้นด้วยครับ”
“ในเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ ป๊ะป๋าก็ได้ดูแล้ว ป๊ะป๊าเนี่ย จริงๆ แล้วเป็นตัวแทนของรุ่นผู้ใหญ่เลย ตอนแรกก็ไม่เข้าใจเลย ก็ต้องชวนดูชวนคุย อธิบายและก็เข้าใจมากขึ้น และก็ยอมรับมากขึ้น ตอนแรกก็จะแบบไม่อยากดู ขนาดเราเป็นลูกเล่นเอง คือเค้าก็ไม่ได้บอกว่าไม่อยากดูหรอกครับ แต่ว่าก็จะเห็นแล้วแหละว่าแววตาหรือท่าทางเนี่ย มันไม่เข้าใจเหมือนละครทั่วไปที่เราเคยเล่นมาก่อน ตอนแรกเขาอาจจะไม่เข้าใจ ซึ่งตั้งแต่ที่เรารับเล่นเรื่องนี้ เราก็คุยกับที่บ้านอยู่แล้วครับ เวลาทำอะไรก็ตาม แต่ที่บ้านก็ไม่ถึงกับขนาดคัดค้านครับ แต่ก็อาจจะไม่ได้แบบสนับสนุนเต็มที่เหมือนเรื่องอื่นๆ ในตอนแรกนะ แต่ในตอนที่เขายังไม่ได้เข้าใจ เขาก็ยังจะลังเลว่า เอ๊ะ...ทำไมถึงมีละครประเภทนี้ ก็คือในมุมมองของวัยเขา”